ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระภิกษุรับเงินที่เขาถวาย เป็นอาบัติหรือไม่ ?  (อ่าน 3039 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
พระภิกษุรับเงินที่เขาถวาย เป็นอาบัติหรือไม่ ?


ถาม : ...............(เรื่องสังฆทาน).............

ตอบ : คือ ถ้าหากว่าให้เขาเตรียมมาเองของมันแพงมาก ผ้าไตรชุดหนึ่งก็ตั้งแปดเก้าร้อยแล้วเราไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ คราวนี้ว่าที่นี้เขาจัดหาไว้ให้แล้ว แต่ว่าเราจะบริจาคเป็นเงินเท่าไรถือว่าสังฆทานชุดนั้นเป็นสิทธิของเรานะ พอเขาถวายเสร็จเขาจะช่วยยกเก็บให้ด้วย

ถาม : แล้วถวายเป็นเงินได้หรือเปล่า ?

ตอบ : ถ้าหากว่าถวายเป็นเงินตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้ แต่ว่ากำลังใจบางคนเขาจะยึดอยู่ว่าต้องมีของ ก็ยกสักหน่อยจะได้เหนื่อย


ถาม
: แล้วอย่างว่างานศพนี่ แจกเงินไม่ถือว่าเป็น....?

ตอบ : จริงๆ แล้วผิดจ้ะ แต่คราวนี้ตั้งแต่วันบวชมาหลวงพ่อให้ปฏิบัติญาณตนว่าข้าพเจ้า จะรับเงินและทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเข้าร่วมในกองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรา เพราะว่าเรื่องของพระเรารับเงินเองก็ดีคนอื่นรับไว้ก็ดี ถ้าเราอยู่ก็โดนอาบัติเท่ากัน คือศีลขาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นรับแทนหรอก รับแทนหรือว่ารับเองมันก็โดนเท่ากัน ถ้างั้นก็รับเองเสียก็แล้วกัน

คราวนี้มันมีอยู่ตรงจุดที่ว่าเรารับเองแต่ว่ากำลังใจเราอย่าไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่าเงินของปีนี้อย่าให้ใช้ถึงปีหน้า ถ้าหากว่าเงินมันเหลือให้คิดหางานที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ อย่างเช่นว่าเราเหลือเงินอยู่แสนหนึ่งก็พยายามคิดทำอะไรที่มันเกินแสนไว้ เวลาเงินใหม่มันเข้ามามันจะไม่นึกว่าเป็นของเรา

ท่านบอกไว้ว่า พระเราเสียง่ายที่สุด ๒ อย่าง อย่างแรก

คือ เงิน อย่างที่
คือ ผู้หญิง เราต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ


เงิน ทุกบาททุกสตางค์เรารับมาจากใครจ่ายไปในเรื่องอะไรทำบัญชีไว้ให้ละเอียด ถึงเวลาถ้าเขามีการตรวจสอบจะได้ชี้แจงเขาได้ ท่านป้องกันไว้ให้หมดแล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำตามได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระสายหลวงพ่อนี่จับสตางค์เป็นปกตินะ


แต่ว่าตอนไปอยู่กับหลวงปู่พระมหาอำพัน ท่านเป็นธรรมยุติท่าน ไม่จับเงิน ถึงเวลาโยมมาถวายก็บอกโยมวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ โยมเขาวางไว้พอเขาหันหลังออกไปเราก็หยิบหมับ หลวงปู่ท่านยิ้ม หลวงปู่ท่านรู้อยู่ว่าเราจับเงินเป็นปกติอยู่แล้ว

แต่หลวงปู่ท่านอยู่ร่วมกับเขาจับไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนอื่น เขาจะอ้างได้ว่าหลวงปู่ยังจับอย่างนี้ คราวนี้ของเราเราอยู่กับเขาเราก็ต้องรักษารูปแบบของเขาไว้ โยมให้ก็อย่ารับ ลับหลังโยมเราก็จับ แต่แกล้งเขาไม่ได้นะ

 

ที่วัดท่าซุงส่วนใหญ่เขา หลังๆ จะมีพระธรรมยุติไปเยอะเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่รังเกียจเขา เขาไปบางคนไปซื้อวัตถุมงคล เขาควักย่ามออกมาตั๋วแลกเงิน ๓ เล่มเขาไม่จับเงิน แต่เขาถือทีละ ๓๐,๐๐๐ เราคนจับเงินมีไม่เท่าเขา เสร็จแล้วถึงเวลาก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไปถามเขา ตอนนั้นเพิ่งไปรับหน้าที่ใหม่ ๆ ยังไม่เข้าใจเขาจัดการกันอย่างไร ก็ไปกราบถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นดูแลศาลานวราช อยู่ ก็ถามว่า หลวงพี่ครับทำยังไงนี่

ท่านก็บอกว่ารับขึ้นมาแล้วก็ทอนเงินให้เขาตามปกติ บอกแล้วนี่ละครับ เดี๋ยวคุณก็เซ็นชื่อตัวเองแล้วไปเบิกที่ไปรษณีย์ก็เท่านั้นแหละ พอดี หลวงตาวัชรชัยเดิน เข้ามาถึง หลวงตาบอกว่าอะไรวะ ก็ส่งตั๋วแลกเงินให้ท่านดู บอกว่าพระท่านไม่จับเงิน ท่านใช้ตั๋วแลกเงิน หลวงตาดูเสร็จ ไอ้ห่า......มันก็เงินเหมือนกันล่ะวะ

ปรากฏว่าพระท่านเห็นเราเข้าไปนานเกินไปท่านเลยเดินตามมา เอาห่าไปเต็มสองรูหูเลย ยืนตีหน้าบอกไม่ถูก แล้วทีหลังหลวงตาท่านขึ้นไปจำหน่ายวัตถุมงคลเองพระท่านก็ล้วงซองใส่หน้าอกมา อันนี้พกเงินไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ว่าใส่ซองไว้ เสร็จแล้วท่านก็เอาไม้เขี่ยออกมา

คราวนี้มันห้าร้อยกว่าท่านก็เขี่ยออกมาสองใบแบงก์ห้าร้อยก็เป็นหนึ่งพัน หลวงตาท่านก็ทอนเงินให้ หลวงตาทอนเงินท่านทอนแต่แบงก์ย่อย พอวางแบงก์ย่อยลงหลวงตาก็รูดพรืดกระจายเสียเต็มหลังตู้ แล้วหลวงตาก็เดินหายเข้าส้วมไปเลย ปรากฏว่าท่านมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะหาใครช่วย จะใช้ไม้เขี่ยก็ไม่ไหวตั้งกี่ใบก็ไม่รู้ ท่านก็รวบหมับ หลวงตาวัชรชัยท่านก็หัวเราะ

สมัยบวชใหม่ๆ หลวงตาร้ายนะ ท่านแกล้งคนไว้เยอะ (หัวเราะ) วันนี้เผาพี่ท่านเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับพระหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือหลวงปู่บุดดา ท่านเป็นพระธรรมยุติแต่ ท่านจับเงิน แล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่บุดดาทั้งๆ ที่พระธรรมยุติท่านจะเคร่งครัดมาก


เวลาญาติโยมผู้ชายนวดหลวงปู่บุดดาอยู่ญาติโยมผู้หญิงก็มองตาละห้อยอยากจะนวด หลวงปู่มั่ง หลวงปู่ก็ยื่นเท้าให้เฉยเลย ไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ คือหลวงปู่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียจนกลายเป็นปาปมุติคือภาษาพระแปลว่าผู้เหนือบุญเหนือบาปแล้ว พ้นจากบาปแล้วโดยสิ้นเชิง ทำจนกระทั่งว่าทุกคนเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าติฉินนินทาหลวงปู่เลยแม้แต่นิดเดียว

ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปก็พักอยู่ที่วัดท่าซุง คราวนี้พวกเรามันเคยชินกับคำว่าทำบุญเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้

ก่อน หลวงปู่บุดดาท่านก็ทำไง เอาถุงก๊อบแก็บวางไว้ตรงหน้าพวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อยลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาก็แหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะกลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม หลวงพ่อหันมาพอดี

อ๋อ! ....ไม่อยากได้ใช่ไหม คว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ จับแล้วครับ บอกหน้าตาเฉยเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอกเออ ! มันต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปล่อยให้มันเกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้

ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอดแล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่า หลวงปู่ นั่นแหละคือหลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริงๆ แล้วมันสำคัญตรงใจ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม

ที่มา  http://board.palungjit.com/f61/พระภิกษุรับเงินที่เขาถวาย-เป็นอาบัติหรือไม่-135970.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Jojo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 237
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: พระภิกษุรับเงินที่เขาถวาย เป็นอาบัติหรือไม่ ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 12:07:06 pm »
0
อา่บัติ สมัยก่อน ก็มีข้อห้าม และ ข้อยกเว้นไว้

 จุดประสงค์ เพื่อใ้ห้เกิดสัปปายะ ในการภาวนา เพื่อให้สิ้นปลิโพธ

  ส่วนพระรูปใด เมื่อได้สัปปายะ แล้วไม่สามารถาจัดการภาวนาได้ ก็ควรหยุด

  แต่พระศาสนาในยุคปัจจุบัน นี้ก็สืบทอดกันมาก็เพราะ พระที่คงปริยัติไว้ ด้วย พระที่ภาวนาด้วย

  แต่เชื่อว่า 80 เปอร์เซ็น เป็นพระที่คงปริยัติ เช่นพระที่ทำงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาที่สอนให้เรา รู้จักธรรมะใน

โรงเรียน มหาวิทยาลัย ก็ล้วนแล้วดูไ่ม่น่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่พระเหล่านี้ก็ช่วยให้เราสนใจ ในพระพุทธศาสนา

มากขึ้น และ รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตเมื่อสับสน หรือเป็นทุกข์

 :c017:
บันทึกการเข้า
ฉันมาเพราะเธอนะ ยายกบ มาศึกษาธรรมะบ้าง ยินดีที่รู้จักทุกท่านคะ
ช่วยเมตตา แนะนำด้วยมิตรภาพ นะคะ