สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => บันทึกความทรงจำ Memorytime => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 23, 2016, 02:50:47 pm



หัวข้อ: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 23, 2016, 02:50:47 pm
ขอเล่าบันทึกไว้ ให้ ท่านทั้งหลาย ได้รับทราบชีวิตจริง ของ พระ ที่ทำงานด้านการเผยแผ่ อาจจะไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดว่า มันวิเศษ สบาย อภิสิทธิ์ สะดวก อิ่มหนำสำราญ อย่างที่หลายคนเข้าใจ

    อันเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็น ทุกข์ หรือ สุข นั้น เมื่อจะเกิดย่อม มีเหต มีปัจจัย ร่วมกันมา ไม่ใช่ว่า มันจะเกิดขึ้น ลอย ๆ ได้ด้วยตัวของมันเอง

   ทุกข์ ของฉันที่มี วันนี้ ก็เกิดจาก เหตุ ปัจจัย หลายด้านที่ สะสมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
   
   การดื่มน้ำประปา เป็นประจำ คือนำมากรอง และ ต้มดื่ม เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของอาการป่วย
   การบริโภคอาหาร หมักดอง กระป๋อง ซึ่งประกอบด้วยสารกันบูด กันเสีย ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง
   การขาดการออกกำลังกาย หนัก ๆ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
   การอดอาหาร เพราะการเข้าภาวนา ระยะยาว ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
   การไม่ได้หลับพักผ่อน ปฏิบัตเนสัชิกธุดงค์ อย่างต่อเนื่อง หลายปี ทำให้สุขภาพ ทรุดโทรม อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นปัจจัยอีกส่วนหนึ่ง 
   ความชราภาพ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงจากวัย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
   การตรากตรำ ในการเดินทางที่อดหลับ อดนอน อดอาหาร ก็เป็นปัจจัยอีกส่วนหนึ่ง

   สรุป ก็คือ ทุกข์ที่เกิด ขึ้นมานั้น ต้องมี เหตุ มี ปัจจัย ให้เกิด มันถึงจะเกิด มันจะเกิดขึ้นมา โดยไม่มี สาเหตุ ไม่ได้

     วันนี้ ผล แห่งเหตุปัจจัยเหล่านั้น ได้รวมตัวกันเป็นทุกข์ บีบคั้นอัตภาพ ทำให้จิตมีทุกข์ อันเกิดจากอัตภาพ เป็นอย่างสูง

   ในวันที่ 17 มี.ค. 59
      ตื่น 03.30 น. ทำภาระกิจ ทำวัตรเช้า สวดมนต์ นั่งกรรมฐาน
          06.00 -11.45 น. ได้ทำการปรับปรุง ห้องเก็บของ ใหม่ ( ใช้เรียวแรงเยอะมาก ทำงานแบบช่าง ทั้งยก หาม แบก ผลัก ส่ง ทำด้วยตนเอง )
          11.45 - 12.10 น. ฉันภัตร์ หิวมาก แต่เหนื่อยมาก่อน ฉันได้น้อย เลยไปฉัน น้ำ เยอะมากขึ้น
          12.10 - 17.45 น. ปรับปรุง ห้องเก็บของ ให้เสร็จ โดยตัดรายการที่ไม่ได้ทำไปมาก เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงไม่ได้ตะปูเกลียว บนแผ่นพืืน
          17.45 - 18.30 น.สรงน้ำ พักผ่อนอิริยาบถ ดื่มโอวัลติน นมกล่อง น้ำจมูกข้าว
          18.45 - 20.00 น. เริ่มมีอาการปวดท้อง แต่ก็ยังนั่งทำงาน ตอบโพสต์ อยู่
           20.00 - 24.00 น. ปวดมากขึ้น ถ่ายท้อง หลายรอบ ไม่สามารถทำงานอะไรได้แล้ว นอนสักพัก ก็ต้องไปถ่าย
    วันศุกร์ที่ 18 มี.ค. 59   
      00.00- 06.00 น. อาการปวดจิ๊ด มหาศาล เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถใช้สมาธิ เข้าข่ม สลับเป็นการเข้า ญาณ คือ พิจารณา สังเวชธรรม แทน ข่มไว้ได้ ด้วยปัญญา
          ถึงแม้ บางครั้ง มันจะร้อง โอ๊ยๆ   อย่างชาวบ้าน หรือ ดิ้นพราด ๆ นั้น ด้วยจริยา ทำไม่ได้ ข่มไว้ด้วยการพิจารณาธรรม
    แต่มีเรื่องหนึ่ง ที่เห็นเป็นอัศจรรย์ ก็คือ ดอกบัวสีรุ้งเหลี่อมพราย ดอกมีความใหญ่ เท่ากับพระพุทธรูป ขนาดหน้าตัก 8 นิ้ว เกิดขึ้นเบื้องหน้าไม่หายไป ในขณะที่เข้าเจริญธรรม ปฏิจจสมุปบาท รอบที่ 2 และ 3 และก็ไม่หายไปจนกระทั่งเดินทางมาประมาณ 40 นาทีจึงหายไป
    06.00 - 07.15 น ตัดสินใจเดินทางไป รพ.
     07.15 - 11.50 น.
      ทำบัตรที่ รพ. ยืนต่อเข้าคิวกับชาวบ้าน และ เสียเวลาซักประวัติ จากผู้ออกบัตร
      ตรวจความดัน และ ชั่ง นน. เสียเวลากับเครื่อง วัดที่วัดไม่ได้ เพราะเครื่องเล็กกว่าแขน
      พบแพทย์ท่านแรก เป็น พญ. อายุกลาง ๆ สั่งให้ไปตรวจปัสสาวะ
      รอผลปัสสาวะ และพบแพทย์ ท่านที่สอง
      แพทย์ท่านที่สอง เป็น นพ. สั่งให้ไป X-ray ช่องท้อง 3 ภาพ แล้วกลับมาวิเคราะห์ สุดท้ายตอบว่า ให้ไปหาแพทย์ ผ่าตัดด้านบนชั้นสอง
      แพทยท่านที่ สาม และ สี่ เป็น นพ. และ พญ. 
         พญ. ได้ทำการซักอาการปวด และตรวจสอบ ที่ร่างกาย
         นพ.  ก็ทำเช่นเดียวกัน  ( ประพงษ์ )
         ทั้งสองปรึกษากัน เสร็จ ก็รับเข้ารักษาไว้ที่ โรงพยาบาล ตามร้องขอ เพราะ เรานั้นไม่ไหวแล้ว อ่อนเพลีย เดินกันหลาย กม. กว่าจะมาถึงห้องนี้ ( รถเข็นมี แต่ไม่มีคนเข็น รถนอนก็มี แต่เป็นเช่นกัน คนป่วยมีมาก คนบริการด้านนี้มีไม่มาก)
        ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ก็ได้นอนที่ตึกสงฆ์ พร้อมน้ำเกลือ ขวดที่ 1 และการเฝ้าดูอาการ เพลียหลับไปบ้าง สั่งงดน้ำอาหารทั้งหมด แต่ท้องน้ำย่อยก็ยังโครกคราก รู้ตัวว่า น้ำย่อยกัดกระเพาะเป็นแผลเลือดออกแน่นอนอ อาการปวด็กสูงขึ้น แต่การให้น้ำเกลือก็ช่วยให้อาการหิวเพลีย ต่ำลง
        13.00 น. คุณหมอที่รักษา เป็นทางการเดินทางเข้ามาดูอาการด้วยชุดผ่าตัด คือ พญ.มัชฌิมา ฮวบกอบ ( ไม่รู้ชื่อนะ รู้วันกลับ )
     
     18.00 น. ยาฆ่าเชื้อ สองขวดแรก ถูกปล่อยร่วมกับน้ำเกลือ ลงมาอย่างรวดเร็ว 2 ขวดต่อเนื่อง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที สองขวด แต่ก็สลึมสลือ จำได้ว่า พยาบาล ทำอะไรให้
      19.00 น. ถูกพาไปถ่าย X-ray คอมพิวเตอร์ Scan 4 ครั้ง 2 ครั้งแรก แบบไม่ฉีดยา ไอโอดีน  และอีกสองหลัง หลังฉีดยา ไอโอดีน เข้าเส้นเลือด ประสบการณ์ตรงนี้ ตอนฉีดอาการโหดพอสมควร เพราะว่ามีอาการออกร้อน หายใจขาย หลังจากฉีดเพียง 15 วินาที ร้อนตั้งแต่แขน คอ หัวใจ ลงไปถึงปลายเท้า รู้สึกตามได้หมดทุกจุด ในขณะที่ ไอโอดีน แผ่ไปเส้นเลื่อด
      ออกจากห้อง X - ray มาก็ไปถ่าย เพิ่มอีก สองภาพในห้อง ธรรมดา สรุปแล้ว ถูกถ่ายภาพ X - ray  8 ครั้ง ( 8 ภาพ )
     กลับมานอน อาการปวด ทุเลาลง
 
     19 มี.ค. 59
         09.00 น  พญ.มัชฌิมา ฮวบกอบ มาตรวจสอบถาม แล้วก็กลับ
            คุณหมอแจ้ง ติดเชื้อ หลังจากตรวจเลือด มีเม็ดเลือดขาวสูง ในกระแสเลือด
        อาการปวดแบบมากนั้น ทุเลาลง แต่จะปวดตอนให้ยา วันนี้ทนไม่ได้ ขอยาแก้ปวด คุณหมอ มาอีกท่านหนึ่ง อย่างด่วนหลังจากพยาบาล โทรตาม 
      สรุป ตอนนี้มีหมอเข้ามาดูแล เป็น 6 หมอ แต่ผู้ดูแลหลัก  พญ.มัชฌิมา ฮวบกอบ
     20 มี.ค. 59
        อาการเหมือน 19 มี.ค.59 แต่วันนี้ไม่ทานยาแก้ปวด
     21 มี.ค.59
        อาการดีขึ้น สามารถเดินไป เดินมา และนอนไม่หลับ อาศัยการเดินภาวนาบ้าง นั่งภาวนาบ้าง ไปเรื่อย พยาบาลเริ่มรำคาญแล้ว เพราะเดินไปเดินมา อยู่องค์เดียว เดินไปเข้าห้องน้ำบ่อย เพราะเขามาเก็บขวดเทปัสสาวะไม่ให้ใช้ จึงต้องเดินไปปัสสาวะที่ห้องน้ำ มันก็เลยต้องเดินไป เดินมาบ่อย
    22 มี.ค. 59
        อาการปวด เป็นเหมือน ปวดเป็นพักๆ แบบทนได้ คุณหมอแจ้งว่า เป็น นิ่ว แต่ไม่ได้บอกว่า ปัสสาวะ หรือ ไต แต่ให้กลับบ้าน ได้ ( พูดว่าให้กลับบ้านนะ )

      สรุป มีอาการป่วย อยู่ 4 อย่าง

       1. ติดเชื้อในลำไส้ และ กระเพาะอาหาร
           ( บำบัดด้วยยา ฆ่าเชื่อแบบน้ำ ฉีดเข้าเส้นเลือด 9 กระปุก / แต่ให้ยา ฆ่าเชื้อ มาทาน ต่อ อีก 30 เม็ด Doxazosin mesylate 2 mg หลังทานจะปวดท้อง พอทนได้ )
       2. มีบาดแผลในกระเพาะอาหาร
           ( บำบัดด้วยยา ที่ รพ.ด้วยนำ้เกลือ 5 กระปุก )
       3. นิ่ว ( ไม่ได้บอกว่า เป็นที่ท่อปัสสาวะ หรือ ไต ) ถามแล้วไม่ได้บอกว่า เป็นตรงไหน เหมือนเกรงว่า เราจะตกใจว่า เป็นที่ไต คาดการณ์ว่า เป็นที่ไต
            ( ส่วนนี้ไม่ได้ บำบัด และก็ยังไม่ให้ยาบำบัด คำแนะนำให้ไปดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 2 ลิตร ขึ้นไป )
        4. ความดันโลหิตสูง ตอนก่อนเข้า วันที่เดินทางไป ทั้งไม่ได้นอน และต้องเดินไป เดินมาพร้อมอาการป่วยด้วยนั้น ขึ้นถึง 292 ดังนั้นส่วนนี้มียาบำบัด ให้กลับมา ซึ่งไม่เกี่ยวกับการปวดท้อง ทานยาแล้วมีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่นอาการปวดหัว และปวดกราม ทั้งปากเลย ขากระตุกเอง ต่อเนื่อง 12 ชม. ถึอว่า ทรมานเพิ่มขึ้น มากกว่าเดิม วันนี้ คิดว่าจะไม่กินยานี้แล้ว จะบำบัดด้วยสมาธิแทน

       ก็บันทึกไว้ เป็นเครื่องเตือนใจ ตนเอง และ ท่านที่ติดตาม





       

   
       

         
     
   


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: sinsae ที่ มีนาคม 23, 2016, 06:11:20 pm
 :13: :13: :13:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มีนาคม 23, 2016, 11:29:51 pm

        ยาหม้อละลาย  เม็ดนิ่ว  ปรุงเสร็จแล้ว บรรจุขวดแก้ว 1 ลิตร(ต้องกินจนหมด)

             ตอนนี้ผมยังทำงานยังไม่มีเวลาเอาไปใถวายครับ.....ต้องรอวันเสาร์(เช้า) ครับ

          พระอาจารย์ทานยาแผนปัจจุบันไปก่อนนะครับ



                     ขอให้อาการครูทุเลาตามลำดับนะครับ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มีนาคม 23, 2016, 11:38:35 pm

      เรื่องอาหาร ที่เก็บในตู้เย็น  อันไหนที่สุ่มเสี่ยงเชื้อรา ต้องตรวจ ไม่ดีทิ้ง

           และต้องอุ่นก่อนฉัน......

                  อาจจะมีส่วนต่อความผิดปกติในอาการของ กระเพาะอาหาร ครับ

          ต้องเคลือบกระเพาะด้วยยากระเพาะ   เรียกว่าฟื้นฟู  ให้อาการปวดหายไป น่าจะมีกรดมาก  เพราะเป็นผลข้างเคียงมาจากอาหาร

             ที่ยังต้องคำนวนอีกว่าเป็นอาหาร อะไร   จะต้องมีเหตุ




                  ต้องค่อยดูไปสังเกตไปเรื่องอาหาร  และสังเกตุอาการ ว่าดีขึ้น เพราะเหตุอะไร ตัด อาหารสุ่มเสี่ยง อะไรออกไป



                    สาธุ สาธุ ครับ ครูบาอาจารย์


หัวข้อ: เหตุปัจจัย และ มาตรฐาน การรักษาไม่เหมือนกัน อย่าคาดหวังอะไรมาก
เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ มีนาคม 24, 2016, 07:07:53 am
 ask1

มีหลายท่าน สอบถามกันมาว่า
  1. ทำไม พอจ. ไม่รักษาให้หายก่อนค่อยออกจาก รพ.

  2. ทำไม ไม่ฉันอาหารปกติ

  3. ทำไม ไม่ไป รพ. เอกชน

  อื่น ๆ


 ans1
    1. ทำไม พอจ. ไม่รักษาให้หายก่อนค่อยออกจาก รพ.
     
     ออกตามความเห็นของคุณหมอ วันสุดท้ายคุณหมอ ไม่คุยด้วย อีกอย่างพวกพยาบาล เขาเห็นว่าเดินไปเดินมาได้แล้ว ก็บอกว่า ให้ออกได้ประมาณนั้น เรื่องของ จนท. ต่าง ๆ ใน รพ. นั้น จะไม่วิจารณ์ เพราะว่า ไม่มีทั้งคนที่ดี และ คนที่ไม่ดี ถ้าเขียนวิจารณ์เรื่องนี้ เป็นชุดเลยตั้งแต่ เริ่มทำบัตร เลยละ
     
     เอาเป็นว่า การรักษาที่ รพ. ก็เป็นมาตรฐานแบบฟรี อยู่แล้ว ดังนั้น รักษา ฟรี อย่าไปคาดการณ์ ความพิเศษของการรักษา ยารักษาโรค ตลอดถึง บริการ ที่หลับนอนรักษา อาหาร ไม่ได้พิเศษอะไรทั้งนั้น เป็นไปตามมาตรฐาน ( ต่ำกว่าที่คิดไว้ )

     บางท่านบอกว่า ไม่ระบุเลือกหมอ ไปเลย ขอตอบว่า ทำไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการเบิกจ่าย ระบุหมอรักษา นอนห้องพิเศษได้ ดังนั้นสิ่งที่หมอประกาศิต ลงมาใน รพ. นั้น ก็ต้องตามนั้น ที่สำคัญหน่วยพยาบาล ไม่ใช่ชาวธรรมะ จะได้ดูแล พระ เป็นอย่างพิเศษ เพราะเห็นมาแล้ว โดนมากับตัวเรื่อง การบริการทางด้านพยาบาลนั้น ต่ำกว่าที่คิดไว้มาก ห่วยกว่าเมื่อสิบปีก่อน ความใส่ใจหนักไปทางใช้เครื่องมือการแพทย์มากขึ้น ทำให้มีเวลาคิดมาก ๆ ขึ้น

    ดังนั้นการรักษา พอจ. ตลอด 5 วัน ที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีความพิเศษใด ๆ ส่วนใหญ่ อาศัยกำลังกายของตนส่วนที่ดี ช่วยเหลือตนเอง ดูแลตนเองไปด้วย

    สรุปการรักษา เป็นไปตามมาตรฐาน ฟรี หรือเรียกว่า รักษาแบบอนาถา คือ รักษาให้กับคนยากจน
   
   

    2. ทำไม ไม่ฉันอาหารปกติ

    เป็นพระเลือกฉันไม่ได้ ยิ่งถ้าบิณฑบาตรไม่ได้ มีอะไรก็ต้องฉันอย่างนั้น อะไรพอจะเก็บพยุงชีวิตได้ ก็ต้องเก็บไว้ ดังนั้นเรื่องการฉันมีความเสี่ยงตลอดนั่นแหละ ดีที่ว่า ช่วงหลัง ๆ ลูกศิษย์ เขาได้ซื้ออาหารสำเร็จรูป แต่มีมาตรฐาน มาให้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เช่น ปลากระป๋อง แบบ ไม่มี มอก. ก็เปลี่ยนเป็นแบบมี มอก. คือต้องเพิ่มระดับมันจะแพงขึ้นกว่าสักนิด แต่มี มอก. อย อะไรพวกนี้ ก็ยังมีความปลอดภัยขึ้นอีกหน่อย

     ส่วนบะหมี่ สำเร็จโดยปกติจะไม่ฉัน แต่พอมาช่วงหลัง ๆ นี้ บางครั้งต้องเดินทางฉันด่วนก็เลยต้องฉัน เสร็จแล้วมันก็ไปซับน้ำในร่างกายเข้าไปไว้ตัวบะหมี่ นั่นแหละ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้นบะหมี่สำเร็จรูปต้องทานตอนมันอ่ิมตัว ก็ประมาณ 30 นาทีในการแช่กับน้ำร้อน ไม่ใช่ 2 - 3 นาที ( แต่ปกติเราไม่ค่อยรอ )
   
     สรุป เป็นพระเลือกฉันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับท่านผู้ใจบุญถวายภัตร์กันมา ต้องฉันไปตามที่มี


    3. ทำไม ไม่ไป รพ. เอกชน
 
     นั่นสิเห็นรณรงค์ กันมากมาย ห้ามพระรับเงินปัจจัย เพราะว่าจะนำมาซึ่งกิเลส ไม่พ้นกิเลส แต่ความเป็นจริงการไป รพ.เอกชน มันไม่ฟรี ไม่ใช่แต่เอกชน ของรัฐหลายอย่างก็ไม่ได้ฟรี อย่านอกระบบทุกอย่าง ต้องจ่ายตังค์ ถ้าขออะไรเพิ่มนอกระบบแล้วต้องจ่ายตังค์ ขออาหารพิเศษก็ต้องจ่ายตังค์ หลายปีมานี้ ฉันไม่ไดอยู่วัด หรือมีรายได้ ใด ๆ เลย ทุกวันก็นำทุนที่มีส่วนตัวออกมาใช้ในการเผยแผ่ จนจะหมดแล้ว จึงทำให้เป็นบุคคลที่ไม่มีเงินปัจจัยติดตัวอย่างเมื่อก่อน ดังนั้น เรื่องเงินปัจจัย จึงเป็นเรื่องลำบากใจ ลูกศิษย์ที่มี แต่ละคนก็มีภาระแตกต่างกันไป

    การไป รพ.เอกชน ได้รับการรักษาดี จริง แต่ มีค่าใช้จ่ายสูง เคยผ่าตัดไส้ติ่งนอน 3 วัน 2 คืน หมดไปร่วม 60,000 กว่าบาท อันนั้นคือสภาวะ ที่มีรายได้ จึงได้ไปรักษาที่ รพ.เอกชน ดังนั้น รพ.เอกชน ถ้า 15 ปีที่แล้วจะมีประวัติการรักษาของ พอจ.อยู่มาก ในขณะที่ รพ. สระบุรี ไม่มีประวัติการรักษาเลย

     การใช้บัตรรักษา ระดับการรักษา ไม่เท่ากัน ถ้าเป็นบัตรทองจะดีกว่า แต่เพราะเป็นพระ ไปขอทำไม่เคยได้ทำ ให้กลับทุกครั้ง ขอมาเป็นสิบครั้งไม่เคยได้สักใบ สิทธิ์บัตรทอง กับ สิทธิ์ พภ. เวลาใช้ต่างกันอยู่

     ของพระภิกษุ ค่ายา ส่วนที่เป็นยานอกบัญชี  คือมีใบขอรับการบริจาคจาก มูลนิธิ ทุนนิธิ เห็นในตอนเอาเอกสารคำร้องขอรับการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ดังนั้น ส่วนของ บัตรทอง ไม่มีการขอตรงไปตรงมาตามนั้นเบิกจ่ายตามจริง

    สรุป ไม่มีปัจจัยพอที่จะเข้าไปรักษา ที่ รพ.เอกชน


     
 


หัวข้อ: พยายามไม่ออดอ้อนเวลาปวด แต่กลายเป็นเรื่องที่ถูกหมั่นไส้ เคสที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ มีนาคม 24, 2016, 08:02:04 am
หลายท่านพยายามอยากให้พระอาจารย์วิจารณ์ บุคคลากร ใน รพ. ในขณะเข้ารับการรักษา แต่เอาเป็นว่าไม่วิจารณ์ จะดีกว่า แต่จะเล่าเคสสักเคส นะ ที่เขาหมั่นไส้ กันมากอีกเคสหนึ่ง ตั้งชื่อเคสว่า

"พยายามไม่ออดอ้อนเวลาปวด แต่กลายเป็นเรื่องที่ถูกหมั่นไส้" เคสที่ 1

  นานาจิตตัง แต่ละคนที่ยังมีกิเลส เมื่อประกอบหน้าที่ ก็มีความคิดต่างกันไป อยู่ รพ. มาเข้ากับรักษาเจอพบบุคคลากร ใน รพ. ตอบได้เลยว่า ความนับถือพระกันนั้นมีน้อยมาก

      สังเกต จากการต้อนรับ การพูดคุย และการได้รับบริการ
   
        การต้ัอนรับ
           ดูได้ทันที ไม่มีการยกมือไหว้พระสงฆ์ นี่แสดงถึงความนับถือเบื้องต้น หลายคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญแค่มารยาท แต่ขอบอกท่านทั้งหลายหากเป็นชาวพุทธ นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว เรื่องนี้จะไม่มีขาด 5 วัน 5 คืน ฉันเห็นมีที่ใช้ได้เลย คือ
       1. ผู้ซักประวัติหลังทำบัตรคนแรก เอื้อเฟื้อทันที และให้คำแนะนำทันทีด้วย
       2. คุณยาย จิตอาสา ตรงเครื่องวัดความดัน อันนี้ช่วยเหลือเรื่องรถนอน
       3. คุณศรี ( มาช่วยเพราะติดต่อไป อันนี้เพราะความจำเป็น )
       4. คุณหมอประพงษ์ ไหว้ก่อนซักประวัติ การพูดจากับพระสงฆ์มีความระวัง และชัดเจนพูดอย่างใจเย็น
       5. คุณหมอฝึกหัด ไหว้ตามคุณหมออาจารย์ ตามมารยาท
       
       นอกนั้นไม่มีใครไหว้ พระสงฆ์ เลย ตั้งแต่อยู่มาหลายวัน จนออกแม้กระทั่งกลับ นั่นแสดงให้เห็นว่า บุคคลากรไม่ได้นับถือพระสงฆ์ ทางธรรมเลยคิดแต่ว่า พระสงฆ์ก็เหมือนคนป่วยทั่ว ๆ ไป ที่เขาจะต้องช่วย ไม่ได้คิดถึงบุญกุศล ว่ารักษาพระสงฆ์ที่อาพาธ ด้วยความรู้สึกที่เป็นบุญจะได้บุญมาก

         การพูดจา
            ดูได้ทันที จากความเป็นคนเจ้าอารมณ์ เก็บกด อาจจะเป็นเพราะว่าสะสม การเห็นคนเจ็บ คนตาย จนเป็นความเคยชิน ไม่ใช่เห็นแบบธรรมะ ดังนั้นบางครั้งการพูดจา จึงห้วนเพราะว่า เคยแต่พูดดุคนไข้
   
            พยาบาล มีการใช้วาจา ปรามาส ด้วย ผรุสวาจาทุกวัน มีการพูดแดกดัน แบบต่าง ๆ ทุกวันที่เข้ารักษา ยิ่งอยู่ ก็ยิ่งเป็นบาปแก่เขา คนเหล่านี้ไม่ได้บุญ มีแต่ได้รับโทษ
         
           พยาบาล ไม่สามารถแยกแยะ พระปฏิบัติด้วยการคลุกคลีหลาย วันก็เห็นใจ เพราะพระที่เข้ารักษาส่วนใหญ่ ก็จะเป็นประเภทหลวงตาหัวดื้อ พระต่างด้าวพูดไม่รู้เรื่อง เป็นต้น นาน ๆ มากจะมีพระสายปฏิบัติ มาสักองค์ ดังนั้นจึงจำแนกไม่ได้ ว่า พระดี หรือ ไม่ดี ถึงแม้ ทาง รพ.จะมีการส่งบุคคลากรเข้ารับการฝึกธรรมะ ตามวัด แต่เป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่งมีจำนวนผู้เข้าฝึกไม่กี่ท่านหรอก แม้หลักสูตรพยาบาล จะมีส่งเข้ารับการฝึกฝนทางด้านจิตใจ 3 วัน 7 วัน แต่ พระธรรมที่เข้าในจิตแก่ผู้เข้าฝึก ก็ไม่ได้ก้าวหน้าอะไร สังเกตจากน้องสาวที่เป็นพยาบาล ตนเองก็เช่นกัน ไม่เคยยกมือไหว้ หลวงพี่เวลามาเยี่ยมมาถึงก็จะยืนทางใกล้ศรีษะ และก็พูดจาแดกดันเช่นกัน แต่ก็ยังมีระวัง เพราะความเป็นพี่น้อง ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ไม่ใช่ญาติเลย

            ในสถานที่เข้ารับการรักษา นั้น มีพยาบาลเพียง 3 ท่านเท่านั้นที่ผ่านในสายตา แต่มันเป็นจำนวนน้อยไป เพราะกะหนึ่งเวลาเขาจับเวร ชุด ละ 12 คน  ดังนั้น 3 คนใน 36 คนจึงเป็นตัวเลขที่น้อยมาก

        การให้บริการ
       
            โดยหลักการ ๆ ปฏิบัติกับพระสงฆ์ ต้องให้ความเคารพ ไม่ใช่แค่เป็นพุทธ ในทะเบียนเท่านั้น ครั้งแรกที่พระอาจารย์ จะเริ่มเจาะน้ำเกลือ ก็โดนใส่อารมณ์ โดยพยาบาลท่านแรก ทันที เรื่องเบา ๆ ง่าย ๆ สักสองเหตุการณ์
       
          เหตุการณ์ที่ 1 เมื่อถึงเตียง
   
          พยาบาล พูดว่า เดี๋ยวไปเก็บปัสสาวะด้วย นะ จะเจาะให้น้ำเกลือแล้ว
          พระ พูดว่า อย่างนั้นปวดอยู่พอดีไปเก็บปัสสาวะก่อนเลยนะ เดี่ยวค่อยเจาะแป๊ปหนึ่ง เพราะว่าเจาะแล้ว มีน้ำเกลือเข้าห้องน้ำลำบาก
          พยาบาล โกรธหน้าดำไปพักหนึ่ง ( เรื่องมากจังพระองค์นี้ ) พูดว่า ฉันไม่ได้มีเวลามากนะจะได้มายืนรอ ( อันที่จริงหลังจากเจาะก็เห็นไปนั่งพูดคุย นั่งเล่นเกือบ 30 นาที )

          เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อฉันอาหารเสร็จ

          หมอเร่ิมอนุญาต ฉันอาหาร พอฉันเสร็จ อาจารย์ก็จะลุกนั่งเก้าอี้ข้างเตียง กับเดินเล็กน้อย พระรูปอื่น ๆ ฉันเสร้จนอนหมด เหลือแต่อาจารย์ เดินอยู่ข้างเตียง จงกรมข้างเตียง ( เดินแบบสบาย ๆ ) แต่พยาบาลมองว่า วุ่นวาย ทำตัวไม่เหมือนพระรูปอื่น เวลาฉันน้ำเดินไปฉันน้ำอุ่นน้ำร้อน ไม่ฉันน้ำในเหยือกที่เตรียมไว้ให้ ก็มีเสียงบ่นว่า เป็นพระเรื่องมาก

         ( พยาบาล ไม่ได้ชีวิตพระสงฆ์ประจำวัน ดังนั้นการกระทำอย่างนี้ที่ รพ. เรียกว่า พระเรื่องมาก
         1. นั่งสมาธิ เมื่อร่างกายพอนั่งได้ ก็นั่งกำหนดจิตสัก 30 นาที
         2. ฉันเสร็จลุกเดินสักประมาณ 20 นาที   )

         แต่พิจารณาภาพรวม ก็ยังได้รับการรักษา มาตรฐาน ถึงแม้ไม่ได้ดี ตามมาตรฐานที่คาดไว้ แต่ก็ยังไม่หลุดจากมาตรฐาน

         
 


หัวข้อ: ลักษณะ ของดอกบัวที่เห็น
เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ มีนาคม 24, 2016, 08:15:55 am
มีคนหลายถามเพราะอยากรู้ลักษณะดอกบัวที่ปรากฏ เห็นนั้นเป็นแบบไหน ?

 (https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtl1/v/t1.0-9/12106725_897337883715990_1164639940054965043_n.jpg?oh=d227a8135b1c9aff320e39b3764544c4&oe=574E6B4E)

ตามภาพนี้ใกล้เคียง

    ลักษณะ ยึดตามภาพที่แสดง
      1. ดอบบัวมีขนาดใหญ่ ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 - 15 นิ้ว
      2. มีชั้นกลีบซ้อนกัน 8 ชั้น
      3. ปลายกลีบงุ้มเป็นลักษณะ วงกลม คือมองด้วยสายตา ถ้ากลีบบัวหุบหมดก็ จะเป็นทรงกลม
      4. สีดอกบัว เปลี่ยนสี น่าจะประมาณ 5 สีเปลี่ยนสลับไปมา
      5. ไม่มีก้านบัว
      6. ลักษณะปรากฏขึ้นหลังจาก ปฏิจสมุปบาทเข้ารอบที่ 2
      7. ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตรงส่วนคอห่างประมาณ 1 ศอกกว่า ๆ
      8. มันมีคำตอบบางอย่างให้ ในระหว่างที่เห็น โดยเฉพาะเรื่องเหตุปัจจัย


 
 


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มีนาคม 24, 2016, 09:24:43 am
มองเห็นดอกบัวแปลว่าอะไรค่ะ  ask1


หัวข้อ: มันเป็นเพียง นิมิตร เฉพาะหน้า ไม่ได้มีความหมายอะไร กับใคร ทั้งนั้น
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 24, 2016, 10:13:17 am
ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะบอก แต่เผอิญ ว่าหลุดปากออกไปคราแรก เพราะคิดจะไปแล้วก็เลยบอกศิษย์บางท่านให้ทราบ

ตอบง่าย ๆ ก็แล้วกัน เพราะตอบลึกมากกว่านี้ให้ไม่ได้

    การเห็นนิมิตรดอกบัว เบื้องหน้านั้น เป็นการเจริญจิตในแบบวิปัสสนาตรง คือการเจริญปฏิจสมุปบาทธรรม ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดในการเจริญมรรคทั้งหมด เพื่อจุดประสงค์ในการละกิเลสขั้นสุดท้าย ผู้ที่มาถึงการเจริญขั้นนี้มีไม่มากในปัจจุบันเพราะว่า ถึงแม้จะใช้ปัญญา แต่ก็ไม่ได้ใช้ สังขาร ( ความคิด ) เข้าไปปรุงแต่ง เพราะธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้น เกิดจากผลสมาบัติ ด้วยเหตุหลายประการ แล้วแต่ บุคคลผู้เข้า

     สำหรับอาจารย์คือการยับยั้ง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า ให้สงบลง เพราะว่ามันปวดแบบอยากตะโกน ดิ้นไปดิ้นมาแล้ว เรียกว่าสุด ๆ แต่ จริยของพระไม่สามารถทำได้อย่างฆราวาส ต้องข่ม เวทนา ( ความเจ็บปวด ) ลงด้วยวิปัสสนา อันนี้ แต่ผลของวิปัสสนาอันนี้ ทำให้เข้าถึงที่สุดว่า

    1. ระงับดับทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นระหว่างที่มีนิมิตร
    2. ถ้าไม่ต้องการระงับเวทนา ที่กายขันธ์แล้ว ให้ทำการอธิษฐาน เข้าดอกบัวเลย อันนี้รูโดยธรรมชาติของผู้ภาวนา การอธิษฐานเข้าดอกบัว ก็คือการละสังขาร ดังนั้นเราก็จะสามารถละสังขารในอิริยาบถที่ต้องการได้ เช่น นั่งสมาธิละสังขาร ยืนเดิน นั่ง นอน ทั้งหมด ตามความปรารถนา
   
       ( อันนี้คือสิ่งทีเห็น )
     
       เมื่ออธิษฐานจิตเข้าดอกบัวแล้ว ดอกบัวก็จะหุบรับดวงจิตเป็นรูปทรงกลมซ้อนกัน 8 ชั้น จากนั้นดอกบัวก็จะสลายไปพร้อมกับดวงจิตทันที ทีุ่หุบเรียบร้อย

       ( อันนี้รู้โดยสัญชาตญาณ )

      ที่นี้คำถามที่ห้ามถามต่อฉัน ก็คือ ผู้ที่เห็นดอกบัว คือ พระสงฆ์ระดับไหน
      คำตอบนั้น ฉันไม่รู้หรอก ว่าระดับไหน ? และจะมีกี่องค์ ที่ได้เห็น
      เพราะฉันพึ่งเห็น กับจิตตนเอง และ ตาภายนอกเป็นครั้งแรก เช่นกัน
      จะเกิดกับใคร กับพระระดับไหน คงตอบให้ไม่ได้ นะ

      เท่านี้ก็แล้วกัน

   :bedtime2:
     

    ก็ขอบคุณทุกท่าน ที่แจ้งว่ามันเป็นภาพหลอนที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ป่วย จิตก็เลยสร้างภาพหลอนขึ้นมาหลอกตัวเองให้หายป่วย อย่างไร ก็เป็นภาพหลอนที่มีประโยชน์ ขอให้ท่านมุ่งความคิดไว้อย่างนี้ก็ดี นะ จะได้ไม่ประมาท

     ขอบคุณที่แสดงความเห็นมาให้เป็นส่วนตัว แต่ขอเอามาตอบรวมก็แล้วกัน


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: modtanoy ที่ มีนาคม 24, 2016, 10:25:04 am
บ้าไปใหญ่แล้ว เห็นที่ รพ. แล้ว ยังบ้าเหมือนเดิม
นิมง นิมิตร อุปาทาน มากกว่า
  พระเก็บกด บ่นด่า คนอื่น เพี้ยนไปตั้งแต่ ละทิ้งแนวสวนโมก

  :smiley_confused1:
 


หัวข้อ: ขอบคุณที่เตือนว่า เป็น อุปาทาน
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 24, 2016, 10:26:57 am
บ้าไปใหญ่แล้ว เห็นที่ รพ. แล้ว ยังบ้าเหมือนเดิม
นิมง นิมิตร อุปาทาน มากกว่า
  พระเก็บกด บ่นด่า คนอื่น เพี้ยนไปตั้งแต่ ละทิ้งแนวสวนโมก

  :smiley_confused1:

  ขอบคุณ ที่เตือน
แต่จะดีใจมาก ถ้าขึ้นมาเยี่ยมกันตอนป่วย
เห็นโยมแล้ว นึกว่าจะขึ้นมาเยี่ยมกันเสียอีก

   และก็เห็นอีกประมาณ 15 ท่าน
รวมทั้งพวกที่เดินแกล้งไม่รู้จักกันนี่
แม้แต่พวก พยาบาลโกหก ว่าติดต่อน้องสาวให้
ระวังกรรมที่จะเกิด กับตัวเองกันบ้างนะจ๊ะ

   อนิจจา แค่เปลี่ยนสายกรรมฐาน แค่นี้ก้เลิกนับถือกันแล้ว
ใจคอพวกเรียนธรรมะ ไม่ตั้ง สมุทัยกันเลยนะ



หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: modtanoy ที่ มีนาคม 24, 2016, 11:03:12 am
ทิฏฐิ ผิดไปแล้วนี่
    งมงาย แจกพระเครื่อง ปลุกเสก ลงเลขยันต์
    ไม่ใช่วิชา ในสายพุทธ

    หลวงพ่อพุทธทาส ท่านก็สอนศิษย์ทุกท่านได้เข้าใจนะ มีแต่ท่าน ไม่เข้าใจ

  มืดมา มืดไป  สว่างมา มืดไป

  แล้วอย่างไงละคะ ไม่มีคนช่วยใช่ไหม เห็นหรือยัง ถ้าไม่ใช่สายพุทธ คนช่วยจริง ไม่มีนี่ถ้าหากท่านยังคงแนวทางสวนโมก พวกเราก็ยังยินดีช่วยเหลือ ในฐานะคนบ้านเดียวกัน

    :67:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 24, 2016, 11:05:43 am
เจริญพร ขอบคุณ

    ถึงแม้ในสายนี้ จะมีเรื่องดูเหมือนงมงาย อยู่บ้าง ในเรื่อง สรรพวิชา แต่มันเป็นสายกรรมฐานเดียวที่ทำให้ฉัน เข้าฌานสมาบัติได้ ตลอดถึงคุณธรรมก้าวหน้าได้ ดังนั้น ฉันคงต้องกตัญญู กับสายที่ให้วิมุตติกับฉัน นะ คงจะร่วมไม่ได้กับพวกที่ไม่มีวิมุตติ

     :bedtime2:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ มีนาคม 24, 2016, 04:03:54 pm
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มีนาคม 24, 2016, 04:13:16 pm
ยัยมดตะนอยนึกว่าตายไปผุดไปเกิดใหม่แล้ว นี่ยังตามละลานกัดจิกไม่เลิก เพียงเพราะไม่ใช่ธรรมสายของตัวเอง แบบนี้ถือว่าแย่มากๆ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ มีนาคม 24, 2016, 04:25:29 pm
คุณ pom ต้องระมัดระวัง สัมมาวาจา ด้วยนะจ๊ะ
เป็นห่วง ..... เดี๋ยวจะไม่จบ

  :58:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มีนาคม 24, 2016, 04:56:08 pm
ลบก่อน อารมณ์ร้อนไปหน่อยโทษที   >:( ขอบคุณ คุณกบที่เตือนสติ คนมันโมโหทำให้คิดอะไรวู่วามไป ช่วงนี้เป็นไรไม่รู้ทำอะไรอารมณ์ร้อนไปหมด  :41:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มีนาคม 24, 2016, 08:23:30 pm

     ขออนุโมทนาสาธุ  ในธรรมทั้งหลายทั้งปวง ของครูบาอาจารย์ ครับ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: บุญเอก ที่ มีนาคม 25, 2016, 12:38:17 am
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: suchin_tum ที่ มีนาคม 25, 2016, 01:59:35 am

ขออนุโมทนาสาธุ ค่ะ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 25, 2016, 10:12:44 am
การไป รพ. เที่ยวนี้อันที่จริงไม่หวังความสำเร็จในการหายจากโรคเลยนะ แต่ที่ต้องไป เพื่อตอบโจทย์ลูกศิษย์หลายท่าน ซึ่งเหมือนจะบ่นว่าอาจารย์ไม่ไปหาหมอ ดื้อ อวดเก่ง ป่วยทำไมไม่ไปหาหมอรักษา ประมาณนั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจไปหาหมอ ตามศิษย์หลายท่าน แนะนำเพื่อเป็นการตอบโจทย์ดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะหายจากโรคเลย ตั้งแต่ก่อนไป
สำหรับอาการป่วยตอนนี้ ก็ทรงตัวอยู่เท่ากับปวดจากเริ่มเป็นวันที่ 3 คือ ปวดแบบทนได้ ตามภาพที่แสดงระดับการปวดให้เข้าใจก่อนหน้า ตอนนี้อาการมันแย่ลงเพราะยา มีอาการแย่ลง 3 อย่าง ๆ เห็นได้ชัด
คือ
1. ปวดกรามทั้งบนและล่าง คือ ปวดฟัน หมดทั้งปากเลย 12 ชม. หลังจากทานยา
2. ขาซ้ายไม่มีแรง เหมือนจะเป็นอัมพฤติ เป็นประมาณ 10 ชม.หลังจากทานยา
( เกิดจากยาลดความดัน Doxazosin )
3. อาการปวดขยายวงกว้างขึ้นจากเคยปวดแค่ซ้ายล่าง กลายเป็นปวดทั่วท้องเลยตอนนี้ เพราะว่ายาคงออกฤทธิ์ ทุกส่วนในท้อง ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง มีพะอื่ดพะอม จุกเสียด แน่นท้อง เพิ่มขึ้น
( เกิดจากยาฆ่าเชื่อ Pocitrin )
3 อย่างนี้เป็นอาการที่แถมกลับมาตอนนี้ เลยมีความคิดว่า จะหยุดการใช้ยาทั้งหมดเลย ขอตั้งต้นใหม่ เป็นเวลาสองอาทิตย์ ใช้พลังจิตประคองไว้ และรักษาด้วยการเดินจงกรม ดื่มน้ำให้มากขึ้น
เจริญธรรม / เจริญพร


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มีนาคม 25, 2016, 11:18:43 pm
 st11 st12 :035: :035: :035:
       การที่ครูบาอาจารย์ มิได้มี ความหวัง ว่าจะหายจากโรค


               ก็เพราะอนึ่ง.......


         เรื่องก้อนนิ่ว เป็นเพราะ เป็นพระปฏิบัติ ต้องนั่งนาน  และเป็นเวลานานๆอาจจะหลายวันก็ได้ที่เข้าสมาธิภาวนา

          นานหลายวันกว่าจะได้ปัสสวะ  เช่นออกแล้วจึงได้ปัสสวะหนึ่งครั้ง ทำให้ระบบทางกาย

         เปลี่ยนแปลง ปัสสวะตกตะกอน รวมเป็นก้องนิ่วทีละน้อยๆ

         นี้เป็นผลมาจากเหตุ คือ การได้เป็นพระนักปฏิบัติ

                 แต่ไม่เป็นไรเรามาลองวิเคราะห์ วินิจฉัย วิธีแก้ กันเป็นตอนๆ ตามที่เห็นก่อน



                   การดื่มน้ำประปา  เกี่ยวมั๊ย  ประปากรองแล้วมีตะกอนเยอะมั๊ย ความเป็นกรดด่าง

         มากเกินไป อาจทำให้ตกตะกอนในร่างกาย หรือตะกอนตกค้าง ทั้งๆที่กรองแล้วแต่ไม่ได้ช่วยได้ 100 เปอร์เซ็น

            ตรงนี้เอาเป็นว่า  ถ้าเปลี่ยนไปใช้ตู้กดน้ำ (ใครจะไปกดน้ำ)  เปลี่ยนไปดื่มน้ำเปล่าสำเร็จรูป หรือซื้อเครื่องกรองน้ำ

              ใครจะเป็นเจ้าภาพ

                         เม็ดนิ่วอยู่ที่กระเพาะปัสสวะ  หรืออยู่ที่ไต    นี่แหละปัญหา

           ถ้าอยู่ที่กระเพาะปัสสวะ หายกระจาย ชัว คือละลายได้อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ที่ไตเหมือนที่ครูสันนิษฐาน ทำไง

  จะหาย หรือตัวยาจะละลายได้ดั่งใจมั๊ย

              เข้าสมาธิเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยดื่มน้ำ  ปัสสวะจึงตกตะกอนง่ายกลายเป็นก้อนนิ่ว

     ทางหมอให้ดื่มน้ามากๆ  หรือถ้าใช้เวลาแค่น้ำธรรมดาก็ละลายได้

          ผ่าน เอาเป็นว่ากินยาหม้อดีกว่า จะได้ไม่ทรมาณ เป็นอีกก็ต้มอีก  หมดขวดละลายไม่หมดต้มอีกขวด


               ผลข้าเคียง ยาหม้อมีรสเฝื่อนคอออกเปรี้ยว ต้องดื่มน้ำตามล้างคอ และรอให้ยาทำปฏิกริยา


                   พระอาจารย์ มีผลข้างเคียงเรื่อง โรคกระเพาะอาหารด้วย  ยามีรสเปรี้ยว งานเข้า

               แต่ยามันก็เดินทางต่อ จากกระเพาะไปอีกเน๊าะ ดื่มน้ำามากๆ ไล่มันลงไป

                                     ขอหยุดวินิจฉัยแค่นี้ก่อน ตอนนี้อยู่หินกอง จะกลับนครนายกและ


                                           ยังไงก็หายครับ
                 


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ มีนาคม 27, 2016, 10:05:04 am
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ มีนาคม 27, 2016, 07:12:17 pm
ขนาดป่วย ยัง ดุเดือดเลยนะครับ ชีวิตพระอาจารย์ นี้

  :25:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มีนาคม 27, 2016, 07:18:26 pm
  :smiley_confused1:

ปวดตาอ่านไม่ไหว ขอพักครับ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: bajang ที่ มีนาคม 27, 2016, 09:28:22 pm
เฮีย พักรักษาตัว ก่อน เนาะ
 อย่าพึ่งอ่าน เลย เนาะ
 อาเฮีย พักเหอะ เนาะ

 :49: :85:


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: suchin_tum ที่ มีนาคม 28, 2016, 10:55:36 pm
ขอให้หายไวๆนะคะ


หัวข้อ: Re: เมื่อ ถึงคราที่เรา ต้องเข้ารับการรักษา ในรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: sinsae ที่ มีนาคม 29, 2016, 02:30:58 pm
ตอนนี้อาการ ท่านเป็นอย่างไร บ้างครับ

  ;) :49: