ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “สะดือแม่น้ำโขง” ที่ วัดอาฮงศิลาวาส..งดงาม เงียบสงบ (ชมภาพและคลิป)  (อ่าน 4628 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


“วัดอาฮงศิลาวาส” งดงาม เงียบสงบ ริมฝั่งแม่น้ำโขง

ใครที่อยากพักผ่อนอย่างเงียบสงบ ในบรรยากาศริมฝั่งน้ำโขง เยือนบึงกาฬครั้งต่อไปอย่าลืมเข้าไปที่ วัดอาฮงศิลาวาส


บรรยากาศริมแม่น้ำโขง ถือเป็นบรรยากาศแห่งความเงียบสงบที่นักท่องเที่ยวหลายคนถวิลหา ซึ่งด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของแม่น้ำโขง ทำให้มีหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมถึงหลายพื้นที่ท่องเที่ยวมีเส้นทางคาบเกี่ยวกับแม่น้ำโขง วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปรู้จักกับอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจ และเป็นส่วนสำคัญแห่งหนึ่งของแม่น้ำโขงที่ วัดอาฮงศิลาวาส จ.บึงกาฬ

     วัดอาฮงศิลาวาส ตั้งอยู่ที่ จ.บึงกาฬ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 21 ก.ม. มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาว่า
     วัดนี้สร้างขึ้นโดย หลวงพ่อลุน ซึ่งสร้างวัดขึ้นท่ามกลางป่าดงดิบปะปนกับโขดหินทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ในสมัยก่อนวัดนี้มีชื่อเรียกว่า วัดป่าเลไลย
     ต่อมาเมื่อ พลวงพ่อลุน มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.2506 ทำให้วัดนี้ไม่มีพระภิกษุจำวัดไปนานหลายปี
     คงเหลือไว้แต่แม่ชีวัยชราอยู่จำวัดและดูแลรักษาความสะอาด
     จนกระทั่งปี พ.ศ.2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมาน สิริปัญโญ)
     ได้ผ่านมาเห็นจึงแวะเข้ามาดูวัด เห็นว่าสภาพทั่วไปสงบร่มรื่นจึงเกิดความสนใจ

     หลวงพ่อมหาสมาน สิริปัญโญ จึงได้ปรึกษากับคณะพระภิกษุสงฆ์พร้อม ญาติโยม ในท้องถิ่นใกล้เคียงบริเวณวัด เพื่อที่จะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ให้เป็นวัดที่มีความสมบูรณ์และคงอยู่ถาวร
     โดยเริ่มจากการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ต่อมาก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความจำเป็นแก่พระภิกษุสามเณรและญาติโยมที่จะเข้ามาทำบุญ






    หลังจากเสร็จสมบูรณ์  หลวงพ่อมหาสมาน ตั้งชื่อวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดอาฮงศิลาวาส”
     ตามสภาพแวดล้อม เพราะอยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขง ใกล้กับแก่งอาฮง ปัจจุบันได้มีพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของบึงกาฬ
[/color]

     บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาชนิดและผืนหญ้าเขียวขจี ให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้เข้ามาพักผ่อนหรือกราบไหว้สักการะสิ่งศักสิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ วัดอาฮงศิลาวาส
     นอกจากจะเป็นวัดที่มีความเป็นส่วนตัว และเงียบสงบเหมาะแก่การสงบจิตสงบใจและปฏิบัติธรรมแล้ว
     ยังเป็นจุดชม “สะดือแม่น้ำโขง” ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดจนไม่สามารถวัดความลึกได้
     อีกทั้งยังบริเวณที่น้ำเชี่ยวมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากบริเวณ
     วัดอาฮงศิลาวาส นับเป็นความอัศจรรย์ที่ควรเข้ามาสัมผัสด้วยตาตนเองดูสักครั้ง






    นอกจากความสำคัญที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจุดสะดือแม่น้ำโขงแล้ว
    แก่งอาฮง ยังเป็นจดชมวิวแม่น้ำโขงที่มีความสวยงามและบรรยากาศสุดโรแมนติกแห่งหนึ่ง
    เพราะเป็นจุดที่ฝั่งไทยและฝั่งลาวอยู่ไม่ห่างกันมากนัก สามารถมองเห็นความเขียวขจีและทัศนียภาพของฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน

    ซึ่งจะมองเห็นแก่งหินลักษณะต่างๆในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี
    และด้วยความอุดมสมบูรณ์บริเวณนี้ยังเป็นจุดที่ชาวบ้านโดยรอบอาศัยทำการประมง
    จึงทำให้สามารถเห็นวิถีชีวิตการทำประมงของคนท้องถิ่นได้หากมาถูกจังหวะ


    ความเงียบสงบและความสดชื่นจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป็นแหล่งชาร์ตพลังงานชั้นดีหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานาน ใครที่ต้องการพักผ่อนในช่วงวันหยุดอย่างเต็มที่ พร้อมสงบจิตสงบใจท่ามกลางแสงแห่งธรรม วัดอาฮงศิลาวาส เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรจัดเข้ามาอยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวครั้งต่อไปของทุกคน

     วัดอาฮงศิลาวาส  ตั้งอยู่เขตพื้นที่ บ้านอาฮง หมู่ 3 ต.ไคสี จ. บึงกาฬ
     ห่างจากตัวเมืองบึงกาฬ 21 กิโลเมตร และห่างจากจังหวัดหนองคาย 115 กิโลเมตร







ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/821/158528




เผยแพร่เมื่อ 2 ต.ค. 2012 โดย deflying2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 05, 2012, 10:54:33 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



สะดือแม่น้ำโขง

    สะดือแม่น้ำโขง หรือชาวบ้านเรียกกันว่า แก่งอาฮง เชื่อกันว่าบริเวณดังกล่าวเป็น สะดือของแม่น้ำโขง หรือเมืองหลวงของเมืองบาดาล ในตลอดแนวของแม่น้ำโขงจากธิเบตถึงทะเลจีนใต้ ในหน้าแล้งจะมีน้ำลึก ชาวบ้านเคยเอาก้อนหินผูกเชือกแล้วหย่อนลงวัดความลึกได้ 99 วา ตรงนั้นจะมองเห็นได้ด้วยตาว่าเป็นแอ่ง

     แก่งอาฮง เป็นอีกจุดที่มีบั้งไฟพญานาค ทั่วไปปกติบั้งไฟพญนาคจะเป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู แต่ที่นี่เป็นลูกไฟสีเขียว เมื่อหลายปีก่อนมีชาวบ้านเห็นบั้งไฟพญานาคขนาดเท่าแท๊งน้ำขนาดหนึ่งพันลิตรสีเขียวสว่างไสวเป็นอย่างมากพุ่งสูง 20 เมตร ยังมีเรื่องลึกลับอีกว่าสะดือแม่น้ำโขงมีถ้ำใต้น้ำทะลุไปถึงภูงูซึ่งเป็นฝั่งของประเทศลาว






    ในภาพที่เห็นจุดนี้คือ "สะดือแม่น้ำโขง" หรือที่ชาวบ้านแถบๆ อำเภอบึงกาฬ รู้จักในนามของแก่งอาฮง เพราะเป็นจุดที่แม่น้ำโขงแคบที่สุด น้ำไหลเชี่ยวกรากที่สุด และแม่น้ำโขงลึกที่สุด

    แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่ ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง

    แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่งอาฮงนี้ หากมีคนตายไหลตามน้ำมาก็จะติดอยู่แก่งนี้ เมื่อก่อนหากมีคนตายในแม่น้ำโขง ก็จะมาโผล่ที่นี่ติดอยู่ตามเกาะ แก่งที่มีอยู่มากมายในหน้าแล้ง แม้แต่หน้าฝนที่นี่ก็จะมีคลื่น เนื่องจากกระแสน้ำกระทบเข้ากับแก่งหิน จึงเป็นที่รวมวิญญาณต่าง ๆ ก็เป็นไปได้

    เทพเจ้าทางน้ำ...สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นตามริมแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดหนองคาย จากตัวจังหวัดลงไปถึงอำเภอบึงกาฬ ซึ่งสิ่งนี้คือ หอเจ้าแม่สองนาง ซึ่งจะมีอยู่ที่วัดหายโศก อ.เมืองหนองคาย เรื่อยไปที่ อ.โพนพิสัย อยู่ที่ปากห้วยหลวง แก่งอาฮง และที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ คำว่า สองนางในที่นี่คือ งู 1 คู่ คือ งู 2 ตัว





    สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง

    ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวงให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน

     บ่อยครั้งเหมือนกัน ที่มีชาวลุ่มน้ำโขงต้องเสียชีวิตลง ในระหว่างการเดินทางทางน้ำ
     แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อ เจ้าแม่สองนาง หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ 
     เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน "พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน
     แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ หรือภพอยู่ต่างมนุษย์






     จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์ ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคาย

      เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต

    ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้น
     มีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน
     ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆ ไป และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด
     จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก
     ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว


     ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา.



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=16692  โพสต์โดย กระเบนท้องน้ำ
http://www.taklong.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อัปโหลดโดย krukaew2506 เมื่อ 21 ต.ค. 2011



เผยแพร่เมื่อ 28 ส.ค. 2012 โดย MrShanghang

    ผู้เฒ่า วัดความลึก โดยใช้ก้อนหินผูกเชือกแล้วหย่อนลงวัดความลึกได้ 99 วา และ เชื่อกันว่า ที่นี่ คือ วัง หรือ บ้านเมืองของ พญานาค ตามความเชื่อ ครับ เมื่อถึง วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 ที่จะเป็นที่รวม ศัทธา ของชาว บึงกาฬ ที่จะมาทำบุญ และรอชม ปรากฎการณ์ บั้งไฟ พญานาค นี้ ครับ
    BY http://www.bungkan-guideline.com

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


  ความลึก 200 เมตร ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะครับ เท่ากับไม่ต่ำกว่า 80 ชั้นเลยนะครับ

  unseen thailand

  :c017:
บันทึกการเข้า