ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี.!!  (อ่าน 3017 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ดำริก่อนตรัสรู้ : วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี.!!

จตัสสสูตร

[๔๐๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสว่า
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุเหล่านี้มี ๔ อย่าง คือ
         ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
         ภิกษุทั้งหลาย ธาตุ ๔ อย่างเหล่านี้แล ดังนี้

         จบสูตรที่ ๑

@@@@@@@

ปุพพสูตร

[๔๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อเราเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความดำริดังนี้ว่า
         อะไรหนอเป็นความแช่มชื่น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นเครื่องสลัดออก แห่งปฐวีธาตุ
         อะไรเป็นความแช่มชื่น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นเครื่องสลัดออก แห่งอาโปธาตุ
         อะไรเป็นความแช่มชื่น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นเครื่องสลัดออก แห่งเตโชธาตุ
         อะไรเป็นความแช่มชื่น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นเครื่องสลัดออก แห่งวาโยธาตุ


@@@@

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความดำริดังนี้ว่า
 
สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยปฐวีธาตุ นี้เป็นความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุปฐวีธาตุเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งปฐวีธาตุ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในปฐวีธาตุ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งปฐวีธาตุ

สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยอาโปธาตุ นี้เป็นความแช่มชื่นแห่งอาโปธาตุ อาโปธาตุเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดานี้เป็นโทษแห่งอาโปธาตุ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในอาโปธาตุ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งอาโปธาตุ

สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยเตโชธาตุ นี้เป็นความแช่มชื่นแห่งเตโชธาตุ เตโชธาตุเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งเตโชธาตุ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในเตโชธาตุ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งเตโชธาตุ

สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยวาโยธาตุ นี้เป็นความแช่มชื่นแห่งวาโยธาตุ วาโยธาตุเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งวาโยธาตุ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวาโยธาตุ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งวาโยธาตุ ฯ

@@@@

[๔๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก แห่งธาตุเหล่านี้เพียงใด
     เราก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เพียงนั้น

แต่เมื่อใด เราได้ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก แห่งธาตุ ๔ เหล่านี้
     เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์


     @@@@

อนึ่ง ญาณทัสสนะ(๑-)ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้

     จบสูตรที่ ๒


เชิงอรรถ :-
(๑-)  - ญาณทัสสนะ ในที่นี้หมายถึง ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวนมรรคผล
       - กิเลสที่ละได้แล้วและนิพพาน

ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ ,พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=16&A=4533&Z=4564



 :25: :25: :25:

จตุตฺถวคฺโค จตุตฺโถ

[๔๐๓]  เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเนอนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ จตสฺโส อิมา ภิกฺขเว ธาตุโยฯ
          กตมา จตสฺโสฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุฯ
          อิมา โข ภิกฺขเว จตสฺโส ธาตุโยติฯ ปฐมํฯ

@@@@@@

ปุพพสูตร

[๔๐๔] ปุพฺเพว เม ภิกฺขเว สมฺโพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺสโพธิสตฺตสฺเสว สโต เอตทโหสิ
โก นุ โข ปฐวีธาตุยา อสฺสาโทโก  อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ
โก อาโปธาตุยา อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ
โก เตโชธาตุยา อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ
โก วาโยธาตุยา อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณนฺติฯ


@@@@

ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว เอตทโหสิ

ยํ โข ปฐวีธาตุํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ ปฐวีธาตุยา อสฺสาโท ยํ ปฐวีธาตุ อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ ปฐวีธาตุยา อาทีนโว โย ปฐวีธาตุยา ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ ปฐวีธาตุยา นิสฺสรณํฯ

ยํ อาโปธาตุํ ปฏิจฺจ...
ยํ เตโชธาตุํ ปฏิจฺจ...

ยํ วาโยธาตุํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ วาโยธาตุยา อสฺสาโท ยํ  วาโยธาตุ อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ วาโยธาตุยา อาทีนโว โย วาโยธาตุยา ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ วาโยธาตุยา นิสฺสรณํฯ

@@@@

[๔๐๕] ยาวกีวญฺจาหํ ภิกฺขเว อิมาสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺ จ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภญฺญาสึ เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสึฯ

ยโต จ ขฺวาหํ ภิกฺขเว อิมาสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสึ ฯ


@@@@

ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติฯ ทุติยํฯ



ขอบคุณที่มา : https://etipitaka.com/compare/thai/pali/16/169/?keywords=จตัสสสูตร
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

อรรถกถาปุพพสูตรที่ ๒.

             
พึงทราบวินิจฉัยในปุพพสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้.

บทว่า อยํ ปฐวีธาตุยา อสฺสาโท ความว่า นี้เป็นความแช่มชื่นอันอาศัยปฐวีธาตุ.
ความแช่มชื่นนี้นั้นให้ยืดกายขึ้นไป เหยียดท้องออก ดุจกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงพยายามสอดนิ้วของเราเข้าไปในที่นี้เถิด หรือเหยียดมือแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงพยายามน้อมกายนี้ลงเถิด.

พึงทราบความแช่มชื่นด้วยสามารถแห่งสุขโสมนัสที่เป็นไปอย่างนี้.

ในบทเป็นต้นว่า อนิจฺจา ความว่า ชื่อว่าไม่เที่ยงโดยอาการว่ามีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่าเป็นทุกข์โดยอาการบีบคั้น ชื่อว่ามีความแปรปรวนเป็นธรรมดา โดยอาการปราศจากภาวะของตน.

บทว่า อยํ ปฐวี ธาตุยา อาทีนโว ความว่า ชื่อว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาโดยอาการใด. อาการนี้เป็นโทษแห่งปฐวีธาตุ.
บทว่า ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปหานํ ความว่า ฉันทราคะแห่งปฐวีธาตุ อันบุคคลกำจัดได้และละได้เพราะอาศัยนิพพาน. เพราะฉะนั้น นิพพานจึงเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งปฐวีธาตุนั้น.


@@@@@@

บทว่า อยํ อาโปธาตุยา อสฺสาโท ความว่า นี้เป็นความแช่มชื่นอาศัยอาโปธาตุ
ความแช่มชื่นนี้นั้น เหมือนเห็นคนอื่นที่ถูกอาโปธาตุเบียดเบียน พึงทราบด้วยสามารถแห่งสุขโสมนัสที่เป็นไปอย่างนี้ว่า เหตุอะไรผู้นี้ออกและเข้าไปปัสสาวะตั้งแต่เวลาจะนอน. เมื่อเขาทำการงานแม้เล็กน้อย เหงื่อก็มี แม้ผ้าย่อมมีอาการที่เขาควรบิดได้.

เมื่อกล่าวแม้เพียงอนุโมทนา เขาก็ต้องถือพัดใบตาล. แต่เรานอนในเวลาเย็น ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่. สรีระของเราเหมือนหม้อที่เต็ม แม้เพียงเหงื่อ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่เราผู้ทำงานหนัก. เมื่อเรากล่าวธรรมอยู่ด้วยเสียงเหมือนเสียงฟ้าลั่น แม้เพียงอาการอบอุ่นในสรีระก็ไม่มีแก่เรา ดังนี้.

@@@@@@

บทว่า อยํ เตโชธาตุยา อสฺสาโท ความว่า นี้เป็นความแช่มชื่นอาศัยเตโชธาตุ.
ความแช่มชื่นนี้นั้น เหมือนเห็นคนกำลังหนาว พึงทราบด้วยสามารถแห่งสุขโสมนัสที่เป็นไปอย่างนี้ว่า เหตุอะไร พวกคนเหล่านี้ดื่มเพียงข้าวยาคูภัตรและของขบเคี้ยวหน่อยหนึ่ง นั่งท้องแข็งแสวงหาเตาไฟอยู่ตลอดคืน. พอหยาดน้ำตกไปใกล้สรีระ พวกเขาก็นอนคร่อมเหนือเตาไฟและห่มผ้า.

ส่วนเรากินเนื้อหรือขนมแม้แข็งยิ่ง บริโภคภัตรแต่พอเต็มท้อง ในทันใดนั่นแล ภัตรทั้งหมดของเราย่อมย่อยไปเหมือนฟองน้ำ. เมื่อฝนพรำตลอด ๗ วันเป็นไปอยู่ แม้เพียงผ่อนคลายความเยือกเย็นในสรีระ ก็ไม่มีแก่เรา ดังนี้.


@@@@@@

บทว่า อยํ วาโยธาตุยา อสฺสาโท ความว่า นี้เป็นความแช่มชื่นอาศัยวาโยธาตุ.
ความแช่มชื่นนี้นั้น เหมือนเห็นคนอื่นกลัวลม พึงทราบด้วยสามารถแห่งสุขโสมนัสเป็นไปอย่างนี้ว่า เมื่อคนเหล่านี้ทำการงานแม้ เพียงเล็กน้อย กล่าวแม้เพียงอนุโมทนา ลมก็ย่อมเสียดแทงศีรษะ. มือและเท้าของพวกเขาผู้เดินทางไกลแม้เพียงคาวุตเดียวก็ล้า ปวดหลัง. เขาถูกลมในท้อง ลมในสรีระและลมในหูเป็นต้น เบียดเบียนเป็นนิตย์ ก็พากันผสมยาแก้ลมมีน้ำมันและน้ำผึ้งเป็นต้น ใช้กัน.

ส่วนพวกเราทำงานหนักบ้าง กล่าวธรรมตลอดคืนสามยามบ้าง เดินทางตลอด ๑๐ โยชน์โดยวันเดียวบ้าง เพียงมือและเท้าอ่อนล้า หรือเพียงปวดหลังก็ไม่มี ดังนี้. ก็ธาตุเหล่านี้ที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าความแช่มชื่น.

@@@@@@

บทว่า อพฺภญฺญาสึ ได้แก่ เราได้รู้แล้วด้วยญาณพิเศษ.
บทว่า อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ ได้แก่ การตรัสรู้โดยชอบและด้วยพระองค์เอง เว้นธรรมอื่นที่ยิ่งกว่า คือประเสริฐกว่าธรรมทั้งหมด.

อีกอย่างหนึ่ง การตรัสรู้ประเสริฐและดี.
ต้นไม้ก็ดี มรรคก็ดี สัพพัญญุตญาณก็ดี นิพพานก็ดี ชื่อว่า โพธิ.
ก็ต้นไม้ในอาคตสถานว่า การตรัสรู้ที่โคนโพธิพฤกษ์ และว่าในระหว่างต้นโพธิ และคยา.
เรียกว่าโพธิ ทางในอาคตสถานว่า ญาณในมรรค ๔.
สัพพัญญุตญาณในอาคตสถานว่า ผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน บรรลุโพธิญาณ.
นิพพานในอาคตสถานว่า บรรลุโพธิญาณ อันเป็นอมตะ อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้.


@@@@@@

ส่วนในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาอรหัตมรรค.
ถามว่า อรหัตมรรค คืออนุตตรโพธิญาณย่อมมี หรือไม่มีแก่พระสาวกทั้งหลาย.
ตอบว่า ไม่มี.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะไม่ให้คุณแก่สาวกทั้งปวง.

ก็สำหรับพระสาวกเหล่านั้น อรหัตมรรคของใครให้เฉพาะอรหัตผล. ของใครให้วิชชา ๓ ของใครให้อภิญญา ๖ ของใครให้สาวกบารมีญาณ. ของพระปัจเจกพุทธเจ้าให้เฉพาะปัจเจกโพธิญาณ. ส่วนของพระพุทธเจ้าให้คุณสมบัติทุกอย่าง เหมือนการอภิเษกของพระราชาให้ความเป็นใหญ่ในโลกทั้งหมด. เพราะฉะนั้น อนุตตรโพธิญาณจึงไม่มีแก่ใครๆ อื่น.

@@@@@@

บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสึ ความว่า เราปฏิญาณอย่างนี้ว่า เราตรัสรู้บรรลุ แทงตลอดแล้วตั้งอยู่.
บทว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความว่า ปัจจเวกขณญาณนั้นแล อันสามารถเห็นคุณที่ตนบรรลุแล้วเกิดขึ้น.

บทว่า อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความว่า ญาณเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า อรหัตผลวิมุตตินี้ของเราไม่กำเริบ.
ในความไม่กำเริบนั้นพึงทราบความไม่กำเริบโดยอาการ ๒ อย่างคือ โดยเหตุ และโดยอารมณ์.
ก็ความไม่กำเริบนั้น ชื่อว่าไม่กำเริบ แม้โดยเหตุ เพราะกิเลสอันตัดด้วยมรรค ๔ ไม่กลับมาอีก ชื่อว่าไม่กำเริบ แม้โดยอารมณ์ เพราะทำนิพพานมีความไม่กำเริบเป็นธรรมดาให้เป็นอารมณ์เป็นไป.

บทว่า อนฺติมา แปลว่า เป็นชาติสุดท้าย.
บทว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ ความว่า บัดนี้ ืชื่อว่าไม่มีภพอื่นอีก.


@@@@@@

สัจจะ ๔ พระองค์ตรัสไว้ในพระสูตรนี้.
ถามว่า อย่างไร.
ตอบว่า ก็อัสสาทะในธาตุ ๔ เป็นสมุทัยสัจ. อาทีนพเป็นทุกขสัจ. การสลัดออกจากทุกข์ เป็นนิโรธสัจ. มรรคเป็นเหตุรู้ชัดถึงนิโรธ เป็นมรรคสัจ. จะกล่าวแม้ให้พิสดาร ก็ควรแท้.

     แต่ในสูตรนี้
     - การเข้าใจถึงเหตุที่ละว่า สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยปฐวีธาตุใด นี้เป็นอัสสาทะของปฐวีธาตุดังนี้ เป็นสมุทัยสัจ.
     - การเข้าใจด้วยการกำหนดรู้ว่า ปฐวีธาตุใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นอาทีนพของปฐวีธาตุ ดังนี้ เป็นทุกขสัจ.
     - การแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งว่า การกำจัดฉันทราคะแห่งปฐวีธาตุใด นี้เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งปฐวีธาตุ ดังนี้ เป็นนิโรธสัจ.
     - ทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิใด ในฐานะ ๓ เหล่านี้. การแทงตลอดด้วยภาวนานี้ เป็นมรรคสัจ.

               จบอรรถกถาปุพพสูตรที่ ๒



ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=404
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 17, 2019, 11:27:37 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ