ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - juntra
หน้า: [1]
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เรียน ถาม เรื่อง อัปปมัญญา ที่ฟังจากรายการ คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 02:45:46 am
 ask1
  ตอนที่ บอกว่า ใช้ ขันติ มาเป็น ตัวสร้าง เมตตา คะไม่ค่อยจะเข้าใจ คะ

  ต้องทำอย่างไร ถึงจะเรียกว่า มีขันติ คะ

  :25: :25: :25: st12 st12 thk56
 
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การลา พุทธภูมิ นั้น เพื่ออะไร ? และ ใครควรจะเป็นผู้ลา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2012, 09:27:04 am
อันที่จริง ก็ยังไม่เข้าใจ กับคำว่า พุทธภูมิ คะ อันที่จริง เข้าใจว่า พุทธภูมิ ก็คือ หมู่ชนของผู้รู้ พุทธบริษัท แล้วถ้าลาพุทธภูมิ ก็คือ เปลี่ยนศาสนา ไปเลยใช่หรือไม่คะ  หรือ ไม่ใช่

  ดัีงนั้นอยากให้ท่านผู้รู้ ช่วยอธิบายให้หน่อยคะ

   :c017:
3  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การรักษา ศีล เป็นการทำบุญ หรือไม่ คะ เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 08:32:18 am
คือไม่ค่อยมีโอกาส ไปทำบุญ อย่างคนอื่นเขา ก็เลยรักษา ศีล 5 ให้ได้ วันไหนทำได้ ก้อุทิศส่วนกุศลจากการรักษาศีลนี้ไปให้ บุคคลที่เป็นที่รักเป็นต้น

 แต่โดยส่วนตัว ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจคะว่า ศีล นี้จัดเป็น บุญ แล้วอุทิศไปแล้ว ผู้ที่ได้รับจะได้อานิสงค์ อย่างไรในการอุทิศให็คะ

  :88: :58: :c017:
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ภิกษุผู้สำเร็จฌาน เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 04:41:55 am
ผู้ได้บรรลุฌานที่หนึ่ง
ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น ครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจและทำปัญญาให้ถอยกำลัง เหล่านี้ ได้แล้ว,
เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย จึง บรรลุ ฌานที่หนึ่ง
ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
เธอ ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบด้วยปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกนั้น,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกนั้น ไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี.

ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายช่างอาบก็ดี หรือลูกมือของเขาก็ดี เป็นคนฉลาด
โรยผงที่ใช้สำหรับถูตัวในเวลาอาบน้ำลงในขันสำริด แล้วพรมน้ำหมักไว้,
ครั้นเวลาเย็น ก้อนผงออกยางเข้ากัน ซึมทั่วกันแล้ว จับกันทั้งภายในภายนอก
ไม่ไหลหยด ฉันใด ;

ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบด้วยปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกนั้น ไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี,
ฉันนั้นเหมือนกัน.
มู. ม. ๑๒/๕๐๕/๔๗๑


ผู้ได้บรรลุฌานที่สอง
ภิกษุ ท. ! อีกประการหนึ่ง, เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ภิกษุจึง บรรลุ ฌานที่สอง
อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว
ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่.
เธอ ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบ ด้วยปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี.

ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนห้วงน้ำอันลึก มีน้ำอันป่วน ไม่มีปากน้ำทางทิศตะวันออก
ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ แต่ฝนตกเพิ่มน้ำให้แก่ห้วงน้ำนั้น ตลอดกาลโดยกาล,
ท่อน้ำเย็นพลุ่งขึ้นจากห้วงน้ำ ประพรมทำให้ชุ่ม ถูกต้องห้วงน้ำนั้นเอง ;
ส่วนไหน ๆ ของห้วงน้ำนั้นที่น้ำเย็นไม่ถูกต้องแล้วมิได้มี. ข้อนี้ฉันใด,

ภิกษุ ท. ! ... ฉันนั้นเหมือนกัน
มู. ม. ๑๒/๕๐๕/๔๗๒


ผู้ได้บรรลุฌานที่สาม
ภิกษุ ท. ! อีกประการหนึ่ง, เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ
ภิกษุ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย จึง บรรลุ ฌานที่สาม
อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
เธอ ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบ ด้วยลำพังสุขหาปีติมิได้,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัวที่สุขหาปีติมิได้ ไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี.

ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในหนองบัวอุบล หนองบัวปทุม หนองบัวบุณฑริก
มีดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางเหล่าที่เกิดอยู่ในน้ำ เจริญอยู่ในน้ำ ยังขึ้นไม่พ้นน้ำ
จมอยู่ภายใต้อันน้ำเลี้ยงไว้, ดอกบัวเหล่านั้น ถูกน้ำเย็นแช่ชุ่ม ถูกต้องตั้งแต่ยอดตลอดราก,
ส่วนไหน ๆ ของดอกบัวเหล่านั้นทั่วทั้งดอก ที่น้ำเย็นไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี.

ข้อนี้เป็นฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ... ฉันนั้นเหมือนกัน.
มู. ม. ๑๒/๕๐๖/๔๗๓


ผู้ได้บรรลุฌานที่สี่
ภิกษุ ท. ! อีกประการหนึ่ง, เพราะละสุขและละทุกข์เสียได้, เพราะ
ความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน, ภิกษุ จึง บรรลุ ฌานที่สี่
อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิเพราะอุเบกขา แล้ว
แลอยู่.
เธอนั้น นั่งแผ่ไปตลอดกายนี้ ด้วยใจอันบริสุทธ์ิผ่องใส,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธ์ิผ่องใส ไม่ถูกต้องแล้ว มิได้มี.

ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนชายคนหนึ่ง นั่งคลุมตัวด้วยผ้าขาวตลอดศีรษะ,
ส่วนไหน ๆ ในกายเธอทั่วทั้งตัว ที่ผ้าขาวไม่ถูกต้องแล้ว (คือไม่คลุมแล้ว) มิได้มี.
ข้อนี้เป็นฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ... ฉันนั้นเหมือนกัน.
มู. ม. ๑๒/๕๐๗/๔๗๔
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพื่อนสมาชิก มีความคิดอย่างไร กับวัดติดทีวี ในห้องส้วม จ๊ะ เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 05:48:53 pm


อยากฟังความเห็น คะว่าที่วัดติดทีวีดาวเทียมที่ห้องน้ำคะ

 :c017:
6  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีใครทำบุญในชาตินี้ แล้วให้ผลในชาติ นี้บ้างคะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2011, 07:09:52 am
แบบว่า เวลาไปทำบุญ พระท่านบอกว่าทำบุญแล้ว ก็จะไปสวรรค์ ไปนิพพาน แล้วบุญที่เป็นสวรรค์ นิพพาน

แบบในปัจจุบัน มีหรือไม่คะ เพราะสงสัยว่าทำไมทำบุญแล้วเราต้องไปรับผลในชาติต่อไป เวลาทำกรรมไม่ีดี

ยังรับกันในชาตนี้เลย ไม่ใช่หรือคะ

 :25:
7  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ถ้าท่านไปสอบ เพื่อเข้าศึกษาต่อ หรือ สอบเพื่อปรับระดับ แล้ว... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 05:33:09 am
ถ้าท่านไปสอบ เพื่อเข้าศึกษาต่อ หรือ สอบเพื่อปรับระดับ แล้ว...สอบไม่ได้ต้องรอคิว ถึง 4 ปี

ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไรคะ เมื่อสอบไม่ได้ หรือ ไม่ผ่าน ควรนำธรรมใดมาใ่ส่ใจในขณะนั้นคะ

นี่ก็ใกล้ เอ็นทรานส์ อีกแล้วก็อยากให้เด็กที่อ่านแ้ล้ว สอบไม่ได้ ได้รับประโยชน์จากหลักธรรม

ส่วนนี้บ้างคะ



ภาพประกอบจา http://campus.sanook.com
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การที่เราพิจารณาร่างกาย เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นวิปัสสนาหรือยัง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 01:33:43 am
การที่เราพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นวิปัสสนารึยังคะ

ใช้การพิจารณาอย่างนี้ ว่า กายนี้เป็น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เหมือนท่องอยู่

 :25: :25: :25:
9  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ลำดับทานที่ควรรู้ คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 04:51:42 am
มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี
เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย
ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ

๑ . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์
แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม
ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

๒ . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง
ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทาน
ดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๔ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทาน
แก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๕ . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง
ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน
บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น " พระ "
แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า " สมมุติสงฆ์ " พระที่แท้จริงนั้น
หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป
ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น " พระ "
ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ
" พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า " และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

๖ . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง
ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทาน
ดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ
เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )

๗ . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทาน
ดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๘ . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทาน
ดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๙ . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทาน
ดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๐ . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทาน
ดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๑ . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทาน
ดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๒ . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญ
น้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทาน
ดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๓ . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง
ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม
" วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม
ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน "
อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน
แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น " โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ
แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ " ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

๑๔ . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ( ๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้
" ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะ
แก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน
ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม
รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ "

๑๕ . การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้
" อภัยทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ " การไม่ผูกโกรธ
ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู " ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน
เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ " ละโทสะกิเลส " และเป็นการเจริญ " เมตตาพรหมวิหารธรรม "
อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น
เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา
ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด
ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง " พยาบาท " ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้
การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล
ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า " ฝ่ายศีล " เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน

การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา
อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน

ทั้งในการถือศีลด้วยกันเองก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้ คือ

๑ . การให้อภัยทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๒ . การถือศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๘ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . การถือศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๑๐ คือ
การบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

๔ . การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย
แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่มี
ศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

ภาวนา

การเจริญภาวนา นั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา
จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่างคือ " สมถภาวนา
( การทำสมาธิ )" และ " วิปัสสนาภาวนา ( การเจริญปัญญา )"

แต่ไม่ว่าจะเลือกปฏิบัติวิธีใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามเพศ
ของตนเสียก่อน คือหากเป็นฆราวาสก็จะต้องรักษาศีล ๕ เป็นอย่างน้อย หากเป็นสามเณรก็จะ
ต้องรักษาศีล ๑๐ หากเป็นพระก็จะต้องรักษาศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อให้บริบูรณ์ ไม่ให้ขาดปละด่างพร้อย
จึงจะสามารถทำจิตให้เป็นฌานได้ หากว่าศีลยังไม่มั่นคง ย่อมเจริญฌานให้เกิดขึ้นได้โดยยาก
เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐาน ( เป็นกำลัง ) ให้เกิดสมาธิขึ้น

อานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า " แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อย
มานานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก
ช้างกระดิกหู


จาก

http://www.dhammabookstore.com/book/pdf/90000.pdf

วิธีสร้างบุญบารมี โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
10  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / วิปัสสนา ตั้งจิตอย่างไร และ ควรปฏิบัติ ตอนไหน คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2011, 11:05:16 pm
วิปัสสนา ตั้งจิตอย่างไร และ ควรปฏิบัติ ตอนไหน คะ

 จะรู้กิเลสว่าดับได้อย่างไร มีหลักปฏิบัติแบบที่พอเหมาะอย่างดิฉัน ได้วางอารมณ์ ที่อายตนะ ภายใน และ นอก

เมื่อกระทบกัน และ ทำสติให้จิตรู้ และ ปล่อยวางอารมณ์ จึงไม่ขัดข้อง คะ

 แต่ถึงแม้จะกระทำได้อย่างนี้ ก็ยังรู้ตัวเองว่าดับ กิเลสยังไม่ได้ อยากทราบว่า มีข้อบกพร่องส่วนไหนคะ

 :c017:
11  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / โครงการอบรม ธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย ครั้งที่ ๑๖ 5 ก.พ.54 วปอ. กทม. เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 11:46:08 pm
มีข่าวมาแนะนำนะคะ
โครงการอบรม ธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย ครั้งที่ ๑๖
โดย ชีวิตสิกขา เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจชีวิต
ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต
วันเสาร์ที่  ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๗.๐๐ น.


ภาวะ เจ็บป่วยทางร่างกายที่เกิดขึ้น ไม่เพียงต้องการ การดูแลเยียวยาทางกายภาพที่ดี และเหมาะสมกับโรคเท่านั้น หากยังต้องการองค์ประกอบร่วมทั้งทางด้านจิตใจ สังคมและปัญญา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีและสมศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ เพราะถึงแม้ทางกายภาพอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่ศักยภาพทางด้านจิตใจและปัญญา ยังสามารถพัฒนาได้ไปจนถึงขั้นสูงสุด ดังนั้นทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยเองต่างก็ต้องการความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติในการรับมือกับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถวางใจได้
ว่า แม้กายจะป่วยแต่ใจไม่ป่วยเลย ค่อย ๆ ถอดถอนจากผู้เป็นทุกข์ สู่ผู้เห็นทุกข์ จวบจนกระทั่งสามารถสร้างเหตุปัจจัยในการเตรียมพร้อม ที่จะเผชิญกับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สุดของชีวิตอย่างเกื้อกูล ร่วมสร้างกุศลสะสมบุญด้วยการฝึกโยคะกับการภาวนาและกระบวนการเรียนรู้และเข้า ใจ ความจริงของชีวิต

ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมอบรม  สามารถเข้าร่วมได้ทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแลผู้ป่วย และผู้สนใจทั่วไป

การเตรียมตัว เตรียมเสื่อหรือผ้าปูรองนอนเพื่อฝึกโยคะ (เครือข่ายฯ มีเสื่อเตรียมไว้จำนวนหนึ่ง)
ทางเจ้าภาพจัดเตรียมอาหารกลางวัน (มีมังสวิรัติ) เครื่องดื่ม และของว่างตลอดการอบรม

โปรแกรมอบรม
๐๘.๓๐-๐๙.๐๐ น. ลงทะเบียน
๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. ฝึกโยคะกับการภาวนา & ธรรมะกับความเข้าใจความจริงของชีวิต  กรุณานำผ้าปูรองฝึกส่วนตัวมาเอง
๑๒.๐๐-๑๓.๐๐     พิจารณาอาหารกลางวัน   
๑๓.๐๐-๑๕.๐๐     ฝึกการเจริญสติภาวนาแนวหลวงพ่อเทียน
๑๕.๐๐-๑๖.๓๐     วิถีแห่งบัวบาน – วางใจรับมือกับความป่วยระยะสุดท้ายของคุณบัว พระวิทยากร พระอธิการครรชิต อกิณจโน วัดป่าสันติธรรม จ.ชัยภูมิ
๑๖.๓๐-๑๗.๐๐     สรุปธรรมะปฏิบัติ และรับพรเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต

สนใจเข้าอบรมเชิญลงทะเบียนที่ http://jivit.net/
12  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาหลับตานาน ๆ แล้ว เหมือนมีแสงสีม่วงหมุนวน เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 01:35:01 am
อ้างถึง
เวลาหลับตานาน ๆ แล้ว เหมือนมีแสงสีม่วงหมุนวน
   
เวลาที่ผมหลับตาไปนาน ๆ จะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นครับ

คือเหมือนมีแสง? สีม่วง (ผมเห็นเป็นสีนี้จริง ๆ) มีลักษณะเหมือนหมุนวน

จมลงไปตรงกลาง จากขอบ แล้วเหมือน หมุนวนหายลงไปตรงกลาง เรื่อย ๆ

เป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงปัจจุบัน เวลาหลับตา

ไม่ได้นอนหลับไปนาน ๆ จะว่าเป็นสมาธิรึเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ผมก็คิดไปทั่ว

นะเวลาเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ได้มีสมาธิเท่าไหร่

เพราะอะไรจึงเห็นเป็นแบบนั้น มีคนเห็นแบบผมรึเปล่า หรือผมเป็นคนเดียว

จากคุณ    : DarkJomega

 อาการอย่างนี้ เกี่ยวกับสมาธิ หรือ ป่าวคะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะพัฒนาต่อได้คะ

 :25:
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอบคุณข้อบกพร่อง เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:48:37 am
ขอบคุณข้อบกพร่อง

ในประเทศสิงคโปร์เมื่อสองสามปีก่อน
หลังจากพิธีแต่งงาน พ่อของเจ้าสาว ดึงต้ว
ลูกเขยคนใหม่ออกมาเพื่อให้คำแนะนำใน
การครองชีวิตสมรสให้ยืนยาวและเป็นสุข
เขาบอกกับพ่อหนุ่มว่า

"เธอคงจะรักลูกสาวของฉันมากนะ"
"มากครับ"พ่อหนุ่มตอบ
"แล้วเธอคงคิดว่าเจ้าสาวของเธอยอดเยี่ยม
ที่สุดในโลก"พ่อตาถาม
"เธอยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในทุกๆด้านครับ"
พ่อหนุ่มกระซิบเบาๆ



"มันก็เป็นเช่นนั้นแหละในวันที่เธอแต่งงาน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เธอจะเริ่ม
สังเกตุเห็นข้อพกพร่องของลูกสาวของฉัน
เมื่อใดที่เธอเริ่มจะสังเกตุเห็นข้อพกพร่อง
ของเมียเธอนะ ฉันอยากจะให้เธอจดจำไว้ว่า
ถ้าลูกสาวฉันไม่ได้มีข้อพกพร่องเหล่านี้มา
ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วละก็...พ่อลูกเขยเอ่ย....
เขาคงได้ผัวดีกว่าเธอเยอะไปซะแล้วละ!"



ดังนั้นเราควรจะขอบคุณข้อพกพร่องต่างๆ
ในตัวคู่ชีวิตของเรา เพราะถ้าเขาไม่ได้มีข้อ
พกพร่องมาตั้งแต่ต้น เขาก็คงจะสามารถ
เลือกแต่งงานกับใครสักคนที่ดีกว่าเรามาก
เป็นแน่






คุณๆล่ะค๊ะผิดหวังกับการเลือกคู่แต่งงาน
กับผู้ที่มีข้อพกพร่องไหม?
แล้วคุณจัดการกับชีวิตสมรสอย่างไร
จึงทำให้ยืนยาว หรือเลิกรากันไป

อย่างน้อยก็เป็นการให้สติกับหนุ่มสาว
ก่อนตกลงปลงใจแต่งงานกัน
14  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / อุบาสิกากี นานายน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง) เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 12:42:07 am

อุบาสิกากี นานายน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง) สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี ตอน แบบอย่างของสตรีผู้เข้มแข็ง เด็ดขาด และมั่นคงในพระธรรม



“ท่าน ทั้งหลายอย่านึกว่าข้าพเจ้าจำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่ท่านเลย  แต่ข้าพเจ้านำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตาม แล้วจึงนำมาแสดง...”

 

ทุกๆช่วงเช้าและช่วงเย็นของแต่ละวัน บรรดาแม่ชีและอุบาสิกาที่พักอาศัยอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จะนัดหมายมารวมตัวกันที่ “หอประชุมธรรมวิจัย” เพื่อทำวัตรสวดมนต์และรับฟังการบรรยายธรรมจากอดีตเจ้าสำนักคนที่หนึ่ง

หัวข้อการบรรยายมีมากมายหลายเรื่อง แต่ละเรื่องมักจะมุ่งตรงไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งนั้นคือ

“การปฏิบัติด้วยความเพียรเพื่อการหลุดพ้น”

ธรรมะ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่การบรรยายธรรมะในหอประชุมธรรมวิจัยหลังนี้กลับเป็นเรื่องที่แปลก โดยเฉพาะกับอาคันตุกะหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาเยือนอย่างพวกเรา..


“การ กำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่น  ต้องเป็นการฝึกจริง ถ้าเป็นการฝึกอ่อนแอแล้วไม่ได้เรื่อง  จะมีแต่ความพ่ายแพ้ เพราะการฝึกอบรมจิตนี้ต้องทำจริง เพียรจริง แต่ไม่ใช่เอาความอยากเข้ามาจัดจนเกินไป”

อุบาสิกาท่านหนึ่งที่ต้อนรับพวกเราได้อธิบายว่า เสียงการบรรยายธรรมที่พวกเราได้ยินอยู่นี้เป็นเสียงของ

“อุบาสิกากี  นานายน” หรือ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง”

ผู้ ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ปัจจุบันท่าน ก. เขาสวนหลวงได้ล่วงลับไปนานมากกว่าสามสิบปีแล้ว ดังนั้นเสียงที่พวกเราได้ยินจึงเป็นเสียงที่ได้บันทึกเอาไว้และนำมาเปิดทุก ครั้งหลังจากการทำวัตรสวดมนต์สิ้นสุดลง

โดยส่วนตัวแล้วผมเคยผ่านตากับชื่อ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง” แต่ไม่เคยทราบเลยว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไร ความเข้าใจเบื้องต้นครั้งแรกผมคิดว่าท่านคือนักเขียนหนังสือมีชื่อเสียงคน หนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจที่จะสืบค้นต่อ จนเมื่อได้อ่านบทความตอนหนึ่งที่”หลวงตามหาบัว”กล่าวรับรองท่าน ก. เขาสวนหลวง ว่า

“ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องไม่มีผิดพลาด แม้เปอร์เซ็นต์เดียว”

ความ สนใจครั้งนี้ จึงต่อยอดด้วยการที่ผมต้องพาตัวเองเข้าไปพึ่งบริการจากเพื่อนต่อ(มนุษย์ ล่องหน) ก็ได้ทราบความว่าท่าน ก. เขาสวนหลวงเป็นสุภาพสตรี ที่มีจิตใจแน่วแน่และมุ่งมั่นอยู่ในการปฏิบัติธรรม ชนิดที่ว่าสุภาพบุรุษอย่างเราๆท่านๆต้องยอมคารวะในความเป็นตัวตนและคุณธรรม ของท่าน..



เรื่องราวของ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง” สำหรับคนบางคนแล้วอาจจะไม่มีความหมายหรือความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าเรื่องราวของท่านนับเป็นเรื่องวิเศษอันดับต้นๆ ของชีวิตน้อยๆของผมเลยทีเดียวครับ

เรื่อง วิเศษที่ผมว่าก็คือการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ได้นำพาตนเองเข้าไปสู่เส้นทางของพระพุทธศาสนา โดยเน้นการปฏิบัติอย่างหนักหน่วงพร้อมกับปฏิเสธเรื่องภูตผี วิญญาณ สิ่งเร้นลับต่างๆ ฯลฯ คงเหลือสิ่งที่ยอมรับอยู่อย่างเดียวคือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่า นั้นที่เป็นเครื่องนำทางไปสู่จุดหมายในชีวิตของท่าน นั่นคือ “นิพพาน”

 

การ ปฏิบัติของท่านไม่ได้แหวกแนวหรือพิสดารอะไรเลย  ตรงกันข้ามกับเป็นเรื่องที่ใครก็สามารถปฏิบัติได้  ดังนั้นความแตกต่างจึงอยู่ตรงที่ “ใครล่ะสามารถปฏิบัติได้แข็งแรงกว่ากัน” การปฏิเสธความสุขทางโลก รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิต ทำให้ท่านได้ปลีกตัวออกไปหามุมสงบของชีวิตเพื่อเป็นการกำจัดกิเลส  ตลอดจนสิ่งยั่วยุต่างๆในทางโลก

เล่า กันว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านได้สร้างขึ้นมา เกิดจากการที่ท่านและครอบครัวของคุณลุง คุณป้าของท่านได้เข้ามาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาวัดร้างแห่งหนึ่งบริเวณ เชิงเขา ซึ่งจากวันที่ท่านได้เริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรมในสถานที่แห่งนี้ นับเป็นเวลานานกว่าสิบปีทีเดียวกว่าจะสร้างศรัทธาให้คนเข้ามาร่วมปฏิบัติ ธรรมกับท่าน

 

แล้วตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีนั้นล่ะ ท่านทำอะไรอยู่..

แน่ละ...คงจะไม่ใช่การออกไปประโคมข่าวหรือออกโฆษณาตามสื่อต่างๆ...

หาก แต่ท่านใช้การวางตัว การประพฤติตัว การชี้แนะและการขนาบ จนสามารถเกี่ยวมัดจิตใจและสร้างความเชื่อถือให้กับบุคคลทั่วไป  จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจกับการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่งต้อง เข้ามาอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าเขา โดยไม่ถูกรบกวนจากเพศตรงข้ามหรือสัตว์ร้ายทั้งปวง

อะไรล่ะ  ที่เป็นเกราะคุ้มครองให้ท่านอยู่ได้อย่างปกติสุข..

ความปกติสุขที่ว่านี้ได้ยังผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่ เคยปรากฏข่าวเลยว่าสุภาพสตรีที่เข้ามาบำเพ็ญศีลในสำนักปฏิบัติธรรมกลางป่า แห่งนี้ถูกข่มขืน ถูกงูกัด ถูกสัตว์ร้ายคาบไปกินหรือแม้แต่ถูกรบกวนจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ

แต่ ขณะเดียวกันทุกคนกลับอยู่กันอย่างปกติสุขท่ามกลางป่าเขา ท่ามกลางธรรมะ ท่ามกลางความศรัทธา อยู่พักอาศัยกันแบบพึ่งพาและพอเพียง มีน้ำใช้สอยตามอัตภาพ เรื่องไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง ทั้งสำนักเปิดบริการพลังงานไฟฟ้าแค่สามจุดคือ โรงครัว เรือนพยาบาลและยามที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ

 

นอก จากนั้นผู้ที่พักอาศัยตลอดจนสุภาพสตรีที่เข้ามาปฏิบัติธรรมจะมีเพียง  แสงอาทิตย์นำทางในเวลากลางวัน แสงจันทร์นำพายามค่ำคืน แสงจากเปลวเทียนยามที่ต้องค้นหาของในที่พัก แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต่างก็มีคือ

”แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิต”

ซึ่ง แสงสว่างที่ทุกคนได้รับถูกจุดประกายขึ้นจากประมุขของสำนักคนแรกที่มีนัยน์ตา ค่อนข้างมืดสนิทและใช้แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิต เช่นกัน..

ว่ากันว่าธรรมะของพระศาสดาเป็นแสงสว่าง เปรียบดั่งดวงประทีปที่ส่องให้เห็นความจริงและส่องให้เห็นได้ด้วยปัญญา

จากกรุงเทพ พวกเรามุ่งหน้าเข้าตัวเมืองราชบุรี เลี้ยวไปทางอำเภอจอมบึง ผ่านหน้าเขางูไปพอสมควรเราก็จะถึงทางแยกเข้าสู่เขาสวนหลวง สามกิโลเมตรบริเวณปากทางเข้าเราก็จะถึงสถานที่แห่งนี้ครับ...

“อุศมสถาน สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง”



“เกิด หญิงจริงหนึ่งกล้า        ผดุงธรรม

มา    ช่วยชี้ทางนำ      เพื่อนพ้อง

เพื่อ  พ้นผ่านเรือนจำ   ก้าวล้วง     ทุกข์นา

ธรรม ท่านที่ลั่นฆ้อง     บ่รู้เลือนหาย...”

ท่าน ก. เขาสวนหลวง มีนามเต็มว่า”อุบาสิกากี  นานายน” ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๔๔ ปีฉลู ณ ตำบลท่าแจ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี บิดาของท่านชื่อ นายฮก  นานายน  มารดาของท่านชื่อ นางบุญมี  นานายน และในจำนวนลูกทั้งหมดห้าคน ท่าน ก. เขาสวนหลวงคือบุตรสาวคนโตของครอบครัว

 

“แท้ จริงการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันทุกคืน  ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส  เราก็มีแต่ความสุขเย็น  แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้และเกรียมไปได้ในที่สุด”

ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านอายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบ คุณแม่ของท่านได้สอนให้ท่านสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนและหากท่านเผลอนอนหลับโดย ไม่ได้สวดมนต์ คุณแม่ของท่านก็จะปลุกท่านให้ลุกขึ้นมาสวดมนต์เสียก่อน จึงจะอนุญาตให้ท่านนอนต่อได้

ครั้น พอท่านอายุได้ ๖ ขวบ ท่านก็พบเห็นภาพคุณแม่ของท่านซึ่งขณะนั้นกำลังท้องแก่แต่ก็ยังคงทำงานอย่าง หนัก เช่นการหาบน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆบ้าน

ท่านจึงบอกคุณแม่ของท่านว่าท่านจะช่วยหาบน้ำบ้าง คุณแม่ของท่านจึงได้ตัดไม้กระบอกให้และท่านจึงได้หาบน้ำด้วยไม้กระบอกนั้นทุกวัน..

 

ใน ช่วงที่ท่านมีอายุ ๗ ขวบ ท่านได้มาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ได้รับค่าขนมวันละหนึ่งอัฐ ซึ่งท่านก็ไม่ได้นำเงินนั้นไปซื้อขนมกินเลย กลับเอาไปซื้อดอกไม้มาบูชาพระทุกวัน ต่อมาเมื่อท่านได้รับค่าขนมเพิ่มขึ้นเป็นวันละหนึ่งไพ ท่านจึงได้ซื้อข้าวที่เขาขายกระทงละหนึ่งไพ นำไปใส่บาตรทุกวัน

จน เมื่อท่านได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่ราชบุรี คุณแม่ของท่านซึ่งปฏิบัติรักษาศีลอุโบสถอยู่เป็นประจำ ได้สอนท่านไม่ให้ทำบาปขณะเดียวกันคุณแม่ของท่านก็ไม่เคยพาท่านหรือลูกๆคน อื่นไปเที่ยวดูการละเล่นเลย

 

ว่า กันว่าความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง ความสุขในวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้เลย...

ท่าน ก. เขาสวนหลวงได้เริ่มรักษาศีลอุโบสถเมื่ออายุได้ ๒๔ ปี ท่านได้ศึกษาธรรมะด้วยตัวของท่านเองโดยการปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับการอ่าน หนังสือธรรมะ ขณะเดียวกันท่านก็ยังหาโอกาสไปกราบขอความรู้ ความเข้าใจในธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ ฯลฯ

 

“เรา บังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้ก็จริง  แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สัมผัสโลกแต่ในลักษณะที่จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เราได้ โดยอาศัยธรรมะนั่นเอง” 

ท่าน เล่าว่าครั้งหนึ่งได้มีผู้ใหญ่มาชวนท่านไปเที่ยวงานประจำปี ท่านจึงได้ออกไปเที่ยว หลังจากที่ท่านได้ยืนดูอยู่ได้สักครู่ ท่านก็ได้นึกถึงศีลข้อที่ห้ามไม่ให้ดูการละเล่น การฟ้อนรำต่างๆ ทำให้ท่านเกิดความละอายใจ ท่านจึงได้ขออนุญาตผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบ้าน ท่านว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือออกไปดูการละ เล่นอีกเลย

มีเรื่องจริงที่ถูกบันทึกไว้ว่าเคยมีผู้มาบอกท่านว่า...

เขามีอาจารย์เป็นสมเด็จและทำให้คนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ พร้อมกับคนผู้นั้นได้พยายามชักชวนให้ท่านไปดู ท่านจึงได้ตอบว่า...

“กิเลส มันอยู่ที่ตัวเรา อาจารย์จะมาทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เราต้องปฏิบัติละกิเลสด้วยตัวเองจึงจะได้  ฉันไม่ไปหรอก  ถ้าอยากจะสำเร็จแบบนั้นก็ไปเถอะ”

หลัง จากที่ท่านได้ปรนนิบัติสนองคุณบิดามารดาตามหน้าที่จนท่านทั้งสองถึงแก่กรรม แล้ว ในปี ๒๔๘๘ ขณะที่ท่านอายุได้ ๔๔ ปี ท่านจึงได้ปลีกตัวออกไปสู่ความสงบ ณ เขาสวนหลวง พร้อมกับอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่และอุบาสิกาแดง รักแซ่

 

อุบาสิกาวัลย์  นานายน ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นไว้ว่า...

“.......หลังจากบิดาได้สิ้นชีวิตลง ดิฉันก็อยู่กับท่านเพียงสองคนเท่านั้น ไปไหนจึงต้องไปด้วยกันเสมอ ท่านปรารถอยู่เสมอว่า

“การอยู่บ้านเรือนและค้าขายเป็นภาระหนัก เราหาเงินได้สักก้อนหนึ่งแล้ว ไปหาที่สงบอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมดีกว่า”

ท่านเทิดทูนบูชาชีวิตพรหมจรรย์อย่างเหลือเกิน ท่านชี้ให้เห็นว่า

“เรามีมือมีเท้ามีปัญญา ทำไมจะต้องไปเป็นทาสเขาทั้งกายและใจ คนอ่อนแอเท่านั้นที่ต้องพึ่งผู้อื่น ผลที่สุดก็ได้รับความทุกข์ตลอดชีวิต”

ต่อ มาดิฉันก็ได้เปลี่ยนการค้าเล็กน้อยนั้น มาเช่าตึกทำการค้าอยู่ตลาดราชบุรี จนกระทั่งเกิดสงครามใน พ.ศ.๒๔๘๘ ตลาดราชบุรีได้ถูกระเบิด ดิฉันอพยพไปทำการค้าชั่วคราวอยู่ที่ปากน้ำ

ท่านบอกว่า จะไม่ไปด้วยท่านจะไปอยู่เขาสวนหลวง ก่อนจะไป ด้วยความห่วงใยท่านได้ลงไปดูความเป็นอยู่ของดิฉันว่าจะอยู่กันเรียบร้อยหรือ ไม่ แล้วท่านก็ไปอยู่เขาสวนหลวงตั้งแต่นั้นมา


เขาสวนหลวงนี้ท่านเคยสนใจมาก่อนแล้ว เพราะว่ามีคุณลุงและคุณป้า ซึ่งเป็นพี่ชายคุณแม่อยู่ข้างหลังเขาคือ”คุณลุงเปลี่ยน รักแซ่และคุณป้าแดง รักแซ่” ภริยาของคุณลุงเปลี่ยน ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมคุณลุงและคุณป้า ท่านจะต้องมาที่เขาสวนหลวงเสมอ.........”

“ตึกไสยาสน์       ว่างเปล่า    เขาสวนหลวง

ธรรมทั้งปวง       อนัตตา      อย่าหลงใหล

กฎธรรมชาติ      ธาตุขันธ์    มันเสื่อมไป

เหตุปัจจัย  ดับไม่เหลือ สิ้นเชื้อเอย...”

ขอ ขอบพระคุณ อุบาสิกาละมัย จุลคำภา ที่เมตตาให้ข้อมูลและบอกเส้นทางเข้าสู่สำนัก บทความบางตอนอ้างอิงจากหนังสือหลายๆเล่มของ ท่าน ก. เขาสวนหลวง คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อ(มนุษย์ล่องหน)ที่ให้คำชี้แนะและคำขนาบ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอมาครับ

อ่านรายละเอียดทั้งหมดที่นี่คะ
http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/03/13/entry-1
15  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เด็ก รับสมัครงาน วุฒิ ปริญญาตรี 6 อัตรา ด่วน เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 11:37:32 pm
ประกาศ 22 ม.ค.2554
นักจิตวิทยา (2 อัตรา)
   - วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ด้านจิตวิทยาคลินิก
   นักสังคมสงเคราะห์ (1 อัตรา)
   - วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
   พนักงานประชาสัมพันธ์ (1 อัตรา)
   - วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป สาขานิเทศศาสตร์สื่อสารมวลชน มนุษยศาสตร์ หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร  พนักงานประสานงานต่างประเทศ (1 อัตรา)   
             - วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ด้านศิลปศาสตร์ อักษรศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ หรือสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง   นักกิจกรรมพัฒนาเด็ก (1 อัตรา)
   - วุฒิปริญญาตรี สาขาการศึกษา วิทยาศาสตร์สุขภาพ กิจกรรมบำบัด สุขศึกษา จิตวิทยาสังคมสงเคราะห์ หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง
   สมัครด้วยตนเองหรือส่งจดหมายสมัครงานพร้อมหลักฐานได้ที่ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เด็ก 979 ถ.จรัญสนิทวงศ์ 12 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กทม.10600 Tel.0 2412 1169, 0 2412 0739, 0 2864 1421 E-mail: cpcrhuman@yahoo.com บัดนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2554

http://jobs.narak.com/jobs.php?No=21216
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การไม่เชื่อเรื่องอภินิหาร ปาฏิหาร ภูตผีปีศาจ เทวดา ผิดไหม บาปไหม เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:43:16 pm
การไม่เชื่อเรื่องอภินิหาร ปาฏิหาร ภูตผีปีศาจ เทวดา ผิดไหม บาปไหม

และจะขัดต่อการปฏิบัติภาวนา หรือป่าวคะ ถ้าหากเราไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้

 :25:
17  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ช่วยด้วยค่ะ ถูกเจ้ากรรมนายเวรตามล่า ต้องทำยังไงดี เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:41:14 pm
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เราเป็นคนที่กลัวสัตว์ปีกทุกชนิดมาตั้งแต่เล็ก

คือเข้าใกล้ไม่ได้เลย อาการเหมือนคนที่กลัวสัตว์น่าเกลียดน่ากลัว

แต่ของเราหนักกว่าคือ กลัวแม้แต่เสียงนก ทั้งที่ยังไม่เห็นตัวด้วยซ้ำ

แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร บ่อยครั้งเราจะรู้สึกเหมือนถูกตามล่า

คือส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เห็นไม่ว่านกหรือไก่อะไร

เขาจะบินจะเดินเข้ามาใกล้เรามากๆ

มีครั้งนึงเขาเคยมาเกาะตรงเบาะเก้าอี้ จำเป็นต้องไล่เขาออกไป

ก็เลยเอาสมุดปัดๆ เขาก็บินขึ้นสูง แล้วก็บินลงมาตีที่หัวเรา น่ากลัวมากๆ

แล้วก็จะมีนกหลงเข้ามาในร้านค้าที่ทำงานอยู่ ทั้งๆที่ก็เป็นตึกติดถนน

ถามบ้านอื่นติดๆกันก็ไม่เคยมีเข้ามา บางทีก็เข้ามาในบ้าน

บินวนอยู่หน้าห้องนอน เดินเข้ามาดื้อๆตอนกำลังนั่งเล่นคอมก็มี

ทั้งหลายทั้งแหล่ที่เล่ามานี้ จำเพาะต้องเป็นเราที่มาเจอเองทุกทีด้วย

ทั้งๆที่บ้านและที่ทำงานก็มีคนอยู่เยอะ

มีอยู่ครั้งเคยนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพเรากำลังย่างนกกระจอกอยู่ เลยเข้าใจว่า

ชาติที่แล้วคงทำกรรมไว้กับเขามาก ก็พยายามอุทิศส่วนบุญให้ทุกครั้งที่ทำบุญ

ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนมีอยู่วันหนึ่งจู่ๆก็นึกขึ้นมาว่า

ถ้าเราเลิกกินไก่กับไข่นกกระทา อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะเราไม่ได้กินนกอยู่แล้ว

ส่วนไข่ไก่นี่ต้องขอ เพราะบางครั้งไม่สามารถเลือกกินได้มาก

ตั้งแต่นั้นเขาก็มากวนน้อยลงจนนึกว่าวิธีนี้คงเป็นวิธีที่ถูกแล้ว...จนวันนี้

เรากำลังนั่งทำงานอยู่ในร้านขายของ ใกล้เที่ยงก็ล้วงข้าวกล่องที่เตรียมมาด้วย

ออกมากิน เป็นข้าวกับไข่ดาวต้มขิง

ขณะกำลังจะกิน นกตัวหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ บินเหมือนกำลังตกใจกลัวอะไร

บางอย่าง แล้วมาใกล้มาก เราก็ตกใจ เดินหนี เขาก็เดินตาม ปรบมือไล่ก็ไม่ไป

แล้วก็บินออกไป เราก็นึกว่าคงหลงเข้ามาเหมือนเคย ก็กำลังจะกินต่อ

เขาก็เข้ามาอีก คราวนี้มากัน4-5ตัวเลย เราก็วิ่งไปยืนห่างๆ

เขาก็แยกกันบินล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วก็ไป เราก็บอกเขาว่าอย่าเข้ามาอีกเลย

พรุ่งนี้จะไปใส่บาตรให้ แล้วก็เดินไปเปิดเทปบทสวดเจ้าแม่กวนอิมฟัง

เพื่อให้ขวัญตัวเองกลับมา ฟังไปก็เริ่มสบาย กำลังเคลิ้ม เขาก็โผล่มาด้านหลัง

คราวนี้ตกใจจนร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก จะออกมาจากร้านก็ไม่ได้

เพราะคนที่ผลัดเวรเฝ้าด้วยยังไม่มา แถมรถของเราที่จอดไว้หน้าร้านก็ถูกพวก

เขาล้อมไว้หมดแล้ว แล้วก็ดันมีลูกค้าเข้าร้าน เราก็ต้องแข็งใจ

เช็ดน้ำตาแล้วก็เดินออกไปขายของ (ลูกค้าก็มองหน้างงๆ)

ขณะกำลังขายของก็ยังมีบินมาโฉบผ่านหน้าอีกสองตัว

กว่าจะมีคนมาเปลี่ยนเวร เล่นเอาแทบจะกลัวจนบ้าตาย

เลยตั้งใจจะเข้าถามว่า มีใครเป็นเหมือนเราบ้างมั้ยคะ

แล้วถ้าเป็นแบบนี้จะมีวิธีแก้ยังไงบ้าง ทรมานมากๆค่ะกับการกลัวอะไร

ที่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ต้องพบต้องเจอทุกที่ ถ้ามีใครทราบวิธีบรรเทาให้ดีขึ้น

ก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่เล่าเรื่องยาวมาก

คืออยากจะให้เห็นภาพชัดๆว่า มันไ่ม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแล้วน่ะค่ะ

ที่มาจากคำถามของสหายธรรม
หน้า: [1]