ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - pimpa
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรียนถาม ทีมงาน คะ อจ.กิตติวุฑโฒ เคยพูดถึง หลวงปู่ ไก่เถื่อนหรือไม่ คะ เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 12:51:04 am
 ask1

เรียนถาม ทีมงาน คะ อจ.กิตติวุฑโฒ เคยพูดถึง หลวงปู่ ไก่เถื่อนหรือไม่ คะ
พูดไว้อย่างไร คะ และเพราะอะไร จึงพูดถึงหลวงปู่สุก ไก่เถื่อนคะ

2  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / บวชแล้วยังถูกข่มขืน เมื่อ: มีนาคม 30, 2014, 08:22:14 pm
บวชแล้วยังถูกข่มขืน

คราว หนึ่งนางอุบลวรรณาภิกษุณีท่องจาริกไปตามชนบทต่าง ๆ เมื่อกลับมาแล้วจึงไปพักผ่อนอยู่ที่ป่าอันธวันสมัยนั้นพระบรมศาสดายังไม่ได้ ทรงห้ามภิกษุณีพักผ่อนอยู่ในป่า มีคนใจบุญได้สร้างกุฏีเล็ก ๆ ไว้ในป่าอันธวันสำหรับนางภิกษุณี เพื่ออาศัยพักผ่อนได้หลังละ ๑ รูป ทำฝาเฉพาะคราวที่มีพระภิกษุณีมาพัก นางอุบลวรรณา ภิกษุณีได้เข้าไปพักอยู่ในกุฏีเล็ก ๆ นั้น นางอุบลวรรณามีลุงอยู่คนหนึ่ง ซึ่งมีลูกชายชื่อ นันทมาณพ มีความรักใคร่นางอุบลวรรณามากตั้งแต่สมัยที่นางเป็นฆราวาส แม้นางอุบลวรรณาจะออกบวชแล้วก็ยังหลงรักอยู่ ดังนั้น นันทมาณพ จึงต้องหาช่องทางที่จะข่มขืนใจ ทำลายพรหมจรรย์ของนาง

ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง นันทมาณพได้ลักลอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าอันธวัน ตั้งแต่เวลาใกล้รุ่ง เมื่อนางภิกษุณี อุบลวรรณาออกเดินทางจากป่าอันธวันเข้าไปหมู่บ้าน เพื่อรับบิณฑบาต นันทมาณพก็ลอบเข้าไปในกุฏีของนางคลานเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายใต้เตียงรอนางกลับ มา ฝ่ายนางภิกษุณีอุบลวรรณา เดินทางจากวัดในป่าเข้ามาบิณฑบาตในเมือง กลับมาพร้อมอาหารในบาตรต้องอุ้มบาตรเดินทางกลับมาถึงกระท่อมของนาง ตั้งใจว่าจะนอนพักสักครู่เพื่อให้หายเหนื่อย จึงปิดประตูห้องเสีย ค่อย ๆ เอนกายลงบนเตียงนอนหาความสงบสุขตามอัตภาพซึ่งกะปลกกะเปลี้ยจากการเดินฝ่าแดด มา พอทิ้งร่างลงบนพื้นเตียงก็หลับตาลง ทันใดนั้นเอง นันทมาณพซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงก็กระโจนขึ้นคร่อมร่างนาง แม้จะถูกนางผลักใสให้ออกไปตามกำลังแรงของท่านด้วยความรับเกียจพร้อมกับกล่าว ว่า " อย่าฉิบหายเสียเลย เจ้าคนพาล ๆ "ก็ไม่มีผลอะไรที่จะให้มันหยุดการกระทำ เมื่อทำกรรมที่มันมุ่งหมายไว้ได้สำเร็จก็เกิดมิจฉาจิตคิดอีกว่า จักต้องมาในวันหน้าต่อไปอีก โดยไม่ได้เฉลียวใจถึงผลบาปอันร้ายแรงที่สุดซึ่งมันต้องได้รับอย่างหนักใน เวลานั้นไม่

จากนั้น นันทมาณพ หลบออกจากกุฏิน้อยนั้นมาแต่แค่สุดสายตา ของพระอุบลวรรณาภิกษุณีหน่อยหนึ่งเท่านั้น พื้นธรณีที่หนาแน่น พลันสะเทือนหวั่นไหว ไม่สามารถรองรับมนุษย์อุบาทว์ที่ทำร้ายพระอัครสาวิกา ของพระบรมศาสดา ซึ่งจัดเป็นกรรมหนักที่สุดได้ ค่อย ๆ ฉีกแยกออกเป็นช่องเหมืองปล่องเหว เปลวเพลิงอเวจี ส่งเสียสนั่น พอสิ้นเสียงอันกึกก้อง บัดนั้นเองร่างของนันทมาณพผู้บาปหนา พลันจมหายไปใต้พื้นธรณี นันทมาณพหมดแรงดิ้นตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด จนกระทั่งตาเหลือกโปนเหงื่อกาฬกลัวตายไหลเหมือนน้ำหยาด กว่าจะสำนึกตัวว่าได้ทำบาปมหันต์ก็สายเกินไป ต้องรับผลกรรมลามกของมันอย่างทุกข์ทรมานที่สุด ฝ่ายพระอุบลวรรณายืนตะลึง เมื่อเห็นนันทมาณพ ถูกพระธรณีสูบ ล่วงหล่นสู่ยมโลกท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชน จนกระทั่งเหตุการณ์กลับคืนสู่ปกติ ท่านจึงเล่าเรื่องที่ได้ประสบแจ้งให้พระภิกษุณีทั้งหลายทราบทั่วกัน
3  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เพื่อนมาชวนไปทำบุญใส่บาตร ในวันสำคัญ แต่เราปฏิเสธไม่ไป อย่างนี้เป็น บาป หรือไม่ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2013, 05:43:13 am
 ask1

เพื่อนมาชวนไปทำบุญใส่บาตร ในวันสำคัญ แต่เราปฏิเสธไม่ไป อย่างนี้เป็น บาป หรือไม่


 st12 :88: :88: :c017:
4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บุญอย่างไหน ส่งผล ไว คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2013, 01:08:03 pm
 ask1 บุญอย่างไหน ส่งผล ไว คะ 
      ทำที่ไหน ดีคะ

  :c017: :c017: thk56
5  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ขอคำปรึกษาจากชาวธรรมเรื่องการซื้อ notebook ด้วยคะ เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2012, 04:32:36 pm
อยากจะซื้อ notebook สักเครื่องคะ มีงบอยู่ประมาณ 18000 บาท
จะซื้อ ipad ดี หรือ notebook ดี ควรจะซื้อ spec อะไรดีคะ ใช้บันทึกงาน และใช้งาน photoshop บ้างนิดหน่อยคะ เล่นเกมส์เป็นบางครั้ง คะ

 :c017: :c017: :c017:
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สัมมาสมาธิ หมายถึง ฌาน หรือ ไม่คะ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 08:45:54 am
ตามหัวข้อคำถาม คะ สัมมาสมาิธิ หมายถึงองค์ ฌาน ใช่หรือไม่ คะ

 ถ้าอย่างนั้น ผู้บรรลุธรรม ตั้งแต่ พระโสดาบัน ต้องมี ฌาน ใช่หรือไม่คะ


  :25: :25: :25:
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฝันเห็นแต่คนที่ตายไปแล้ว ทีละคน ตั้งแต่เริ่มฝึกกรรมฐาน เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 07:52:24 am
ฝันเห็นแต่คนที่ตายไปแล้ว ทีละคน ตั้งแต่เริ่มฝึกกรรมฐาน มาจนตอนนี้ 3 ปีแล้ว

ทุกคืนที่นอน และ หลับ จะฝันเห็นแต่คนที่ตายไป คืนละ คน สองคน

พอตื่นมาก็มานั่งนึกดู เหมือนดูหนังวนไปวนมา 3 ปีแล้วคะ

 อุทิศส่วนกุศลก็แล้ว ก็ยังฝันอย่างนี้อยู่ อยากได้รับคำแนะนำเรื่องการแก้ความฝันนี้คะ
หรือ จะมีอะไรบอกเหตุหรือไม่คะ

 :34: :bedtime2:
8  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.thai.dhamma.org/ ศูนย์วิปัสสนาธรรมธานี เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 08:18:16 am


http://www.thai.dhamma.org/
ศูนย์วิปัสสนาธรรมธานี


ติดต่อเรา
มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์
Address:
เลขที่ 42/660 หมู่บ้านเค.ซี.การ์เด้นโฮม
ถ.นิมิตใหม่ แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา
กรุงเทพมหานคร
ประเทศไทย
10510

Telephone:    0-2993-2711
Fax:    0-2993-2700
9  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เวลาทำบุญใส่บาตร ควรอธิษฐาน อย่างไรดีคะ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 08:04:00 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bloggang.com

เวลาทำบุญใส่บาตร ควรอธิษฐาน อย่างไรดีคะ
ตามคำถามเลยคะ

  ทุกวันก็อธิษฐาน เรื่อยเปื่อยคะ เช่น อธิษฐาน ขอให้คุณพ่อคุณแม่ ท่านอยู่เย็นเป็นสุข
ขอให้ตัวเองถูกหวย ขอให้มีคนรักมาก ๆ เป็นต้น ( ไม่รู้อธิษฐาน ถูกต้องหรือไม่ )

  ช่วยแนะนำ ด้วยนะคะ

  :c017:
10  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จริงหรือไม่คะ ที่ว่าปฏิบัติที่อุพเพงคาปีติ แล้ว ตัวจะลอยได้ เมื่อ: เมษายน 06, 2011, 07:43:58 pm
ในสาย ยุบหนอ พองหนอ มีคำกล่าวว่าผู้ปฏิบัติได้ อุพเพงคาปีติ แล้วตัวจะลอยขึ้นได้ จริงหรือไม่คะ
ไม่ต้องรอเป็นฌาน ก็สามารถทำได้แล้วหรือคะ

ในสายยุบหนอ พองหนอ กล่าวว่าผู้ที่ได้ปีติ ยุคล และ สุข สมาธิเป็นแต่ติดโอภาส แสงสว่างไม่เป็นธรรมที่จะบรรลุได้ ที่มาจากคำสอนของ พระธรรมธีรราชมุนี วัดมหาธาตุ คะ

 :03:
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรคนอนกรน ทุกคนโปรดอ่าน เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 04:12:48 pm
คนเราถ้ายังมีชีวิตอยู่ต้องมีการหายใจ คนเราต้องหายใจตลอดเวลาทั้งในขณะตื่นและหลับ วันหนึ่ง ๆ เราต้องการนอนหลับโดยเฉลี่ย 7 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล ในขณะที่เราหลับนี้อาจมีความผิดปกติทางการหายใจเกิดขึ้นได้ โดยอาจเป็นภาวะหรือโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีการนอนหลับ หรือเป็นการแสดงอาการที่มากขึ้น ของโรคระบบหายใจที่เป็นอยู่แล้วขณะตื่น

การ หายใจ (Breathing) ที่จะกล่าวถึงทั้งหมดนี้ หมายถึงการนำอากาศเข้าไปในร่างกายจนถึงกระแสเลือด ไม่ใช่การหายใจในระดับเซลล์ (Cellular Respiration) ซึ่งหมายถึงการนำเอาออกซิเจนไปใช้เผาผลาญสารอาหาร การหายใจสามารถแยกออกได้เป็น 2 กระบวนการ คือ การถ่ายเทอากาศ (Ventilation) และการเติมออกซิเจนให้กระแสเลือด (Oxygenation) ในคนปกติการถ่ายเทอากาศจะลดลง ตั้งแต่เราเริ่มนอนหลับ ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และความเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น เดิมนั้นเข้าใจว่าเกิดจากสมองส่งสัญญาณกระตุ้นให้ร่างกายหายใจน้อยลง แต่ปัจจุบันพบว่า ความเข้าใจนั้นไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้วเกิดจากความต้านทานการไหลของอากาศผ่านลำคอสูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังเป็นความจริงที่ว่าเมื่อสมองถูกกระตุ้นจากคาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดที่สูงขึ้นซึ่งสมองควรจะตอบสนองโดยการส่งสัญญาณมากระตุ้นให้ร่างกาย หายใจมากขึ้น สมองกลับไม่ตอบสนองมากเท่าที่ควร นอกจากนี้เมื่อออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งในขณะตื่นนั้น จะมีการกระตุ้นให้เราหายใจมากขึ้น แต่ในขณะหลับ ตัวรับสิ่งกระตุ้นเหล่านี้กลับด้านชากว่าในขณะตื่น โดยจะด้านชามากที่สุดในช่วงหลับฝัน (REM Sleep) ตัวรับสิ่งกระตุ้นให้เกิดการหายใจ ก็ตอบสนองน้อยลงในขณะหลับเช่นกัน

กล่าว โดยสรุปคือ ในภาวะปกติในขณะที่มีการนอนหลับจะมีการหายใจลดลงและร่างกายก็ไม่ตอบสนองต่อ ภาวะคาร์บอนไดออกไซด์สูงและออกซิเจนต่ำได้ดีเท่ากับในขณะตื่น

ความ ผิดปกติของการหายใจที่เกี่ยวกับการนอนหลับที่พบบ่อยมี 4 ชนิด คือ การกรน, โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ, โรคแรงต้านทานในทางเดินหายใจสูงและการหายใจแบบชินสโต๊ก


กล่าวโดย สรุปคือ ในภาวะปกติในขณะที่มีการนอนหลับจะมีการหายใจลดลงและร่างกายก็ไม่ตอบสนองต่อ ภาวะคาร์บอนไดออกไซด์สูงและออกซิเจนต่ำได้ดีเท่ากับในขณะตื่น

ความ ผิดปกติของการหายใจที่เกี่ยวกับการนอนหลับที่พบบ่อยมี 4 ชนิด คือ การกรน, โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ, โรคแรงต้านทานในทางเดินหายใจสูงและการหายใจแบบชินสโต๊ก


การกรน

เกิด จากการสั่นของผนังลำคอและเพดานปากรวมทั้งลิ้นไก่ขณะหายใจ อุบัติการของการกรนขึ้นอยู่กับอายุและเพศ โดยรวมแล้ว 25% ของผู้ชาย และ 15% ของผู้หญิง กรนเป็นประจำ ในวัยกลางคน (40 – 65 ปี) อุบัติการจะสูงขึ้นเป็น 60% ในผู้ชายและ 40% ในผู้หญิง การกรนอาจมีผลมากจากความผิดปกติของผนังจมูก,ทอนซิล. รูปร่างของคางและลิ้น,โรคภูมแพ้, ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ไทรอยด์ ยาและสุราหรือ พันธุกรรม พบว่าประมาณ 40 – 60 % ของผู้ที่กรนเป็นประจำมีโรคหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea ) การศึกษาทางระบบวิทยาพบว่า การกรนอาจเป็นปัจจัยหนุนต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด อัมพาต

12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ได้เวลาปลดปล่อยเหล่าวิญญาณเฝ้าทรัพย์สมบัติของแผ่นดินกันแล้ว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:30:56 am
ได้เวลาปลดปล่อยเหล่าวิญญาณเฝ้าทรัพย์สมบัติของแผ่นดินกันแล้ว
เคย ได้ยินไหมว่า วิญญาณเฝ้าทรัพย์สมบัติไหม อย่างปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เพราะอดีตกาลเห็นเขาเล่ากันว่า สมัยหนึ่งได้มีการเกณฑ์คนเพื่อฆ่า และฝังรวมกับสมบัติของแผ่นดินไม่ให้ตกอยู่ในมือคนโลภ จึงเกิดวิญญาณเฝ้าทรัพย์สมบัติขึ้นมา เพื่อรอเจ้าของที่แท้จริงที่จำนำสมบัติเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด เขาอาจจะเอาไปใช้เพื่อช่วยคนเจ็บใกล้ตาย หรือเอาไปซื้อเครื่องมือการแพทย์ที่ทันสมัยสามารถรักษาคนให้หายจากโรคต่างๆ ได้ และอาจไปถึงการทุ่มงบให้คนป่วยในกรณีโรคที่ต้องใช้เงินเยอะแต่เขาอาจจะเอา สมบัติเหล่านั้นใช้เป็นทุนรักษาฟรีให้พวกเขามทีชีวิตรอด อย่างคนจนๆ คนพเนจร

หรือซื้อสนามกอฟ์และเอาพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ให้กลายเป็นบ้านคน ให้ผู้พเนจรได้พักอาศัย เพื่อขจัดปัญญาผู้พเนจรในประเทศ ทำให้ผู้พเนจรได้มีที่อยู่ และทำให้เขามีงานทำด้วย เพราะในพื้นที่สนามกอฟ์ส่วนนึงจะกลายเป็นสินค้าโอทอปส่งออกนอกทำให้ต้องใช้ คนงาน แต่คนงานเหล่านั้นก็คือผู้พเนจร และสามารถสร้างวัดได้อีกด้วย

หรือเขาจะเอาสมบัติจัดทำพระพุทธรูปหรือองค์พระต่างๆเพื่อแจกให้กับทุกคนทุกบ้านหรือหนังสือธรรมะเพื่อให้เขาได้บรรลุธรรม

หรือเอาสมบัติมาปรับปรุงโรงเรียน พยาบาล และสถานที่ราชการให้ดีขึ้น

หรือบูรณะวัดให้ดีขึ้นโดยเฉพาะวัดร้างๆ

วัดร้างก็ทุ่มงบให้คนที่อยากบวชได้บวชฟรีและไปประจำวัดร้างในพื้นที่ต่าง

หรือสร้างบุญอื่นๆอีกเพียบ

ที่ผมมาในวันนี้เพราะผมอยากให้คนที่จะไปเจอหรือกำลังจะเจอทรัพย์สมบัติที่ เหล่าวิญญาณปกป้องไว้อยู่ ให้เอาไปใช้ในทางที่ดีๆ อย่าโลถเพราะมีหลายรายต้องตายเพราะความโลภ

เจ้าของที่แท้จริงคือคนดีจริงๆที่ไม่ความโลถและมีความเมตตาสูง ที่ต้องการสมบัติเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่แท้จริง เพราะยุคนี้มันปีศาจครองเมืองมีแต่คนเห็นแก่ตัว คนดีๆเหลือน้อย

ผมอยากให้เอาไปช่วยชีวิตคนบริสุทธิ์อีกมากครับ

ถ้าทำได้และมีผู้มีบุญจริงๆ วิญญาณพวกเขาก็ไม่ต้องทำกรรมที่คอยทำร้ายพวกคนโลภให้สิ้นไป และเขาได้บรรลุธรรม และไปสู่สุขคติ ผู้มีบุญคนคนนั้นจะต้องขอให้เขาได้บรรลุธรรมด้วย ถึงจะดี

ตอนนี้ก็ทำได้โดยการตักบาตรแผ่ส่วนบุญให้กับพวกเขา ให้พวกเขาไปสู่สุขคติโดยเร็ว

การขอให้วิญญาณไปสู่สุขคติอย่างเดียวมันก็ดี

แต่จะดียิ่งขึ้นก็ต้องขอให้พวกเขาได้บรรลุธรรมด้วย ทั้งสัตว์และคนเพราะสัตว์ก็คือคนเพราะก่อนจะมาเป็นสัตว์ก็เป็นคนมาก่อน

จะได้บรรลุธรรมกันเป็นคู่ๆซะที

ใช้ความเมตตา ชาติจะเจริญ

เห็นแก่พวกเขาเถอะ อย่าให้เขาต้องทรมานไปมากกว่านี้เลย

ขอร้องทุกคนเถอะอย่าโลภกันนะ

ที่มาเนื้อเรื่อง โดยคุณ เทพสังหรณ์...ที่ไร้คู่
http://board.palungjit.com/f2/
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การถวายผ้าแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมได้บุญ แต่การถวายผ้าห่ม แด่พระพุทธรูปได้... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 06:02:39 am
การถวายผ้าแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมได้บุญ แต่การถวายผ้าห่ม แด่พระพุทธรูปได้อย่างไร


ขอบคุณที่มาภาพ http://www.photoontour.com

พิจารณา จากการที่สมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีรูปสักการะ จึงไม่น่าจะมีเนื้อหาอานิสงค์การถวายผ้า

พระพุทธรูป หรือ อานิสงค์การสร้างพระพุทธรูป

  ที่มาของอานิสงค์ ต่าง ๆ อยู่ตรงส่วนไหน ของพระไตรปิฏก คะ

  ความสงสัยย่อมเป็นที่มาของการแสวงหา คำตอบ รบกวนเพื่อน ๆที่ทราบ ช่วยแถลงแจ้งข้อสงสัย นี้หน่อยคะ

 :c017:
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ในครั้งพุทธกาล มีพระบรรลุธรรมในระหว่างเดินจงกรม หรือไม่คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2011, 06:11:58 am
อยากทราบประวัติพระที่บรรลุธรรมเนื่องด้วยการเดินจงกรม มีบ้างไหมคะ

เพื่อทราบปฏิปทาของท่าน เพราะเห็นมีการสอนเดินจงกรมกัน จึงไม่แน่ใจว่า

ในการเดินจงกรม แท้ที่จริงมีพระบรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะเดินจงกรมมากหรือไม่ในสมัยนั้น


 :25:
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สามัคคี คือ อะไรคะ เมื่อ: มกราคม 29, 2011, 07:24:15 am
สามัคคี ในพระพุทธศาสนา หมายถึงอะไรคะ

 ในความเข้าใจก็คือ ทุกคนทำตามเหมือนกัน ใช่หรือไม่ คะจึงจะเรียกว่า สามัคคี คะ

 :c017:
16  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การกำหนดรู้ ในกรรมฐาน มีวิธีการกำหนดอย่างไร เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 10:27:06 pm
การกำหนดรู้ ในกรรมฐาน มีวิธีการกำหนดอย่างไร
 ในวิธีการ เห็นตามความเป็นจริง มีการกำหนดรู้อย่างไร ?
 เราควรจะกำหนดรู้ เวลาไหน ตอนไหน ในกรรมฐาน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ?

 :smiley_confused1:
17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว ควรจะประคองจิตอย่างไรในวิปัสสนา คะ เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 07:31:55 pm
เป็นการฝึกตามแนววัดอัมพวัน ( หลวงพ่อจรัญ นะคะ )
ฝึกนั่งสมาธิมาได้สัปดาห์เศษแล้วค่ะ
ตอนนี้หลังจากสวดพาหุงมหากา และอิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่ง เสร็จ
จะนั่งสมาธิต่ออีกประมาณ 30 นาที

เนื่องจากตอนสวดมนต์รู้สึกว่าการสวดมนต์ทำให้ใจเข้าสู่สมาธิได้ดี

ตอนนั่งสมาธิช่วงนี้จึงใช้ภาวนา ไตรสรคมณ์ พร้อมกำหนดลมหายใจ

ก็เข้าสมาธิได้ พยายามประคองสมาธิให้ตลอด

ประมาณ 20 นาทีจะรู้สึกนิ่ง รวมศูนย์อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก

ก็พอใจกับสิ่งที่ทำได้ค่ะ ก็จะค่อยๆฝึกไปเรื่อย

(ช่วงหลังมานี้ไม่มีนิมิตเกิดขึ้นแล้ว และก็พยายามตั้งใจอยู่แต่กับลมหายใจ)


เมื่อออกจากสมาธิแล้ว รู้สึกศีรษะเบาสบาย ร่างกายผ่อนคลาย

(ความ รู้สึกเหมือนช่วงพักหลังจากออกกำลังกายหนักมากๆเช่นวิ่งจ๊อกกิ้งต่อกันเป็น เวลานาน แต่ไม่เหนื่อยนะคะ แค่มีความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอย่างนั้น)


อยากทราบอาการที่เกิดนี้ ควรทำอย่างไรต่อไปดีในวิปัสสนา คะ จำเป็นต้องขึ้นกรรมฐาน อีกหรือไม่คะ
ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว
18  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บวชชีพราหมณ์ อยากทราบว่าสามารถใส่แหวนแต่งงานได้หรือไม่คะ เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 06:15:44 pm
บวชชีพราหมณ์ อยากทราบว่าสามารถใส่แหวนแต่งงานได้หรือไม่คะ

 คือตั้งแต่แต่งงานมายังไม่เคยถอดเลย อยากทราบว่า อนุเคราะห์สวมไว้ได้หรือป่าวคะ

 :58:
19  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความสุข....ในพุทธศาสนา เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 12:56:44 pm
ความสุข....ในพุทธศาสนา

 

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังบรรยายในงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง ความสุขในสังคมสมัยใหม่: จิต วิญญาณ สังคม และวิทยาศาสตร์ จึงเก็บเกี่ยวธรรมะบรรยายที่น่าสนใจจากพระคุณเจ้าพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว. วชิรเมธี ผู้ได้รับการกล่าวขานว่า ธรรมะจากท่านนั้น เป็นธรรมะอินเทรนด์

                               

พระคุณเจ้าได้เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งไปเยือนประเทศภูฏาน (เจ้าของประเทศออกเสียงว่า พู – ถาน) อย่างเป็นทางการในฐานะตัวแทนคณะสงฆ์จากประเทศไทย ท่านว่า ภูฏานเป็นดินแดนแห่งความสุขแหล่งสุดท้ายของโลก

               

พระ มหากษัตริย์ของภูฏานทั้งพระองค์ที่ ๔ และพระองค์ที่ ๕ ในปัจจุบัน (เจ้าชายจิกมี)พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รัก ทำไมจึงเป็นที่รัก เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นต้นธารของความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH)

ทำไม บ้านนี้ เมืองนี้ จึงเป็นดินแดนแห่งความสุขแหล่งสุดท้ายของโลก มองในแง่ภูมิศาสตร์ เพราะเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา แต่หากมองในแง่นั้นอย่างเดียว ยังไม่ใช่มองอย่างพุทธ เราต้องมองที่เหตุปัจจัย มองลึกเข้าไปถึงปรัชญาการพัฒนาประเทศ คือ พุทธปรัชญา ภูฏานนั้นเป็นเมืองพุทธ ความสุขที่แท้จริงของประเทศภูฏานก็คือพุทธศาสนา ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ยันชาวบ้านธรรมดา ล้วนนั่งสมาธิเป็นกิจวัตรประจำวัน เดินไปตามถนน หนทางเราจะเห็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่คนเฒ่า ถือกระบอกมนตราติดมืออยู่เป็นประจำ แล้วก็แกว่งกระบอกมนตรา สวดมนต์ ทุกหนทุกแห่งตามหลังคาบ้าน จะเห็นธงปักอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในผืนธงนั้นมีมนตราจารึกอยู่ เรียกว่า ธงมนตรา เมื่อลมพัดธงก็จะพัดพามนตราไปปกคลุมทั้งประเทศ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข นอกจากนี้ประชาชนทั้งประเทศเป็นมังสวิรัติ ชนชั้นนำเป็นชาวพุทธโดยแท้ เค้าเลี้ยงวัวไว้ เพื่อรีดแต่นมเท่านั้น

พระคุณเจ้านิยามความเป็นภูฏานไว้ว่า

 “ภูฏาน เมืองกิเลสพักร้อน”

 ส่วนประเทศไทย เป็น “เรือนเพาะชำกิเลส” นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศเรา ขาดความสุขมวลรวมประชาชาติ

ที่ภูฏานชนชั้นนำบริหารประเทศอย่างมีสติไม่ตื่นไปกับกระแสโลก ประชาชนก็ซึมซับรับเอาไว้ ถึงกับมีเรื่องเล่าว่า

" มี นกกะเรียนฝูงหนึ่ง เคยบินเข้ามาในหมู่บ้านทุกปี ปีที่แล้ว รัฐบาลนำไฟฟ้าเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น นกกระเรียนจำนวนหนึ่งมาจับอยู่ที่สายไฟฟ้าแรงสูง ไฟช๊อตนกตาย ชาวบ้านประท้วง บอกเอาเสาไฟฟ้าออกไป เราจะเอานก สุดท้ายไม่เอาไฟฟ้า ขอให้นกให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับคน" นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่า พุทธธรรมได้ฝังรากลงลึกเข้าไปในวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่

ย้อนกลับมาเมืองไทยของเราซึ่งก็เป็นเมืองพุทธที่ ขึ้นชื่อมากว่าพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ทำไมทรุดลง???

เป็นเรื่องที่น่าคิด ความเป็นมนุษย์ของเรา เราเป็นพุทธทางวัฒนธรรม มากกว่าโดยเนื้อหาสาระ

ที่ ท่านนำเรื่องภูฏานมาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า ประเทศที่นำหลักการทางพุทธศาสนาไปใช้ในการบริหารประเทศแล้วได้ผล ยังมีอยู่จริงในโลกนี้ ที่มองเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความสุข ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “ในบรรดาคนที่มีความสุข ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ” ในโลกนี้จะมีซักกี่คนที่พูดได้แบบนี้ ส่วนมากจะพูดกันว่า ในบรรดาคนที่มีความทุกข์ในโลก ฉันอยู่อันดับต้น ๆ

นี่แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาของศาสนาแห่งความสุข

เป้าหมายของศาสนาคือ นิพพาน ซึ่งมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า วิมุติ วิมุติมีอีกชื่อหนึ่งว่า สันติคือความสงบ

มีพระพุทธพจน์หนึ่งกล่าวว่า นิพพานฺ ปรมฺ สุขขฺ นิพพานเป็นบรมสุข

สุข อื่นยิ่งกว่าสันติสุขไม่มี ฉะนั้น มองในแง่เป้าหมาย พุทธศาสนา จึงเป็นศาสนาแห่งความสุข และในแง่วิธีการ พระองค์ตรัสไว้ในอริยสัจ ๔ว่า

“ทุกข์มีไว้สำหรับเห็น สุขมีไว้สำหรับเป็น”

แต่คนส่วนใหญ่ “ทุกข์มีไว้สำหรับเป็น สุขมีไว้สำหรับคิดถึง”

สรุปได้ว่า

๑.             พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของศาสนาแห่งความสุข

๒.            ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความสุข

๓.            เป้าหมายของศาสนาก็คือมรรคา

ปริศนา ธรรมที่ช่างได้ทิ้งไว้ในพระพุทธรูป พระโอฐแย้มละไมอยู่เป็นนิจอันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความสุข นั่นคือ ปริศนาธรรม ดวงพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าจะสะท้อนให้เห็นว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความสุข

ใน ฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราควรเป็นหน่วยความสุขเคลื่อนที่ ไปไหน ไปนั่งใกล้ใคร ควรระบายความสุขให้แก่ผู้คนรอบข้าง ทุกวันนี้เราเป็นอย่างนั้นหรือไม่???? ถ้า เราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ แสดงว่าเราต้องผิดพลาดในแง่ใดแง่หนึ่ง ส่วนในแง่ไหนนั้น เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องพิจารณากันเอาเอง

นิยาม แห่งความสุข ในแนวของพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือชั่ง ตวง วัด อย่างเช่น ความสุขในใจเรา บางทีเราวัดไม่ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ สัมผัสได้ ฉะนั้น ฝรั่งจำนวนมากพยายามจะวัดสิ่งที่เป็นนามธรรม ด้วยกฎเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรม พอวัดไม่ได้ก็ไม่อยากจะทำวิจัยแล้ว  แต่ ในทัศนะของพุทธศาสนา ความสุข นิยามได้ ความสุขคืออะไร ความสุขคือสภาวะที่ทำได้ง่าย หมายความว่า เมื่อสภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว เราสามารถรับมือกับมันได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องจำใจยอมรับ จำใจทำ

ประเภทของความสุข มี ๒ ประเภท คือ

๑.             ความสุขทางกาย  คือสุขที่แสดงผลออกมาทางกาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น

๒.            ความสุขทางใจ คือ เจตสิกสุข คือใจที่เป็นสุข

ในทางธรรมมะความสุขมีอยู่ ๒ ประเภท

๑.    ความสุขในโลก หรือ โลกียสุข คือความสุขที่กิเลสของเราได้รับการพะเน้าพะนอ เช่น ตาอยากเห็น เราก็ให้มันเห็น  ลิ้นอย่างลิ้มรส ก็ได้ลิ้ม กายอยากสัมผัส ก็ได้สัมผัส ฯลฯ

๒.    ความสุขที่อยู่เหนือโลก หมายความว่า เป็นความสุขที่เกิดจากสภาพที่แท้จริงของใจ เกิดจากปัญญารู้เท่าทันความจริงของโลก

บ่อเกิดแห่งความสุข

๑.    เกิดจากกาม = กามสุข กามคือวัตถุหรือกิเลส ที่น่าใคร่น่าปรารถนา น่าพอใจ กามสุข คือสุขที่เกิดจากการสนองตามประสาทสมผัสทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

๒.    ฌาณ สุข คือ ความสุขเกิดจากการภาวนา มีความลึกซึ้งทางจิตเพิ่มขึ้น เป็นความสุขของคนที่ฝึกจิต เช่น การปฏิบัติสมาธิแล้วเกิดความดื่มด่ำลึกซึ้ง

๓.   วิมุติสุข คือ ความสุขเกิดจากจิตหลุดพ้นสิ้นเชิงจากพันธนาการของกิเลสทั้งปวง

ชาวโลกบอกว่า “ ตามความอยากไปแล้วสุข ”

ชาวพุทธบอกว่า “ อยู่เหนือความอยากแล้วสุข ”

มหาตะมะ คานธี กล่าวไว้ว่า “ทรัพยากรที่มีอยู่นั้น เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลกได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนโลภเพียงคนเดียว”

วิธีสร้างความสุข 

เราจะสร้างความสุขกันอย่างไร ความจริง บ่อเกิดของความสุขอยู่ตรงไหน เราก็สร้างความสุขกันตรงนั้นนั่นแหล่ะ

กามสุข  -    คือความสุขที่เกิดจากกาม วิธีการก็คือ ก้าวเข้าไปหาและสนองตอบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

ฌานสุข    -    ฝึกสมาธิ ภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน

วิมุติสุข     -     เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้จิตรู้เท่าทันความเป็นจริง

 แต่วิธีอย่างนี้ฟังดูอุดมคติมากไปหน่อย  วิธีสร้างความสุขให้ง่ายกว่านั้นอีก มี อยู่ ๕ ข้อ

๑.             สร้าง ความสุขจากเสพหรือสนองตอบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นการสร้างความสุขพื้นฐาน ตาอยากดูรูป พาไปดู หูอยากฟังเสียงเพราะ ก็พาไปฟัง จมูกอยากดมกลิ่นหอม ก็พาไปดม

๒.            สร้างความสุขจากการพัฒนาใจให้มีคุณธรรม เช่นพ่อแม่มีเมตตาต่อลูก ยอมลำบากเพื่อให้ลูกของตนเองมีความสุข ” เป็นปรัชญาการทำงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราคือ “ความสุขของฉัน คือการทำให้คนอื่นมีความสุข” อย่างนี้ เป็นความสุขที่เกิดจากความมีเมตตา

๓.            รู้ เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตไม่ยึดติดกับความสุข หมายความว่าอยู่กับโลกแต่ไม่หลุดโลก ใจที่ขาดสติ จะปล่อยให้ทุกข์ตามธรรมชาติกลายมาเป็นทุกข์ในใจของตนเอง ทุกข์ทางกาย ไม่จำเป็นต้องให้ใจต้องเป็นทุกข์ด้วย มันจะกลายเป็นทุกข์สองต่อ

๔.            สร้าง ความสุขจากการปรุงแต่งใจให้เป็นสุข รู้จักฝึกจิตฝึกใจให้มองโลกในแง่ดี เกิดมาในโลก อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวโดนนินทา นี่คือการปรุงแต่งใจให้เป็นสุข

๕.            พัฒนา ปัญญาให้เข้าถึงอิสรภาพ รู้แจ้งจริงในความจริงของโลก เหมือนดอกบัวเกิดในน้ำ แต่ลอยพ้นน้ำขึ้นไป ตรงนี้เกิดขึ้นได้จากการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน และมีจิตที่หลุดพ้น เป็นอิสระจากกิเลสอย่างถาวร อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา

วิธีปฏิบัติต่อความสุข อย่าประมาทในความสุข มีอยู่ ๔ ประการ

๑.             ไม่ เอาทุกข์ทับถมใจที่ไม่เป็นทุกข์ หมายความว่า ตามธรรมชาติอันเป็นธรรมดาของชีวิต ใจของเราทุกข์ มีพุทธดำรัสตรัสไว้ว่า จิตโดยแท้นั้นผ่องใส แต่กายที่ทุกข์นั้น ถ้าเราไม่เอาใจเข้าไปแบกทุกข์ ใจก็ไม่ทุกข์ แต่มนุษย์จำนวนมากมีชีวิตที่เป็นทุกข์ เพราะเอาใจเข้าไปแบกทุกข์ แกว่งเท้าหาเสี้ยน ทุกข์จริงนั้นไม่มี แต่ใจเราไปแกว่งหามันเอง

๒.            สุข ที่ชอบธรรม หมายความว่า เวลาแสวงหาความสุขนั้น ขอให้แสวงหาแต่ความสุขโดยชอบธรรม สุขที่ไม่ชอบธรรมไม่ต้องเอามา เช่นความสุขที่ติดในกามารมณ์ สุขที่ชอบธรรมนิยามง่าย ๆ ว่า ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำคนอื่นให้เดือดร้อน ทำจิตใจให้สดชื่นเบิกบานแจ่มใส

๓.            ต้อง ไม่ยึดติดในความสุขในชอบธรรม เช่นการยึดติดในสมาธิ เสพติดสมาธิมาก ๆ จะขี้เกียจ หลงลืมโลก ลืมหน้าที่ หากขาดสติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มีความสุขโดยชอบธรรม ก็จงอย่าประมาท

๔.            ความสุขของมนุษย์นั้นมีพัฒนาการ เรามีความสุขจากกามแล้วก็ยังไม่พอ ต้องพัฒนาไปจนถึงจิตที่เป็นวิมุติสุขด้วย

เรียบเรียงจากธรรมบรรยายโดย พระมหาวุฒิชัย  วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี)

แสดงธรรมที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐

โดย : วนา
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โทษของการนั่งทำงานนานๆ ของพี่เนียน เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 12:55:43 pm
โทษของการนั่งทำงานนานๆ ของพี่เนียน

พี่เนียน อายุเพิ่งจะ 40 ปี ชีวิตประจำวันของพี่เค้าเป็นดังนี้

- เช้าตื่นตี 5 กว่าๆ อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถจากบ้าน (พุทธมณฑลสาย 4) มาส่งภรรยาที่ปูนฯ
- ขับรถกลับไปทำงานที่กรมอู่
- นั่งทำงานที่โต๊ะ จนเย็น การขยับตัวก็คือไปห้องน้ำ และพักทานกลางวัน
- เลิกงานกลับมารับภรรยาที่ปูนฯ และขับรถกลับบ้านที่พุทธมณฑลสาย 4 จะถึงบ้านประมาณทุ่มนึงทุกวัน
- ไม่ทานข้าวเย็น นั่งทำงานต่อ จนถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตี 2 ทุกวัน ( เรียนโทอยู่เลยมีทั้งงานที่ทำงานและ
งานเรียนผสมปนเปไป)
- ทำอย่างนี้ทุกวันทั้งสัปดาห์
- เสาร์และอาทิตย์ก็ตื่นเช้าขับรถไปเรียนที่ ม.เกษตร กลับมาตอนเย็น นั่งอ่านหนังสือทำงานต่อเหมือนเดิม

ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี เช็คร่างกายทุกปี....ระวังอาหารการกินมากๆๆๆ...ไม่กินของมัน...ไม่กินของที่ไม่มี
ประโยชน์ อยู่ดีๆ วันนึงก็บอกว่าหายใจได้ไม่ทั่วท้อง รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลทหารเรือแทบจะไม่ทัน...
ตัวเหลือง....เริ่มชาไปหมดทั้งแขน และเริ่มขยับริมฝีปากไม่ได้.....
หายใจไม่ออก....คุณหมอต้องสั่งให้ออกซิเจนด่วน นอนโรงพยาบาลอยู่ 2 อาทิตย์
.... ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว และที่ท้ายรถพี่เนียนมีถังออกซิเจนพกอยู่ตลอดเผื่อฉุกเฉิน ….

สรุปโรคที่คุณหมอบอกก็คือ
- โรค Economy Class S yndrome ( เขียนอย่างงี้รึเปล่าก็ไม่รู้) คือโรคที่เกิดจากพฤติกรรมนั่ง
ทำงานนานๆ + เครียด Case ที่พบมากๆ ก็พวกที่ขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ เพราะเป็นการนั่งในท่าเดิมโดย
ไม่การขยับเป็นเวลานานๆ เช่นพวกที่นั่งเครื่องบิน 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไป เป็นประจำ
- พักผ่อนน้อย …
- ไม่ออกกำลังกาย....
- อาการของโรคของพี่เนียน : มีลิ่มเลือดไปเกาะที่เล้นเลือดหล่อเลี้ยงระหว่างปอดกับหัวใจ แต่โรคนี้
ลิ่มเลือดอาจเกาะที่อื่นๆก็ได้ เช่น สมอง หรือเกาะที่หัวใจเลย
ซึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นได้ไม่สะดวก ร่างกายก็จะได้รับอกซิเจนไม่เพียงพอ...
- วิธีแก้ : ฉีดยา- กินยาสลายลิ่มเลือด , ผ่าตัด , บัลลูน (หัวใจ) หรืออื่นๆ.....

- .... ถึงเวลาที่เราต้องลุกจากโต๊ะ แล้วไปออกกำลังกายกันรึยังล่ะจ๊ะ ….
- ... ชีวิตประจำวันของพวกเรา ต่างจากพี่เนียนรึเปล่าเอ่ย.

_.___
21  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธชัคคสูตร : เพื่อขจัดความหวาดกลัวและป้องกันอันตรายจากที่สูง เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 06:34:26 pm
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่
   
หลายคนก็เตรียมไปนับถอยหลังหรือเคานท์ดาวน์ แต่ผมอยากเชิญชวนท่านผู้อ่านสวดพระปริตรส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เห็นจะดี กว่า เพราะเป็นสิริมงคลอย่างแท้จริงแก่ตนเอง และครอบครัว ซึ่งวัดหลายแห่งก็จัดพิธีสวดมนต์รับปีใหม่ดังกล่าว อาทิ วัดสระเกศฯ ผมเองก็ขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านทั้งหลายล่วงหน้าครับ แต่บทความนี้ขอเสนอบทสวดพระปริตรต่อจากตอนที่แล้วครับ
   
๑๒. ธชัคคสูตร : เพื่อขจัดความหวาดกลัวและป้องกันอันตรายจากที่สูง
   
เมื่อสวดโมรปริตรและหรือวัฏฏกปริตรจบแล้วก็จะลงมือสวดธชัคคสูตรต่อไป ธชัคคสูตรนี้ มีที่มาจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถาวรรค พระพุทธองค์ตรัสธชัคคสูตรนี้แก่พระภิกษุในขณะที่ประทับอยู่ที่เชตวัน นครสาวัตถี โดยทรงเล่าเรื่องการเทวาสุรสงครามระหว่างเทพ ซึ่งมีท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์เป็นจอมทัพกับเหล่าอสูร ซึ่งถูกท้าวสักกะและเทพบริวารขับลงไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วยึดสวรรค์นั้นครอบครองแทน เหล่าอสูรเคยอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้และเคยได้ทราบว่าสวรรค์ชั้นนี้มีต้น “ปาริชาต” ซึ่งเป็นดอกไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม อันเกิดจากบุญกุศลของท้าวสักกะ ในขณะที่อสูรนครก็มีต้นไม้ชื่อ “จิตตปาตลิ” เหมือนต้นปาริชาตแต่ไม่มีกลิ่นหอมเลย ดังนั้น เมื่อดอกจิตตปาตลิบาน พวกอสูรก็ระลึกถึงดาวดึงส์เทวโลก ก็เกิดความแค้นยกทัพขึ้นมาบนสวรรค์จะรบเพื่อชิงแดนคืน ในการรบนี้ เทพนักรบทั้งหลายก็อาจเกิดความกลัว ขนพองสยองเกล้าได้ ดังนั้น ท้าวสักกะจึงขอให้เทพทั้งหลายมองดูยอดธง (ธชัคคะ) ของท้าวสักกะจอมเทพ หรือยอดธงของแม่ทัพเทพอื่น ๆ อาทิ วรุณเทวราช อีสาณเทวราช ความหวาดกลัวก็จะหายไป
   
แต่พระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า แม้เทวดาจะดูยอดธง (ธชัคคะ) ของจอมเทพแล้ว ความกลัวก็อาจหายไปบ้าง ไม่หายบ้าง เพราะท้าวสักกะยังไม่หมดกิเลส คือ ราคะ โมหะ โทสะ ยังเป็นผู้หวาดกลัว ยังเป็นผู้สะดุ้ง ยังเป็นผู้หนี แต่ถ้าภิกษุทั้งหลายเกิดความกลัวเมื่ออยู่ป่า หรืออยู่ตามบ้านร้าง แล้วน้อมระลึก ถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เสมือนมองดูธงชัยแห่งพระรัตนตรัยแล้ว ความหวาดกลัวจะหายไปหมด เกิดความอาจหาญแกล้วกล้าทุกผู้ เพราะพระพุทธองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ไม่หวาดกลัว เป็นผู้ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี
   
ในธชัคคสูตรนี้จะมีบทพระพุทธคุณที่เรียกว่า “อิติปิโส” บทพระธรรมคุณและบทพระสังฆคุณ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของพระสูตรนี้จึงเรียกบทนี้ อีกชื่อหนึ่งว่า อนุสสรณปาฐะ
   
การสวดพระพุทธมนต์แบบนพเคราะห์ถือว่าธชัคคสูตรนี้เป็น พระพุทธมนต์ประจำพระศุกร์ หรือ คนเกิดวันศุกร์ สำหรับ พระประจำวันศุกร์นี้คือพระปางรำพึง ซึ่งพระพุทธองค์ประทับยืน และเอาพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายบนพระอุระ
   
บทสวดย่อคือ “วา โธ โน อะ มะ มะ วา” ต้องสวด ๒๑ จบ ตามกำลังพระศุกร์
   
อานุภาพการป้องกัน
   
ถือกันว่าการสวดระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนี้จะทำลาย    ความหวาดกลัว หรือความขนพองสยองเกล้าได้ โดยเฉพาะเมื่อไปต่างถิ่นต่างที่ ทั้งยังคุ้มครองจากภยันตรายที่เกิดจากมนุษย์และอมนุษย์ได้ รวมทั้งป้องกันอันตรายจากที่สูง หรืออันตรายทางอากาศหรือการเดินทางโดยเรือบินได้ ดังความในบทขัดตำนานว่า
   
“สัตว์ทั้งหลายแม้ที่อยู่ในอากาศ สามารถได้ที่พึ่งอย่างเดียวกันกับสัตว์ที่อยู่บนแผ่นดิน อนึ่ง ด้วยการระลึกถึงพระปริตร ที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนสุดที่จะคณานับได้ สามารถรอดพ้นจากข่าย คือ อุปัทวันตรายนานาประการ อันเกิดแต่ยักษ์และโจร เป็นต้น เราทั้งหลาย จงสวดพระปริตรนั้นเถิด”

ธะชัคคะสูตร หรือ อะนุสสะระณะปาฐะ
   
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชา     จะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
   
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ (อ่านว่า วิญญูฮีติ)
   
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามี  จิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏิฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเณยโย, อัญชะลีกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ
   
คำแปล
   
เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงเป็นครูของเหล่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ทรงมีความสามารถในการจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ฯ
   
พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล สามารถแนะนำผู้อื่นให้มาพิสูจน์ได้ว่า “ท่าน จงมาดูเถิด” ควรน้อมนำเข้ามาใส่ตัว ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ฯ
   
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ปฏิบัติเหมาะสม ได้แก่ บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงลำดับได้ ๘ ท่านนั่นแหละ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาน้อมนำบูชา ควรแก่สักการะที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรให้ความเคารพ เป็นเนื้อนาบุญของโลก
   
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ.


ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต / อิสริยาภรณ์ อุวรรณโณ
22  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ไม้เท้ายอดกตัญญู เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 10:37:33 am
เรื่องนี้ซึ้งมาก ขอบอก ใครไม่เชื่อ อ่านเลย       


          ชายชราคนหนึ่ง ใบหน้าซูบซีดมีแววหม่นหมองอมความเศร้าไว้อย่างน่าสงสาร แขนขามีแต่หนังหุ้มกระดูก นุ่งผ้าที่เก่ายิ่งกว่าเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ผมสีขาวนั้นยาวและหยาบ แสดงอาการที่ไม้ได้เอาใจใส่ดูแลจากเจ้าของ หรือจากใครๆเลย แกตาบอด เบ้าตาที่บอดนั้นกลวงลึกจนเห็นสันกระดูกเบ้าตาชัด แกถือไม้เท้าที่หงิกงอเดินคลำทางเปะปะไปข้างถนน สะพายซอเก่าๆอันหนึ่งไว้ที่บ่าขวา มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือกะลาสำหรับขอทาน

         ชายชราคนนี้ เดิมนั้นแกเป็นคนร่ำรวย มีลูกทั้งหญิงชายนับได้ 7 คน แกเลี้ยงดูส่งเสียลูกให้มีการศึกษาดี ได้แต่งงานมีครอบครัวหมดทุกคน ทั้งได้แบ่งทรัพย์มรดกให้ลูกทุกๆคนเรียบร้อยแล้ว แต่ลูกของแกต่างคนต่างเกี่ยงกัน ไม่มีใครรับเลี้ยงพ่อแม่ คนโน้นก็บอกว่า คนนั้นน่ารับไปเลี้ยง คนนั้นก็ว่าคนนี้ต่างหากที่ต้องรับไปเลี้ยง ต่างคนต่างกลัวเสียเวลา เสียทรัพย์ กลัวเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พวกลูกๆต่างก็ไปอยู่ที่เมืองอื่นไกลออกไป จึงทำให้ชายชราต้องอยู่กันเพียงสองคนผัวเมีย

         พวกลูกๆ นั้น นานหลายปีแล้วไม่เคยมีใครมาเยี่ยมดพ่อแม่เลย ต่างคนต่างมุ่งคร่ำเคร่งอยู่กับการทำมาหากิน ยุ่งอยู่กับลูก เมีย ผัว และใช้เวลาว่างไปในงานสังคมดื่มๆ กินๆ หรูหราไป ไม่มีใครห่วงใยพ่อแม่ คนน้องก็คิดว่าพี่ๆคงไปดูแล้ว ส่วนพี่ๆ ก็คิดว่าน้องๆคงดูแลแล้ว นี่แหละโบราณที่ว่า "ลูกสิบคนพ่อแม่เลี้ยงได้ พ่อแม่มีเพียงสองคน แต่ลูกสิบคนเลี้ยงท่านไม่ได้"

         พ่อแม่ผู้อาภัพทั้งสอง อยู่กินกันไปอย่างว้าเหว่ เพราะคิดถึงลูกๆ เหลือเกิน ได้แต่บ่นคิดถึงเขา ประกอบกับสมัยนั้น ไม่มีการไปรษณีย์ ไม่มีการประชาสงเคราะห์อย่างทุกวันนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยพุทธกาลสองพันห้าร้อบกว่าปีมาแล้ว

        สมัยนั้นพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ สองผัวเมียชราผู้นี้เป็นพราหมณ์ ต่อมาบ้านของแกถูกไฟไหม้ ทุกอย่างวอดวายไปในกองเพลิง เมียของแกก็ตายในกองเพลิงนั้นด้วย

         ชายชราผู้นี้จึงเสียใจมาก ธรรมดาแกเพื่อนบ้านนั้นเขาให้ก็แต่ชั่วครั้งชั่วคราว จะให้กินตลอดไปนั้นก็ไม่มี แกก็เกรงใจเขา จึงเที่ยวเร่ร่อนขอทาน โดยสีซอขับบรรเลงเพลงไปตามสี่แยกข้างถนน ข้างตลาด จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปพบพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์จึงคิดอุบายให้ โดยแต่งเพลงให้บทหนึ่ง ให้แกท่องแล้วไปขับร้องตามชุมชนต่างๆ (ในพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลี)...

           โอ้ อนิจจา ตัวเรา ยามเฒ่าแล้ว
พวกลูกแก้ว ทอดทิ้ง ไม่เหลียวหา
หูก็หนวก ตาบอดซมซานมา
ถือกะลา สีซอ ขอเขากิน

      มีไม้เท้าอันเดียว เที่ยวเร่ร่อน
ง่วงก็นอนข้างถนน บนกรวดหิน
เมื่อเป็นทุกข์ โอดครางกลางแผ่นดิน
ยามจะกิน อาหารเศษ ทุเรศทรวง

        ยามซวนเซ จะพลาด ล้มฟาดพื้น
มีไม้เท้า ยันยืน ได้ยึดหน่วง
ฉันซูบผอม ตรอมใจ ตาลึกกลวง
ไม่มีลูก คอยห่วง เอื้ออารี

      โอ้มีลูก ลูกนั้น มันเนรคุณ
ไม่เกื้อหนุน ทอดทิ้งให้หมองศรี
ยามฉันถูก ท่านไก่ไล่จิกตี
ไม้เท้านี้ ป้องภัย ไล่สัตว์พาล

    ถูกวัวดุ ฟู่ฟู่ ขู่จะขวิด
มีไม้เท้าเป็นมิตร คอยสงสาร
ใช้กวัดแกว่ง คอยรักษาเป็นปราการ
ยามข้ามธาร ไม้เท้านำฉันไป

        เมื่อเดินทาง ไม้เท้าบอกวิถี
ไม้เท้านี้ ดีกว่าลูกเป็นไหนไหน
คนเศษคน อกตัญญู ไร้น้ำใจ
มันทำได้ ใจหินสิ้นเมตตา

        เสียงซอเศร้าๆ ที่ชายชรานั่งร้องขับคลอ ตามสี่แยก ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ฟังเกิดความสงสารอย่างจับใจ หยิบเงินและอาหารมาบริจาคช่วยเหลือแก และนำไปวิจารณ์สาปแช่งลูกเนรคุณเหล่านั้น

          จนกระทั่งข่าวนี้แพร่ไปถึงลูกๆ ของแก ทำให้ลูกนั้นได้สำนึก พากันมารับพ่อไปเลี้ยงดู ทั้งนี้เพราะคนอินเดียสมัยนั้น เขาถือมากในเรื่องการปรนนิบัติบิดามารดา เขาบูชาบิดามารดาเป็นเสมือนเทพเจ้า เขาเชื่อฟังบิดามารดา ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าดื้อรั้นในสิ่งที่พ่อแม่ห้ามปราม เมื่อถูกสังคมรุมประณามเช่นนั้น พวกลูกๆ ก็คิดได้ สำนักผิด พากันมารับเอาพ่อไปเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่....


แล้วคุณล่ะ วันนี้ดูแลพ่อแม่แล้วรึยัง

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=866124#ixzz19qTzCBzI
23  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดเขาแก้ววรวิหาร ต.ต้นตาล จ.สระบุรี พระูบรมธาตุประจำจังหวัด เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 09:55:08 am
วัดเขาแก้ววรวิหาร ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เ

สด็จประพาสหัวเมือง เมื่อถึงอำเภอเสาไห้ ได้โปรดเกล้าฯ บูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้

และสถาปนาเป็นพระอารามหลวง มีคำเล่าลือกันว่าวันดีคืนดีจะเห็นดวงแก้วสุกสว่างเหนือวิหารวัดเขาแก้ว

ถือว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุในองค์พระเจดีย์ ในเจดีย์ปรางค์ห้ายอดองค์เล็กซึ่งตั้งอยู่

ระหว่างหอระฆังและเจดีย์องค์ใหญ่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพุทธรูปปางป่าเลไลก์ และ

พระพุทธบาทซึ่งล้วนมีลักษณะงดงาม




ดเขาแก้ววรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอบู่บนเขา ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตท้องที่ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ ปี พ.ศ.2171 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายได้ทรงแวะพักไพร่พลขบวน ราบ ณ พลับพลาท่าหิน ลานหน้าวัดเขาแก้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเลื่อมใสในภูมิฐานของวัด ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณธรรม พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัด นี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้จัดพวกนายกองโค พากันไปรับไม้เครื่องบนและสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ก่อกำแพงรอบพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์และบูรณะองค์พระเจดีย์ของเดิม เมื่อเสร็จแล้วมีพระกระแสรับสั่งให้สถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “ วัดคีรีรัตนาราม ”

เมื่อ พ.ศ.2456 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิโนรส องค์สังฆประมุขเสด็จออกตรวจการ คณะสงฆ์จังหวัดสระบุรี เสด็จทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเห็นป้ายที่ติดไว้ท่าหินลาดหน้าวัดว่า “ วัดคีรีรัตนาราม ” รับสั่งว่าเป็นคำมคธ ทรงให้เรียกเป็นคำไทยว่า “ วัดเขาแก้ว ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา





24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รู้ได้อย่างไร..และต้องทําอย่างไรเมื่อ..งูกัด. สำหรับนักท่องไพรปีใหม่นี้คะ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:34:12 am
รู้ได้อย่างไร..และต้องทําอย่างไรเมื่อ..งูกัด.
พักนี้ มีหลายๆพื้นที่ที่โดนน้ำท่วม และย่อมหนีไม่พ้นเรื่องสัตว์มีพิษ ที่หนีน้ำ. ในกระทู้นี้ ขอนําเรื่องเกี่ยวกับ...รู้ได้อย่างไร ว่าโดนงูกัด. และควรทําอย่างไร.

ถูกงูพิษกัดจริงหรือไม่


การจะพิจารณาว่าถูกงูกัดหรือไม่ จะแบ่งพิจารณาเป็น3หัวข้อ

   1. ไม่เห็นสัตว์ที่กัด
   2. เห็นว่าเป็นงูแต่ไม่ทราบชนิดงู
   3. สามารถตีงูได้

กรณีไม่เห็นสัตว์ที่กัด
กรณีเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา การพิจารณาคงต้องอาศัยประวัติช่วย เช่นถ้าถูกกัดบริเวณกิ่งไม้ให้สงสัยว่าจะเป็นงูเขียวหางไหม้ ถ้าถูกกัดตามทุ่งนาให้สงสัยว่าเป็นงูเห่า ถูกกัดบริเวณซอกไม้อาจเป็นงูหรือตะขาบ แมงป่อง ถ้าถูกกัดตามพงหญ้าโดยมากเป็นงูกัด นอกจากนั้นยังต้องดูแผลที่ถูกกัดด้วย ถ้าถูกงูพิษกัดจะต้องมีรอยเขี้ยว 1-2 แผลเสมอมีเลือดออกซึมๆ ถ้าดูแผลแล้วไม่พบรอยเขี้ยวแสดงว่าไม่ใช่งูพิษ

เห็นว่าเป็นงูแต่ไม่ทราบชนิดงู
กรณีนี้ต้องแยกว่าเป็นงูพิษหรืองูไม่มีพิษ โดยอาศัยรอยเขี้ยวถ้ามีรอยเขี้ยวแสดงว่าเป็นงูพิษ แต่ถ้าไม่มีรอยเขี้ยวเป็นงูไม่มีพิษ

การดูแลเบื้องต้น

   1. หลังจากถูกงูกัดให้หลีกให้พ้นตัวงู โดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการถูกกัดซ้ำ ระยะที่ปลอดภัยประมาณระยะทางยาวเท่ากับตัวงู 
   2. อย่าตกใจกลัว ดิ้นรน โวยวาย เพราะจะทำให้อาการจากพิษของงูรุนแรงและรวดเร็วขึ้นไปอีก
   3. ถอดเครื่องตกแต่งบริเวณที่ถูกกัด เช่น แหวน
   4. หากมีเลือดออกให้ปล่อยให้เลือดออก เพื่อให้พิษออกให้มากที่สุด
   5. พยายามให้บริเวณที่ถูกงูกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
   6. ล้างแผลด้วยนํ้าสะอาดห้ามกรีดแผล ใช้ไฟจี้ ใส่ยา พอกยา หรือ พอกน้ำแข็งที่แผลเป็นอันขาด เพราะจะทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อแบคทีเรีย
   7. อย่าให้ผู้ป่วยดื่มสุรา หรือยาที่มีสุราเจือปนอยู่
   8. อย่าให้ยาระงับประสาท,ยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท ยาแก้ปวดจำพวก morphine และยาแก้ปวดพวก aspirin เพราะจะไปเสริมฤทธิ์กับพิษงู hemotoxin
   9. เคลื่อนไหวผู้ป่วยให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ควรจะให้นอนพัก และ รีบหามผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลไม่ควรนั่งเพราะจะทำให้ผู้ป่วย ปวดศีรษะ หากผู้ป่วยอยู่นิ่งพิษจะดูดซึมช้า เนื่องจากพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางระบบน้ำเหลือง
  10. จัดตำแหน่งอวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ
  11. ให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะพบตัวงู หากไม่พบต้องจำสี ลักษณะพิเศษของง ถ้าเป็นไปได้ ญาติควรพยายามหางูตัวนั้นให้พบ โดยตีที่คอแล้วนำซากงูไปโรงพยาบาล
  12. การรัดด้วย touniquet จะทำการรัดด้วยเชือก ไม่จำเป็นต้องเป็นเชือกกล้วย เข็มขัด สายยาง หรือผ้าผูกคอ วิธีการมีดังนี้

    * รัดให้หลวมๆโดยสามารถสอดนิ้วเข้าไปได้หนึ่งนิ้ว หากรัดแน่นเกินไปจะมีการดูดซึมพิษในหลอดเลือดดำใต้ผิวหนัง และเมื่อปล่อยสายรัดพิษจะกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
    * ตำแหน่งที่เหมาะสมคืออยู่เหนือแผล 2-4 นิ้ว
    * ใช้เชือก หรือผ้า รัดเหนือแผลที่ถูกกัดแน่นพอควร ให้สอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว
      และทุก 15-20 นาที ควรคลายเชือกหรือสายรัดออกประมาณ 1 นาที จนกว่าจะถึง
      โรงพยาบาล การรัดแน่นเกินไปอาจทําให้บวมและเนื้อตายมากขึ้น หากผู้ป่วยสามารถไปถึง
      โรงพยาบาลได้ภายในครึ่งชั่วโมง อาจไม่จําเป็นต้องใช้เชือกหรือผ้ารัด ี
    * ถ้าแผลบวมมากก็เลื่อนสายรัดขึ้นไปได้ หรือปลอดออก
    * ถ้าถูกงูกัดมาแล้วเกิน 30 นาทีการใช้สายรัดได้ประโยชน์น้อยมาก
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การกำจัดศพ ที่ธิเบต ไม่เหมือนบ้านเรา ( ดูแล้วสยอง ) เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 11:12:16 am











หน้า: [1]