ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นรกโลกันตร์ นรกเย็น ไม่มีไฟสักนิด  (อ่าน 9264 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
นรกโลกันตร์ นรกเย็น ไม่มีไฟสักนิด
« เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2010, 09:05:45 pm »
0
นรกโลกันตร์ นรกเย็น ไม่มีไฟสักนิด


ไตรภูมิพระร่วง
เคยอ่านกันมั้ยครับ หรืออย่างน้อย เคยได้ยินคุณครูพูดถึงในคาบวิชาภาษาไทยบ้างมั้ย ใครที่สนใจและรู้จักแต่เทวตำนานฝรั่ง เห็นวรรณคดีเรื่องนี้แล้วพึงระลึกไว้เถิดครับว่า บรรพบุรุษไทยเราก็มีจินตนาการเรื่องเทวตำนานได้บรรเจิดไม่แพ้โลกตะวันตกเลย ทีเดียว

ให้ข้อมูลเล็กน้อย เผื่อมีใครที่ไม่เคยรู้จักเลยจริงๆ ไตรภูมิ พระร่วง หรือ เตภูมิกถา เป็นวรรณคดีไทยในสมัยกรุงสุโขทัย พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พญา (พระญา) ลิไท เป็นวรรณคดีทางพระพุทธ ศาสนาที่บอกเล่าเรื่องภพภูมิต่างๆ รวมถึงความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของคนในสมัยนั้น ซึ่งถึงแม้จะตรงกับความจริงน้อยมาก แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการพยายามอธิบายเรื่องจักรวาลด้วยหลักการที่ใกล้เคียง วิทยาศาสตร์มากที่สุดที่คนในสมัยนั้นทำได้

เนื้อหาในเรื่องก็มาจากความเชื่อทางพระพุทธศาสนา (ที่แผ่ขยายจากลังกาเข้ามาได้สดๆ ร้อนๆ) ผสมกับจินตนาการของพญาลิไทและข้าราชบริพาร จุดประสงค์ดั้งเดิมที่แต่งขึ้น คือเพื่อใช้ควบคุมประชาชนให้อยู่กันอย่างสงบสุข อ่านแล้วรู้จักกลัวบาปและอยากทำบุญ ซึ่งด้วยความที่คนสมัยก่อนเขายังไม่มีสิ่งยั่วกิเลสมากเท่าในปัจจุบัน ชีวิตในแต่ละวันจึงไม่มีเรื่องอะไรให้สนใจมากไปกว่าเรื่องพระเจ้าแผ่นดินและ ศาสนา ดังนั้นเตภูมิกถาจึงเป็นเหมือนกฎข้อบังคับที่ผู้คนให้ความสำคัญอย่างมากที เดียว

อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณภูมิจะนำท่าน ทั้งหลายที่เข้ามาบล็อกนี้ไปเที่ยวสถานที่แห่งหนึ่ง ฉะนั้นจึงต้องขออนุญาตพาท่านไปรู้จักกับที่แห่งนั้นโดยทันที และไม่ขอพูดอะไรเกี่ยวกับภพภูมิทั้งสามและดินแดนยิบย่อยทั้งหลายแหล่นะครับ ใครที่สนใจอยากรู้จักภพภูมิไหนเป็นพิเศษ สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้นะครับ

สถานที่ที่คุณภูมิจะพามาให้รู้จัก ถ้าหากท่านผู้อ่านอ่านมาตั้งแต่แรก และตั้งใจอ่านพอ ก็คงรู้แล้วว่า คุณภูมิจะพูดถึง "นรกโลกันตร์" นั่นเอง ถูกต้องแล้วครับ

นรกโลกันตร์อยู่ที่ไหน
นรกโลกันตร์ เป็นนรกขุมเกือบสุดท้ายในหัวข้อ "นรกภูมิ" โดยในไตรภูมิพระร่วง ซึ่งใช้ภาษาไทยแบบสมัยสุโขทัย จะเรียกชื่อนรกขุมนี้ตามวิธรสมาสคำแบบบาลี-สันสกฤต คือ "โลกันตนรก" ซึ่งแปลได้ว่า นรกที่อยู่ระหว่างโลก

คนแทบทุกชาติทุกวัฒนธรรมเข้าใจกันว่า สถานที่ลงโทษวิญญาณคนไม่ดี ที่เรียกกันว่า นรก นั้นตั้งอยู่ใต้โลก (คือคนไม่ดี ทำตัวต่ำๆ ก็ควรจะไปอยู่ที่ต่ำๆ ว่างั้น) นรกภูมิในไตรภูมิพระร่วงก็อยู่ใต้โลกเช่นกันครับ แต่ยกเว้นเพียงนรกโลกันต์ ซึ่งได้สิทธิพิเศษเหนือนรกขุมอื่น

"ฝูงจะกล่าวพาลหลงทั้งหลายนี้แล ๓ อันอยู่ใกล้กันดังเกวียน ๓ อัน แลวางไว้ข้างกันดังก้นบาตร ๓ ลูกอันไว้ใกล้กันนั้นหว่างจักรวาฬ ๓ อันและมีนรกชื่อว่าโลกันตนรกแล"

ถ้าเปรียบรูปร่างจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นทรงกลม พอเอาทรงกลมจักรวาล 3 อันมาวางชิดกันเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือพีระมิด วางให้ตายก็ไม่มีทางซ้อนกันสนิท เพราะจะเกิดช่องว่างระหว่างทรงกลมเสมอ ช่องว่างระหว่างจักรวาลนั่นแหละครับ ที่ตั้งของนรกโลกันตร์ (ตามความหมายชื่อ โลกันตร์ คืออยู่ระหว่างโลกต่างๆ ในจักรวาลไงครับ)


คนตกนรกขุมปกติทั่วไป ชาวบ้านเขาถือว่าต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ จนต้องมาอยู่ใต้พื้นที่เท้าคนอื่นเขาเหยียบๆ กัน แล้วนรกโลกันตร์นี่ไพล่ไปอยู่นอกโลกนอกจักรวาลเลย หมายความว่าคนที่จะตกนรกขุมนี้ต้องเลวชาติสุดๆ จนนรกปกติไม่รับหรือไง

"คนฝูงใดอันกระทำร้ายแก่พ่อและแม่และสมณพราหมณา จารย์ผู้มีศีล และยุยงพระสงฆ์ให้ผิดกัน ครั้นว่าตายไปเกิดในนรกอันชื่อว่าโลกันตนรก"

จริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ แค่คุณทำร้ายหรือฆ่าพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณ พระภิกษุสงฆ์ นักบวช ตลอดจนผู้ที่ยึดมั่นในคุณธรรมความดี คุณก็สอบผ่านโควตาสู่นรกโลกันตร์ไปครึ่งตัวแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยครับ

สัณฐานของนรกโลกันตร์
"อัน แลอันในโลกันตนรกนั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ โยชน์ด้วยลายนักหนาและจะนับบมิได้ มีคูลึกวงรีหาพื้นน้ำบมิได้หาฝาเบื้องบนบมิได้ไส้ เมื่อใต้น้ำอันชูแผ่นดินนี้หากเป็นพื้นขึ้นชื่อว่าโลกันตนรกนั้นและเบื้องบน เป็นปล่องขึ้นไปถึงพรหมโลก อันว่าจะมีวิมานอยู่ตรงบนโลกันตนรกขึ้นไปนั้นหาบมิได้"

ลักษณะโดยทั่วไปของนรกโลกันตร์คือ เป็นปล่องแคบๆ ที่อยู่ระหว่างกำแพงจักรวาล ด้านล่างเป็นคูน้ำลึกไร้ก้น อุณหภูมิน้ำศูนย์องศาสมบูรณ์ (ก็อยู่นอกจักรวาลนี่) ด้านบนนั้นว่ากันว่าเป็นพรหมโลก หรือภพภูมิของเทวดาชั้นพรหม ซึ่งเป็น Being เกือบสมบูรณ์แบบในเตภูมิกถา แต่ไม่ปรากฏว่ามีวิมานของพรหมองค์ใดตั้งอยู่เหนือปล่องนรกโลกันตร์พอดีหรือ เปล่า เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีอาสาสมัครชาวนรกโลกันตร์ของคุณภูมิตนใดสามารถปีน ขึ้นไปพิสูจน์ได้ เพราะจะถอดใจจากความสูงของกำแพงจักรวาลเสียก่อน

นรกโลกันตร์มืดสนิท ไม่มีแสงเดือนแสงตะวัน
"เนตร แลในโลกันตนรกนั้นมืดนักหนา ฝูงสัตว์ซึ่งได้ไปเกิดในโลกันตนรกนั้นดังหลับตาอยู่เมื่อเดือนดับนั้นแล เมื่อดาวเดือนและตระวันอันไปส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ให้เห็นทุกแห่ง ดังนั้นก็มิอาจส่องให้เห็นหนในโลกันตนรกนั้นได้ เพราะว่าเดือนและตระวันอันเป็นไฟและส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ไปส่องสว่างกลางหาวแต่เพียงปลายเขายุคนธรไส้ และส่องสว่างไปแต่ในกำแพงจักรวาฬ และโลกันตนรกนั้นอยู่นอกกำแพงจักรวาฬไส้ อยู่หว่างเขาจักรวาฬภายนอกเรานี้จึงบมิได้เห็นหนไส้เพื่อดังนั้นแล ฯ"

นอกจากนี้ ด้วยความที่ตั้งอยู่นอกกำแพงจักรวาล แสงเดือน แสงดาว และแสงอาทิตย์ ซึ่งส่องอยู่เพียงในจักรวาลเท่านั้นจึงมาไม่ถึงนรกโลกันตร์ ดังนั้นนรกขุมนี้จึงมืดมิดเหมือนหลับตาในคืนเดือนดับอยู่เสมอ

การอุบัติของพระพุทธเจ้าช่วยให้นรกโลกันตร์มีแสงขึ้นแวบหนึ่ง
กระนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นอะไรๆ ในนรกโลกันตร์เสียทีเดียว

"ถ้าและว่าต่อ เมื่อใดโพธิสัตวผู้จะลงมาอุบัติตรัสแก่สัพพัญญุตญาณ และเมื่อท่านเสด็จลงไปเอาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดานั้นก็ดี และเมื่อท่านสมภพจาตุโกรธรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแก่สัพพัญุตญาณนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาพระธรรมจักรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่นิพพานนั้นก็ดี ในกาล ๕ ที่นี้ในโลกันตนรกนั้นจึงได้เห็นหนแท้นักหนา คนซึ่งอญุ่ในนรกนั้นจึงได้เห็นกัน"

ชั่วชีวิตของผู้ที่อยู่ในนรกโลกันตร์ (ซึ่งยาวนานกว่าอายุเฉลี่ยมนุษย์มาก เชื่อเหอะ) มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่จะได้มีโอกาสเห็นภาพของดินแดนที่ตนอาศัยอยู่ และเห็นรูปลักษณ์ของเพื่อนร่วมภพ ซึ่งโอกาสที่จะมีแสงสว่างเพียง 5 ครั้งนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในชีวิตของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ได้แก่

1. เมื่อทรงปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา

2. เมื่อประสูติ

3. เมื่อตรัสรู้

4. เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธัมมจักรกัปปวัตนสูตร (ธรรมจักร)

5. เมื่อเสด็จปรินิพพาน


"อัน ว่าเขาและบ่อนกันดังนั้นก็ดีบมิได้เห็นอยู่นาน เห็นเร็วประมาณดีดนิ้วมือเดียวไส้ เห็นปานดังสายฟ้าแลบคาบเดียวไส้ เมื่อดังนั้นเขาทั้งหลายนั้นมิได้ว่าอันใด ครั้นเขาว่าแต่เท่านั้นแล้วไส้ก็กลับไปมืดดังเก่าเล่า ฯ ผิเมื่อพระพุทธเจ้าตัรสเทศนาธรรมจักรนั้น ยังค่อยเรืองอยู่เว้นนานกว่าทุกคาบวันละน้อยแสงสายจึงวายเรือง"

อย่างไรก็ดี แสงที่สว่าง 5 ครั้งนั้นก็ใช่ว่าจะส่องไปนานๆ แบบหลอดไฟเบอร์ 5 แต่สว่างแค่ชั่วเวลาดีดนิ้วเปาะเดียวเหมือนฟ้าแลบเท่านั้น จะมีก็แต่แสงตอนพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องธัมมจักรกัปปวัตนสูตรเท่านั้นที่จะ สว่างนานกว่าหน่อยนึง แล้วถึงค่อยๆ จางลงๆ

ปรากฏการณ์นี้ คุณภูมิไม่รู้จะแสดงเป็นภาพออกมาอย่างไร ฉะนั้นขอนำอาการไข้ของคอมฯ คุณภูมิมายกเป็นตัวอย่างให้ชมกันครับ (จำลองจากสถานการณ์จริง)


สัตว์นรกโลกันตร์
บรรยายสถานที่ไปเสร็จสรรพแล้ว มาพูดถึง Residents แห่งนรกขุมนี้กันบ้างดีกว่า

"ตนเขานั้นใหญ่นักหนาโดยสูงได้ ๖,๐๐๐ วา เล็บตีนเล็บมือเขานั้นดังคั้งคาว และใหญ่ยาวนักหนา สมควรด้วยตัวอันใหญ่นั้น เล็บนั้นสมนักหนา ผิและเกาะแห่งใดก็ติดอยู่แห่งนั้น"


สัตว์ นรกโลกันตร์ หรือชาติหน้าของพวกนักการเมืองหนักแผ่นดินบาง คน (ชอบทำร้ายผู้มีพระคุณต่อแผ่นดินทั้งทางตรงและทางอ้อม) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่พบเจอในนรกโลกันตร์  ดูท่าจะเป็นสิ่งมี ชีวิตที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกมา คือตัวสูงถึง 6,000 วา หรือ 12,000 เมตร (1 วา = 2 เมตร) มีเล็บมือเล็บเท้ายาวเฟื้อย แถมยังคมกริบได้ใจ ประมาณว่าเจาะผนังกำแพงจักรวาลตรงไหนก็ติดที่นั่น ไม่ต้องใช้สลิงและตัวแสดงแทน


"เขา เอาเล็บเขานั้นเกาะกำแพงจักรวาฬมั่นหน่วงอยู่ และเขาห้อยตนเขานั้นอยู่ดังคั้งคาวนั้นแล"

ในยามปกติ เวลาไม่ได้ไต่กำแพงจักรวาลไปไหนมาไหน สัตว์นรกโลกันตร์ก็จะเอาเล็บตีนยึดกำแพง แล้วห้อยหัวลงเหมือนค้างคาว ปล่อยเลือดให้ไปเลี้ยงหัวเล่น




สัตว์นรกโลกันตร์กินกันเอง
"เมื่อ เขาอยากอาหารไส้เขามิได้ไปหาเพื่อจะหากิน ครั้นได้ต้องมือกันเข้าไส้ใจเขานึกว่าเขากิน ก็จับกุมกันกินคนผู้หนึ่งก็นึกว่าเขากิน จึงคนทั้งสองนั้นก็จับกุมกันกิน ต่างคนต่างตระครุบกัดกินก็รัดเอาด้วยกันทั้งสองคนในน้ำอันชูแผ่นดิน"

สัตว์นรกโลกันตร์นั้น นอกจากจะหน้าตาไม่หล่อแล้ว สติปัญญาก็ยังติดลบอีกด้วย วันๆ จึงอาศัยสัญชาตญาณนำพาชีวิตให้อยู่รอด เวลาหิว สัญชาตญาณก็จะสั่งให้พวกมันปีนป่ายกำแพงจักรวาลพลางควานมือเท้าสอดส่ายหา อาหาร พอแตะโดนกันและกัน ด้วยความที่มืดสนิท มองกันไม่เห็น สัตว์นรกแต่ละตนก็เลยนึกเอาว่าเจออาหารแล้ว จากนั้นก็กอดกลุ้มรุมปล้ำกันจับอีกตัวมากิน แล้วสุดท้ายก็มักจะพากันหล่นตูมลงไปในน้ำเย็นเจี๊ยบข้างล่าง


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: นรกโลกันตร์ นรกเย็น ไม่มีไฟสักนิด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2010, 09:15:05 pm »
0
สัตว์นรกโลกันตร์ตกบ่อน้ำกรดเย็น
"เมื่อ เขาตกลงในน้ำนั้นดุจลูกไม้อันใหญ่แลหล่นลงไปในน้ำนั้น และใต้น้ำนั้นไส้แต่แรกตั้งแผ่นดินแดดบห่อนจะไปต้องน้ำนั้นได้สักคาบหนึ่ง เลย และน้ำนั้นเย็นนักหนา ครั้นว่าตกลงมาในน้ำนั้นบัดเดี๋ยวใจไส้ ตนเขาก็เปื่อยแหลกออกไปสิ้นดังก้อนอาจมซึ่งตกลงในน้ำนั้นก็ตายบัดใจ แล้วจึงกลายเป็นคนเขาขึ้นอีกเล่าโสด เขาจึงปีนขึ้นไปเกาะกำแพงจักรวาลภายนอกนั้นอยู่ดังก่อนเล่าแล"

อย่างที่บอกไว้แล้วว่านรกโลกันต์อยู่นอกจักรวาล จึงไม่มีแสงและไอความร้อนใดๆ แผ่ไปถึง น้ำในคูไร้ก้นที่รองรับนรกโลกันตร์มาตั้งแต่ต้นจึงเย็นเจี๊ยบจับจิต ชนิดที่ว่าน่าจะอุณหภูมิถึงศูนย์องศาสัมบูรณ์ (-273.15 ๐c) หรือมากกว่า

แต่แทนที่พอสัตว์นรกตนใดตกลงมาในน้ำแล้วจะแข็งตาย กลับกลายเป็นว่าร่ายกายของสัตว์นรกตนนั้นจะสลายออกเป็นชิ้นๆ เหมือนก้อนอาจมที่พอตกลงน้ำก็แตกกระจายกลายเป็นก้อนแหยะๆ ยุ่ยๆ (คนโบราณหาวิธีเปรียบได้ขยะแขยงดีมาก) สักพัก ก้อนยุ่ยๆ ทั้งหลายก็จะมารวมตัวกัน เกิดเป็นสัตว์นรกตนเดิมปีนขึ้นมาเกาะกำแพงจักรวาลอีกครั้ง เรียกได้ว่าทำให้ฟื้นเพื่อให้ได้ทรมานต่อไปนั่นเอง


สัตว์นรกโลกันตร์มีอายุหนึ่งพุทธันดรกัลป์
"แต่ เขาตายเขาเป็นอยู่ดังนั้นหลายคาบหลายครานักหนาแล แต่เขาทนทุกขเวทนาอยู่ที่นั้นช้าหึงนานนักชั่วพุทธันดรกัลปหนึ่งแล ฯ"

สัตว์นรกโลกันตร์จะมีวงเวียนชีวิตหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ตามที่ว่ามานี้เป็นเวลาถึงหนึ่งพุทธันดรกัลป์ หรือก็คือช่วงเวลาตั้งแต่มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งอุบัติขึ้น ตรัสรู้ และปรินิพพาน ==> ศาสนาพุทธแพร่กระจาย รุ่งเรือง และเสื่อมสูญ ==> จักรวาลไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดมาอุบัติ ทำให้จักรวาลว่างเว้นศาสนาพุทธ ==> พระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติ

สรุปก็คือนาน นาน นาน และก็นาน จนเกิด Big Bang และ Big Crunch สลับกันไปสลับกันมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สัตว์นรกโลกันตร์จึงจะพ้นเวรพ้นกรรมและมีสิทธิ์ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า นั่นเอง
 

นรกโลกันตร์ไม่มีไฟ
เป็นไงครับ ได้ความรู้จากการนำทัวร์ของคุณภูมิกันบ้างมั้ย

อย่างน้อย คุณภูมิก็หวังว่าท่านที่เข้ามาอ่านจะเข้าใจแล้วว่า นรกโลกันตร์นั้นทั้งมืดและหนาวเย็น จึงไม่มีทางที่จะมีไฟร้อนแรงแผดเผาแบบนรกอีกหลายขุมได้ ดังนั้น วลี "ไฟโลกันตร์" และ "เพลิงโลกันตร์" ที่หลายคนชอบใช้เวลาพูดถึงไฟ จึงไม่ใช่การใช้คำที่ถูกต้องตามหลักภาษาไทยแต่โบราณ

คุณคงสงสัยต่อ แล้วจะใช้ให้ถูกต้องได้ยังไงล่ะ

ในไตรภูมิพระร่วง บทนรกภูมิ มีนรกอีกขุมหนึ่งที่โหดไม่แพ้นรกโลกันตร์ แต่ยังดีกว่าหน่อยที่นรกขุมนี้อยู่ภายในจักรวาล อันที่จริงคือเป็นนรกขุมที่อยู่ลึกที่สุดใต้พื้นโลกนั่นเอง (คะเนตำแหน่งตามความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นแมนเทิลหรือแก่นโลก)

ชื่อนรกขุมนี้ คิดว่าหลายคนรู้จักกันดี นั่นคือ "อเวจี" ครับผม

คราวนี้คุณภูมิเพิ่งพาไปเที่ยวนรก โลกันตร์มาหยกๆ จึงไม่ขอพาไปอเวจีอีกแห่งก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวใครๆ จะนึกว่าคุณภูมิมีเอี่ยวอะไรกับพญายมซะเปล่าๆ เอาเป็นว่าจะเล่าให้ฟังแค่ว่า นรกอเวจีเป็นนรกขุมที่ร้อนที่สุด (ตรงขามกับโลกันตร์ ซึ่งเย็นที่สุด) มีไฟลุกโชนตลอดเวลา แต่ไม่มีลมพัดสักแอะ สัตว์นรกอเวจีจะถูกตรึงร่างไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ ต้องโดนไฟลนไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ซึ่งก็ตรงตามความหมายของชื่อ "อเวจี" ที่แปลว่า "ไม่ไหวติง"

ฉะนั้น ไฟที่ร้อนราวกับมาจากนรก ที่ถูกต้องคือ "ไฟอเวจี"หรือ"เพลิงอเวจี" ครับ

เพราะฉะนั้น คุณภูมิจึงอยากฝากข้อความทิ้งท้ายไว้ว่า


ด้วยความปรารถนาดี จากบัณฑิตคณะอักษรศาสตร์ ที่ถึงจะไม่ได้เอกวิชาภาษาไทย
แต่ก็รักภาษาไทย ไม่แพ้นักการเมืองหลายคนที่กำลังจะได้ไปอยู่นรกโลกันตร์ 

posted on 07 Jun 2008 00:14 by povolam
ที่มา http://povolam.exteen.com/20080607/entry

---------------------------------------------------- 

โลกันตนรก มี ๑ ขุม
 
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่เชื่อมต่อกัน มีแต่ความมืดสนิท สัตว์ที่อุบัติในโลกันตนรกนี้จะมีร่างกายใหญ่โตมหึมา มีเล็บเท้ายาวเกาะอยู่ตามขอบเชิงจักรวาลห้อยโหนตัวอยู่ตลอดกาล

เมื่อไปพบพวกเดียวกันต่างก็คิดว่าเป็นอาหารจึงไล่ตะปบกัน จนตกลงมาในน้ำากรดที่เย็นยะเยือก สัตว์นั้นก็จะละลายเป็นจุณหายไป แล้วอุบัติเกิดขึ้นใหม่ที่ขอบจักรวาลนั้น ห้อยโหนตัวอยู่ไปมา และเมื่อพบกันก็ตะปบกัน ต่อสู้กัน พลาดพลั้งก็ตกลงไปในน้ากรด ร่างก็ละลาย เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล (นรกขุมนี้เป็นขุมพิเศษ เป็นที่อยู่ของพวกอสุรกายประเภท นิรยอสุรา)

ทำบาปกรรมอะไรจึงเกิดในโลกันตนรก

๑. เป็นผู้ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที

๒. เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล คือ ไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แล้วทาบาปอยู่เป็นนิจ

๓. ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ทรงธรรม หรือกระทาปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจาทุกวัน


ด้วยอานาจของกรรมหนักเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดในโลกันตนรกซึ่งมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ตลอดกาลนาน ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีโอกาสเห็นแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น

อ้างอิง
บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย
ชุดที่ ๖.๑ ภพภูมิ
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ