ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การภาวนา ทำไมต้องภาวนา แล้วเราจะหยุดภาวนาเมื่อใดคะ  (อ่าน 4153 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เวลาพบพระฟังธรรม มักจะชวนให้ภาวนาอยู่บ่อย ๆ

แต่ก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมเราต้องภาวนาด้วยคะ

แล้วจะหยุดภาวนาเมื่อไรคะ

 :014: :035:
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เวลาพบพระฟังธรรม มักจะชวนให้ภาวนาอยู่บ่อย ๆ

แต่ก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมเราต้องภาวนาด้วยคะ

แล้วจะหยุดภาวนาเมื่อไรคะ



การฟังธรรม สิ่งสำคัญต้องถึงพร้อมด้วยองค์ศีล คือมีปกติกาย,วาจา สงบระงับ เป็นการให้ความเคารพนอบน้อม

อันเป็นวิสัยของบัณฑิต แม้มีองค์ภาวนามาด้วยขณะนั้นก็ทำเถิดเป็นกุศลได้ง่ายๆแม้เพียงวูบเดียวก็ตาม ทำเพียง

เท่าที่ทำได้ในเวลา ง่ายๆเพียง พุทโธ หยั่งฐานจิต ปัคคหะนับ ทำและเลิกตามแต่ใจพอใจในเวลาที่สมควร..ครับ




http://www.palungdham.com/luangpoput/chapter13_5.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2011, 12:36:28 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

notebook123

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 24
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
จะหยุดได้เมื่อหยุดหายใจ ภาวนาคือการครองสติ สมาธิไม่ให้หลงกับกิเลส
บันทึกการเข้า

chutina

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 99
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้าภาวนาสำเร็จ แล้วก็ไม่น่าจะต้องภาวนาอีกนะคะ

 :88:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธศาสนา : ศาสนาแห่งสิกขา (การศึกษา)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 30, 2011, 10:03:59 pm »
0
พระพุทธศาสนา : ศาสนาแห่งสิกขา (การศึกษา)
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


พักเรื่องพระพุทธศาสนากับรัฐธรรมมนูญไว้ชั่วคราว มาพูดถึงวันวิสาขบูชา ซึ่งใกล้จะมาถึงดีกว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธไทยจะพึงหยุดรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ประกาศพระพุทธศาสนา แพร่หลาย จนเป็นมรดกมาถึงบัดนี้ ปัจจุบันเราก็ยินดีว่า แม้แต่องค์การยูเนสโกก็ได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญของโลก

แต่นั่นไม่มีความหมายอะไร ถ้าเราชาวพุทธเองมิได้นำเอาคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติให้เกิดสันติภาพในจิตใจตนเอง และแก่เพื่อนมนุษย์

พระพุทธศาสนานั้น เน้นคำสอนที่มนุษย์ต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อพึ่งตนเองได้ ให้ผู้อื่นพึ่งได้ และให้ต่างคนต่างพึ่งพากันและกัน ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาเชื่อในหลักความจริงว่า
 
"มนุษย์เป็นสัตว์ฝึกฝนได้ มนุษย์ที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐสุด ถึงขั้นเทวดาก็ชม พรหมก็สรรเสริญ"

พระพุทธเจ้าทรงฝึกฝนพระองค์เองเป็นตัวอย่าง ทรงบรรลุจุดสุดยอดที่มนุษย์ผู้ฝึกฝนตนพึงได้พึงถึงแล้ว ทรงวางระบบฝึกฝนให้มนุษย์อื่นๆ ดำเนินตาม

หลักคำสอนของพระพุทธองค์จึงชื่อว่า "สิกขา" คือเป็นระบบการศึกษา ระบบฝึกฝนตนเอง ด้วยความพากเพียรของตนเอง ด้วยสติปัญญาของตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาดลบันดาล

ในการฝึกฝนตนนั้น มนุษย์ต้องพึ่งตนเอง พระศาสดาเป็นเพียงผู้ทรงชี้แนะแนวทางให้เดินเท่านั้น ทรงชี้ว่าทางนี้ดี ทางนี้ไม่ดี เพราะทรงผ่านมาก่อนแล้ว แต่ผู้ฝึกฝนจะต้องเดินด้วยตนเอง พิสูจน์ผลด้วยตนเอง

การวัดประเมินผล ต้องวัดด้วยตนเอง ความล้มเหลว หรือสำเร็จ เป็นประสบการณ์ตรงของตนเอง มิใช่ให้คนอื่นบอกเมื่อมองทั้งระบบ การศึกษาตามแนวพุทธ มีองค์ประกอบอยู่ สามหรือสี่ส่วน จะเรียกว่า ขั้นตอนของการฝึกฝนก็ได้คือ

ส่วนที่ 1 ขั้นเตรียมการ
ก่อนจะเข้าสู่ระบบฝึกฝนตน ต้องเตรียมการในสองเรื่องนี้ก่อน ท่านเจ้าคุณเรียกว่า "บุรพภาคแห่งการศึกษา" คือ

1.สิ่งแวดล้อมภายนอกต้องดี ต้องเอื้อต่อการฝึกฝน สิ่งแวดล้อมนี้รวมตั้งแต่สิ่งแวดล้อมทางวัตถุ สิ่งแวดล้อมทางบุคคล เช่น พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้รู้อื่นๆ ตลอดจนถึงสิ่งแวดล้อมทางสังคม คือ สังคมทั้งหมดจะต้องเอต่อการฝึกฝน ทางพระเรียกรวมว่า สิ่งแวดล้อมต้องเป็น "กัลยาณมิตร"

2.ในส่วนผู้ฝึกฝนเองต้องรู้จักคิดวินิจฉัย ใช้ท่าทีแห่งปัญญาในการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลกภายนอก ที่สมัยหนึ่งบัญญัติคำว่า "คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น" ทางพระเรียกว่า โยนิโสมนสิการ (=คิดโดยอุบายอันแยบคาย)

โยนิโสมนสิการ เป็นคำสามัญรู้กันทั่วไปในแวดวงการศึกษาพอสมควร ทับศัพท์ก็คงไม่เป็นไร ในทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านมีวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ 10 วิธี แต่ละวิธีล้วนเหมาะสมที่จะฝึกฝนทั้งนั้น คือ

1.คิดแบบสืบสาวปัจจัย
2.คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ
3.คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
4.คิดแบบแก้ปัญหา
5.คิดแบบสัมพันธ์หลักการกับเป้าหมาย
6. คิดแบบคุณโทษและทางออก
7.คิดแบบคุณค่าแท้คุณค่าเทียม
8.คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม
9.คิดแบบอยู่ในปัจจุบัน
10.คิดแบบแยกประเด็น


หมายเหตุ
เพื่อให้รู้โดยทั่วกัน ในพระไตรปิฎกมิได้พูดไว้จะอย่างนี้ดอกนะครับ แม้กระทั่งชื่อของวิธีคิดแบบต่างๆ ก็มิได้ให้ไว้ พูดแต่เพียงโยนิโสมนสิการ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกท่านไปเก็บเอามารวมแล้วแยกประเภท พร้อมให้ชื่อเสร็จเพื่อสะดวกแก่การศึกษา จึงได้ โยนิโสมนสิการ 10 วิธี


แต่ถ้าเปิดอรรถกถา (พูดแค่นี้รู้ไหมว่าหมายถึงอะไร ถ้าไม่รู้ก็รู้เสียว่า อรรถกถาคือ ตำราที่แต่งอธิบายพระไตรปิฎก) พระอรรถกถาจารย์ท่านประมวลวิธีคิดไว้เพียง 4 วิธีเท่านั้นคือ

1.คิดเป็นระเบียบ (ปถมนสิการ)
2.คิดถูกวิธี (อุปายมนสิการ)
3.คิดเป็นเหตุเป็นผล (การณมนสิการ)
4.คิดเร้ากุศล (อุปปาทกมนสิการ)


เท่ากับบอกว่า วิธีคิดทั้ง 10 วิธีข้างต้นนั้น สรุปแล้วอยู่ใน "กรอบทั้ง 4" นี้เท่านั้น ไม่หนีจากนี้ ว่าอย่างนั้นเถอะ
สรุปก็คือว่า ผู้ฝึกฝนตน จะต้องเตรียมให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีวิธีคิดที่ถูกต้อง หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง



ส่วนที่ 2 กระบวนการฝึกฝน (สิกขา)
ผู้ฝึกฝนตน จะต้องฝึกฝนทั้ง 3 ด้านคือ

1.ฝึกฝนด้านปัญญา พัฒนาความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง มีเจตคติ มีค่านิยม มีแนวคิดที่ถูกต้อง สอดคล้องกับกระบวนการฝึกฝนอบรม คัมภีร์ท่านเรียกว่า มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาสังกัปปะนั้นแล

2.ฝึกฝนด้านศีล ควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา (ไม่ครอบคลุมถึงใจ) ให้สอดคล้องเหมาะสมกับความรู้ความเข้าใจนั้น

3.ฝึกฝนด้านจิต จิตจะต้องได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพมองอีกมุมหนึ่ง ทั้ง 3 ด้านนี้ครอบคลุมถึง กาย วาจาและใจ เพราะฉะนั้นจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า กระบวนการฝึกฝนนั้นก็คือ ฝึกกาย วาจา และใจ อย่างนี้ก็ได้ครับ

โปรดทราบว่า ขณะที่ยังอยู่ในระหว่างฝึกฝนตนนี้ เรียกว่า เสขะ (แปลว่าผู้ยังศึกษา หรือนักศึกษา)
ยังไม่จบว่างั้นเถอะ

เมื่อฝึกฝนจนครบกระบวนการแล้ว พูดอย่างนักปฏิบัติก็ว่า เมื่อ "มรรคสมังคี"
องค์มรรคกลมกลืนถูกส่วนกันแล้ว ก็จะเกิดผลแห่งการฝึกฝน


ผลนั้นก็คือ เกิดญาณหยั่งรู้ตามความเป็นจริง เป็นความรู้ระดับสูงสุด สูงขนาดไหน พูดได้ว่า เมื่อเกิดความรู้อย่างนี้แล้ว จะเกิดจักษุตาในมองเห็นแจ่มชัด (จักษุ) ความรู้แจ้ง (วิชชา) ความรู้ทั่วถึง (ปัญญา) เกิดความสว่างโพลงภายใน (อาโลกะ) เรียกในที่นี้ด้วยศัพท์เทคนิคว่า "สัมมาญาณะ"

สัมมาญาณะนี้มีสมรรถนะที่จะกำจัดกิเลสความมัวหมองใจออกหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ จิตก็จะเป็นอิสระจากพันธะของกิเลส เป็น "สัมมาวิมุติ" (ความหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง, อิสรภาพแท้จริง)

พอถึงระดับนี้เสขบุคคล ก็จะกลายเป็น "อเสขะ" (แปลว่าผู้ไม่ต้องศึกษาอีกต่อไป หรือผู้จบการศึกษานั้นเอง)

ได้ปริญญาสูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านผู้นี้จะเรียกว่า พุทธ (ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน)ก็ได้ อรหันต (ผู้ไกลจากกิเลส) ก็ได้ ขีณาสวะ (ผู้สิ้นอาสวกิเลส) ก็ได้

ส่วนที่ 3 เมื่อจบกระบวนการฝึกฝนตนแล้ว
ก็จะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

ก.มองในแง่การพัฒนา บุคคลเช่นนี้นับว่าได้พัฒนาแล้วทั้ง 4 ด้านคือ

(1) พัฒนากาย มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพอย่างดี มีความสมบูรณ์ของชีวิตในด้านกาย

(2) พัฒนาศีล คือ มีพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาแล้ว มีความสัมพันธ์ทางสังคมในลักษณะสร้างสรรค์และก่อสันติสุข

(3) พัฒนาจิต มีจิตที่เจริญแล้ว คือ ได้ฝึกฝนอบรมจิตจนกระทั่งมีสุขภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพ

(4) พัฒนาปัญญา มีความรู้แจ้งเห็นจริง ชนิดที่เป็นอิสระจากการครอบงำของกิเลส เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น รู้เท่าทันธรรมดาจนเป็นอิสระโดยสมบูรณ์

ข.มองในแง่การดำเนินชีวิต

(1) บุคคลนี้นับว่าได้ทำประโยชน์ตน (อัตตัตถะ) สมบูรณ์ พึ่งตนเองได้ในทุกๆ ทาง (อัตตนาถะ)

(2) นอกจากตนเองจะดำเนินชีวิตได้ดีแล้ว ยังพร้อมที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตน ช่วยให้เขาได้พึ่งตัวเองได้เป็นอย่างดี (ปรนาถะ)


ค.มองในแง่คุณธรรมที่เด่น

(1) มีปัญญาสมบูรณ์ ลดอวิชชาความโง่เขลาลงตามลำดับจนหมดสิ้นเชิง

(2) มีกรุณาหาขอบเขตมิได้ ช่วยเหลือคนอื่นด้วยความสงสารกรุณา ไม่หวังประโยชน์ตอบแทนใดๆ


คนมักถามกันว่า จบการศึกษาตามแนวพุทธแล้ว จะเป็นคนอย่างไร

คำตอบก็อย่างที่ว่ามานั้นแหละครับ วาดภาพเอาก็แล้วกันว่าจะหล่อเหลาปาน....

ที่มา: มติชน
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01bud02200550&day=2007/05/20&sectionid=0121



พระเสขะ ดู เสขะ

เสขะ ผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล
       โดย พิสดารมี ๗ คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค,
       พูดเอาแต่ระดับเป็น ๓ คือ พระโสดาปัน พระสกทาคามี พระอนาคามี


อเสขะ ผู้ไม่ต้องศึกษา เพราะศึกษาเสร็จสิ้นแล้ว
       ได้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คือ พระอรหันต์;
       คู่กับ เสขะ


พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=เสขะ
http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%E0%CA%A2%D0



การศึกษาในพุทธศาสนาแบ่งเป็น ๓ หมวด คือ
- ศีลสิกขา
- จิตตสิกขา
- ปัญญาสิกขา


การภาวนาอยู่ในหมวด "จิตตสิกขา" ส่วนปัญญาสิกขาเป็นผลของการภาวนา

ผู้ที่ไม่ต้องภาวนาอีก คือ อเสขะบุคคล หรือ พระอเสขะ

จะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ พระอรหันต์นั่นเอง

หวังว่าคงเข้าใจนะครับ สงสัยอะไรถามได้ครับ ไม่ควรเกรงใจ

 :49: :58: ;) :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2011, 10:09:50 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เมื่อสำเร็จแล้ว ก็ไม่ต้องภาวนาต่อไป นะจ๊ะ

 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ