ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 ... 8 9 [10]
 91 
 เมื่อ: มีนาคม 20, 2024, 06:48:51 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



การชี้นิ้วของ “นัตโบโบยี” กับพระเจ้าชี้นิ้วที่เชียงตุง

การที่ดิฉันนำเรื่องราวของสองสิ่งนี้ (นัตโบโบยียืนชี้นิ้ว กับพระชี้นิ้วที่เชียงตุง) มาเปรียบเทียบกันนั้น ก็เนื่องมาจากในช่วงไม่เกิน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในวงการทัวร์พม่า ด้วยการอุปโลกน์เอาเรื่องผีเรื่องพระที่ทำสัญลักษณ์ชี้นิ้วคล้ายกัน (แต่มีที่มาต่างกัน) มาสร้างเป็น “จุดขาย” ให้คนแห่แหนเดินทางไปกราบไหว้ขอพรได้ ไม่แตกต่างกันเลย

เทรนด์ของการแห่ไปสักการะ “เทพทันใจ” หรือการไปยืนใต้เงาพระพุทธรูปสูงตระหง่านให้ศีรษะของเราตรงกับจุด “ปลายนิ้วชี้” นี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

@@@@@@@

จากนัตโบโบยี กลายเป็นเทพทันใจ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในฉบับก่อนว่า “นัต” (วิญญาณที่ตายเฮี้ยน) แต่ละตนนั้นต้องมีการสร้างรูปลักษณ์หรือสัญลักษณ์ให้แตกต่างเพื่อง่ายต่อการจดจำ นัตโบโบยีก็เช่นกัน มีสัญลักษณ์พิเศษด้วยการถือไม้เท้าและ “ยืนชี้นิ้ว”

ไม้เท้า (ธารพระกร) เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ สัญลักษณ์ของพระจักรพรรดิราช ซึ่งในทางธรรมก็คือ พระพุทธเจ้า นัตโบโบยีถือเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูแล

ส่วนการชี้นิ้วก็มิใช่เพื่อประทานพรผู้คนให้ร่ำให้รวย หากแต่เป็นการชี้บอกทางไปยัง “ดอยสิงกุตตระ” สถานที่ที่จะสร้างพระมหาธาตุชเวดากองนั่นเอง เพราะพระมหาธาตุชเวดากอง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ในภัทรกัป โดยที่นัตโบโบยี ต้องช่วยทำหน้าที่คอยบอกทางไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาทั้ง 5 ครั้ง

ดังนั้น ชาวมอญ-พม่าจึงสร้างรูปนัตตนนี้ไว้ก่อนถึงพระมหาธาตุชเวดากอง จุดนี้เองกระมังที่เมื่อนักท่องเที่ยวชาวไทยไหลหลั่งไปกราบนมัสการพระมหาธาตุชเวดากองเสร็จแล้ว ก็ต้องผ่านพบนัตโบโบยีด้วย

แทนที่จะมองนัตโบโบยีเป็นวิญญาณของ “พ่อปู่” หรือ “เสื้อวัด” กลับไปให้คำนิยามการชี้นิ้วนั้นใหม่ จากนิ้วชี้สถานที่สร้างพระมหาธาตุ กลายเป็น “นิ้วประทานพร” ให้โชคให้ลาภ ให้ร่ำให้รวยไปเสียนี่

ซ้ำยังไม่ยอมให้เรียก “นัต” ซึ่งหมายถึงวิญญาณหรือ “ผีอารักษ์” อีกด้วย แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น “เทพทันใจ” โดยไปหยิบเอาคำว่า “ทันใจ” มาจาก “พระเจ้าทันใจ” ของวงการพุทธศิลป์ล้านนามาผสมกันด้วยอีกชั้นหนึ่ง


ซึ่งคำว่า “พระเจ้าทันใจ” เอง ผู้คนก็ไขว้เขวกันมาเปลาะหนึ่งแล้ว คือคิดว่าสร้างขึ้นเพื่อให้คนขอพรมุ่งหวังความสำเร็จแบบปุบปับฉับพลัน ทันตาทันใจ

@@@@@@@

ทั้งๆ ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้อธิบายไว้แก่ศิษยานุศิษย์อย่างละเอียดแล้วว่า การสร้างพระเจ้าทันใจก็เพื่อใช้เป็นกุศโลบาย “ทดสอบความสามัคคี” ของคนในชุมชนว่าจะสามารถทำสิ่งเล็กๆ ร่วมกันสำเร็จหรือไม่ ก่อนที่จะคิดทำการใหญ่

ครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงกำหนดให้ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หากหล่อสำเร็จก็สะท้อนว่า อุปสรรคแม้จักหนักหนาเพียงไรก็ไม่พ้นความพยายามของคนในชุมชนที่จะช่วยกันฟันฝ่า

ไม่ว่าใครจะนิมนต์ให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยไปช่วยเป็นประธาน “นั่งหนัก” สร้างวัดในที่ใดก็แล้วแต่ ก่อนที่ท่านจะลงมือสร้าง ท่านมักใช้กุศโลบายทดสอบความสามัคคีของหมู่คณะด้วยการขอให้ช่วยกันทดลองสร้างพระเจ้าทันใจสัก 1-3 องค์ขึ้นก่อนเสมอ จนกระทั่งตัวท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยเองก็ได้รับฉายาว่า “ครูบาทันใจ” ด้วยอีกนามหนึ่ง

ในเมื่อ “พระเจ้าทันใจ” ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยบัญญัติขึ้น มีความหมายว่า “คนขยัน รู้รักสามัคคีเท่านั้น จึงจะทำการใหญ่ได้สำเร็จ” ฉะนี้แล้ว จู่ๆ จะให้ “เทพทันใจ” ที่เพิ่งถูกอุปโลกน์กันขึ้นมาไม่เกิน 20 ปี มีความหมายว่าอย่างไรล่ะหรือ

รู้ทั้งรู้ว่า “นิ้วที่ชี้” นั้น คือสัญลักษณ์แห่งการเชื่อมโยง “พุทธันดร” ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ในภัทรกัปเข้าไว้ด้วยกัน แต่ก็ไม่วายไปตีความว่า นิ้วของเทพทันใจนั้นหมายถึง การดลบันดาลโชคลาภ และการประทานความสำเร็จให้ผู้กราบไหว้

@@@@@@@

ปางชี้อสุภ หรือการสาปแช่ง.?

ในเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า มีหนองน้ำขนาดใหญ่กลางเมืองเรียกว่า “หนองตุง” ใกล้กับหนองตุงมีวัดแห่งหนึ่งชื่อจอมสัก ถือเป็น 1 ใน 3 จอม ที่นักท่องเที่ยวต้องไปนมัสการให้ครบ ประกอบด้วย วัดจอมมน บ้างเรียกจอมมอญ วัดนี้มีต้นไม้หมายเมืองคือต้นยางใหญ่, วัดจอมคำ และวัดจอมสัก

วัดจอมสักเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปชมด้วยความตื่นตะลึงเพราะมี “พระเจ้าชี้นิ้ว” ดูแปลกตา ด้วยขนาดของพระพุทธรูปที่สูงใหญ่ มองเห็นโดดเด่นแต่ไกล นักท่องเที่ยวมักไปยืนอยู่ให้ศีรษะของตนอยู่ในตำแหน่งพอดีกับนิ้วมือที่ชี้ตกลงมา โดยได้ข้อมูลจากไกด์ชาวไทยมาว่า การทำเช่นนี้จะได้รับพรจากองค์พระแบบเต็มๆ

ทำให้ต่างคนต่างมะรุมมะตุ้มยืนต่อคิวกันแน่น ต่างคนต่างพยายามขยับตัวไปมาเพื่อหาจุดที่จะให้นิ้วของพระพุทธรูปชี้ลงบนหัวของตนพอดิบพอดี จากนั้นก็จะได้ยินเสียงกดชัตเตอร์จากมือถือ

ในขณะที่ไกด์พม่าไม่ค่อยชอบใจนัก อธิบายว่าแท้ที่จริงแล้วนิ้วมือที่ชี้นั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งการสาปส่งชาวเชียงตุง (ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทขึน คนละชาติพันธุ์กับพม่า) ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพม่านิรันดร์ไป

ไกด์พม่ากระซิบบอกว่า พระชี้นิ้วเป็นพระพุทธรูปที่ทหารพม่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ได้ไม่กี่ปีนี้เอง นิ้วที่ชี้นั้นพุ่งเล็งเป้าไปยังโรงแรมกลางเมือง ซึ่งครั้งหนึ่ง 100 ปีก่อนเคยเป็น “หอคำ” ของเจ้าฟ้าเชียงตุงองค์สุดท้าย คือเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทร์แถลง หอคำหลังนี้สร้างในยุค Colonial หรือยุคล่าอาณานิคม แต่ต่อมาได้ถูกทหารพม่าเผาทำลาย แล้วสร้างเป็นโรงแรมครอบทับสถานที่เดิม เสมือนทำลายความศักดิ์สิทธิ์และย่ำยีจิตวิญญาณของชาวเชียงตุง

เมื่อเราได้พูดคุยกับชาวเชียงตุงในพื้นที่แล้ว ทุกคนบอกว่า ไม่ชอบพระเจ้าชี้นิ้วองค์นี้เลย คงหลอกขายได้เฉพาะแต่นักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้น


@@@@@@@

แล้วไฉนดิฉันจึงโปรยหัวเรื่องตอนนี้ว่าเป็น “ปางชี้อสุภ” (อ่านว่า อะ-สุ-ภะ) แปลว่า สิ่งไม่งาม สิ่งที่มองแล้วชวนให้สังเวชใจ

เนื่องจากดิฉันเห็นว่าท่ายืนชี้นิ้วดังกล่าว พ้องกับพระพุทธรูปปางหนึ่ง ที่สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงบัญญัติ “มุทรา” หรือปางของพระพุทธรูปไว้ว่ามีทั้งสิ้น 66 ปาง นั่นคือ “ปางชี้อสุภ” โดยอธิบายว่า

เป็นพระอิริยาบถยืน พระกรซ้ายห้อยข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอบั้นพระองค์ ชี้ดัชนี (นิ้วชี้) เป็นกิริยา “ชี้อสุภ” โดยมีการยกเอาพุทธประวัติตอนหนึ่งขึ้นมาประกอบว่า

    “ในกรุงราชคฤห์มีหญิงนครโสเภณีรูปงามชื่อ สิริมา เป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นนางได้เฝ้าพระพุทธองค์จึงเลิกอาชีพโสเภณี ฝักใฝ่ในบุญกุศล ต่อมานางเจ็บป่วยเป็นโรคปัจจุบันตอนเช้า ตายในตอนค่ำ พระพุทธองค์โปรดให้ปล่อยศพนั้นไว้ 3 วันก่อนเผา เพื่อให้ผู้คนเห็นว่า เมื่อตายเป็นศพขึ้นอืด น้ำเหลืองไหลจากทวารทั้งเก้า กลิ่นศพเหม็นคลุ้งตลบสุสาน แสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนแห่งสังขารของสรรพสัตว์ทั้งปวง”

กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นปางที่พระพุทธเจ้ายืนชี้ไปที่ซากศพของหญิงงาม เพื่อให้เกิดการปลงอสุภกรรมฐาน

@@@@@@@

แล้วในเมืองไทยมีการทำพระพุทธปฏิมาปางชี้อสุภกันมากน้อยเพียงใด เท่าที่ตรวจสอบพบว่ามีน้อยมาก ไม่ใช่ปางที่นิยม ผิดกับการแสดงเรื่องราวทำนองเดียวกันนี้ด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง พบเห็นบ่อยครั้งกว่า

แล้วพระชี้นิ้วที่วัดจอมสัก เชียงตุง จะเรียกว่า ปางชี้อสุภ ได้หรือไม่ ในเมื่อเจตนาของผู้สร้าง (ทหารพม่า) ตั้งใจจะย่ำยีคนไทขึนเมืองเชียงตุงให้โงหัวไม่ขึ้นมิใช่หรือ?

อีกทั้งการที่เราไปยืนอยู่ใต้นิ้วชี้นั้นจะเป็นมงคลหรือไม่ ไม่ว่าจะตีความว่านี่คือปางชี้อสุภ หรือตีความว่าเป็นปางสาปแช่งชาวเชียงตุง ก็ล้วนแล้วแต่สื่อความหมายไปในทางไม่ค่อยดี

ในความเป็นจริงนั้น เราต่างก็ไม่มีใครทราบถึงเจตนาของผู้สร้างพระชี้นิ้วองค์ดังกล่าว ว่าตั้งใจจะให้เป็นปางอะไรแน่ หากต้องการให้เป็นปางชี้อสุภจริง ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า “อสุภ” ที่ว่านั้นคือสิ่งไร อยู่ที่ไหน ในเมื่อนิ้วชี้ไปยังทิศที่เคยเป็นหอคำ ย่อมอดไม่ได้ที่จะให้ชาวไทขึนเมืองเชียงตุงหวาดระแวงเรื่องการสาปแช่งพวกเขา

เห็นได้ว่ารูปเคารพเพียงองค์เดียว สามารถให้นิยามได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้คนแต่ละกลุ่ม แล้วนำมาสร้างคำอธิบายหาเหตุผลประกอบให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตาม


@@@@@@@

มุมหนึ่งก็เห็นใจคนทำงานในสายท่องเที่ยว ท่ามกลางยุคสมัยที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ขั้นขีดสุด จนบริษัททัวร์แทบจะปิดกิจการไปตามๆ กัน คงจำเป็นต้องหาเกร็ดแปลกๆ หามุขพิสดารใหม่ๆ ที่พอจะเห็นแววว่าขายได้แน่ๆ สำหรับคนไทย

ทั้งๆ ที่ในสายตาของชาวพม่าเจ้าของประเทศ มองนัตโบโบยีเป็นผีอารักษ์ตนหนึ่งที่มีคุณูปการในด้านการทำหน้าที่บอกทางไปพระมหาธาตุชเวดากอง พวกเขาไม่เคยรู้จักคำว่า “เทพทันใจ” ตามที่คนไทยตั้งชื่อให้มาก่อนเลย

ไม่ต่างไปจากชาวไทขึนที่มิอาจไว้วางใจในนิ้วชี้อสุภของพระปฏิมาที่หนองตุงนั่น เหตุที่สร้างโดยทหารสลอร์กของพม่า

คงมีแต่พี่ไทย (บางท่าน) ชาติเดียวกระมัง ที่ยินดีกราบไหว้ได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามต่อสิ่งนั้นๆ






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18-24 ตุลาคม 2562
คอลัมน์: ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_240637

 92 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 02:14:16 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 93 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 12:04:01 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 94 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 10:35:51 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 95 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 09:56:20 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 96 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 09:14:16 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ท้าวปหาราธะจอมอสูร : ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๘ ประการ

เหตุการณ์ : ท้าวปหาราธะจอมอสูรสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วอภิรมย์อยู่ โดยพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบธรรมวินัยกับมหาสมุทรที่อสูรทั้งหลายเห็นแล้วอภิรมย์

ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๘ ประการ อันไม่เคยมีมา ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว อภิรมย์อยู่

๑. มหาสมุทรลาด ลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา การกระทำ การปฏิบัติ ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง

๒. มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต

๓. มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร คลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมยกวัตรเธอเสียทันที

๔. แม่น้ำสายใหญ่ๆ ไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น

๕. แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้จะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด  ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

๖. มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส

๗. มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้น มีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ,สัมมัปปธาน ๔ ,อิทธิบาท ๔ ,อินทรีย์ ๕ ,พละ ๕ ,โพชฌงค์ ๗ ,อริยมรรคมีองค์ ๘

๘. มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ดังนี้ คือพระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล  พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ 






ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : ปหาราทสูตร พระไตรปิฎกสยามรัฐ 23/109/174-180 และอรรถกถา
website : https://uttayarndham.org/node/1807

 97 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 08:59:10 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ทำความรู้จักตำนาน “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระสามพี่น้องแห่งล้านช้าง

ชวนทำความรู้จัก! ตำนานพระสามพี่น้อง “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระประจำพระธิดา 3 พระองค์ของกษัตริย์ล้านช้างในอดีต ก่อนจมแม่น้ำโขง

จากกรณีการค้นพบพระพุทธรูปเก่าแก่ริมแม่น้ำโขงบริเวณเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จนทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียลาวพากันตั้งข้อสังเกตว่า พระโบราณที่พบริมน้ำโขง อาจเป็น “พระสุก” ที่จมแม่น้ำโขงสมัยอาณาจักรล้านช้าง

แม้การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวยังไม่มีการยืนยันจากหน่วยงานราชการของ สปป.ลาว ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้เรื่องราวของพระสุกกลับมาอยู่ในความสนใจของคนในสังคัมอีกครั้ง วันนี้ “พีพีทีวี” จะพาไปทำความรู้จักกับตำนานของ “พระสุก-พระเสริม-พระใส”



พระเสริม วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร

โดยตำนานพระสามพี่น้อง “พระสุก-พระเสริม-พระใส” มีตำนานเล่าว่า พระธิดา 3 พระองค์ของ เป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์อาณาจักรล้านช้าง ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และถวายนามพระพุทธรูปตามพระนามของพระธิดาแต่ละพระองค์ โดย “พระเสริม” เป็นพระประจำพระธิดาองค์ใหญ่ “พระสุก” ประจำพระธิดาองค์กลาง และ “พระใส”ประจำพระธิดาองค์เล็ก

ซึ่งแต่เดิมพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ถูกประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ และถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง กระทั่งต่อมาเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ ได้เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ

เมื่อเมืองเวียงจันทน์สงบแล้ว จึงได้อัญเชิญ “พระสุก-พระเสริม-พระใส” ข้ามแม่น้ำโขงมาที่จังหวัดหนองคาย โดยมีการต่อแพข้ามแม่น้ำโขง สำหรับพระแต่ละองค์ แต่ระหว่างแพของพระสุกกำลังข้ามแม่น้ำโขง ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ หายไป ทำให้บริเวณดังกล่าวได้ชื่อ “เวินสุก” หรือ “เวินพระสุก” ตั้งแต่นั้นมา (เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย)

หลังจากพระสุกจมแม่น้ำโขงการอัญเชิญพระสามพี่น้องครั้งนี้จึงเหลือแต่ “พระเสริม” และ “พระใส” ที่สามารถอัญเชิญมาถึงหนองคาย สำหรับ “พระใส” นั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ส่วน “พระเสริม” ได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ และมีการสร้างองค์จำลอง “พระสุก” ไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบัน



พระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ “พระเสริม” ลงไปยังกรุงเทพฯ แต่ด้วยเกิดเหตุปาฏิหาริย์ จึงสามารถอัญเชิญลงมาได้แค่ “พระเสริม” เท่านั้น ส่วน “พระใส” ยังคงประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

โดยปัจจุบัน "พระใส" ยังคงประดิษฐานอยู่ที่ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ดังเดิม ขณะที่ "พระเสริม" ประดิษฐานอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ส่วน "พระสุก" ที่จมหายไปไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย เหลือไว้เพียงตำนานที่ถูกเล่าขานถึงของคนสองฝั่งแม่น้ำโขงเรื่อยมา

อย่างไรก็ตามแม้ยังไม่มีหลักฐานหรือการพิสูจน์จากทางการ ที่รับรองการตั้งข้อสังเกตที่ว่าพระพุทธรูปโบราณที่มีการค้นพบบริเวณเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เป็น “พระสุก” จริงหรือไม่ อีกทั้งมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องเวินพระสุกที่อยู่ห่างไกลกับสถานที่ค้นพระพุทธรูปโบราณดังกล่าว แต่การค้นพบพระโบราณดังกล่าว ก็ทำให้ตำนานของ “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระสามพี่น้อง ถูกพูดถึงอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้






Thank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/219660 
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 18 มี.ค. 2567 ,15:46น.

 98 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 08:53:54 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ทีมวิจัย สหรัฐฯ เผยถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษา เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย

คนส่วนใหญ่มักพูดได้ภาษาเดียวหรือ 2 ภาษา ทว่าบางคนก็เชี่ยวชาญและพูดได้หลายภาษา บางคนสลับภาษาในระหว่างสนทนาได้คล่อง เช่น คุยกับยายเป็นภาษาอิตาเลียน แต่ก็โต้เถียงปรัชญากับเพื่อนร่วมชั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้เกิดความสงสัยถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษาอันเป็นวิธีหลักในการสื่อสารของมนุษย์

ล่าสุด ทีมวิจัยนำโดยนักประสาทวิทยาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา เผยงานวิจัยใหม่ที่จะให้ความกระจ่างถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษา หลังคัดเลือกอาสาสมัครที่พูดได้อย่างน้อย 5 ภาษามา 34 คน เป็นชาย 20 คน หญิง 14 คน มีอายุ 19-71 ปี โดย 21 คนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ส่วนที่เหลือเป็นภาษาฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฮังการี และจีนกลาง

ทีมอธิบายว่า การพูดได้หลายภาษาจะสามารถเปรียบเทียบว่าสมองปรับเปลี่ยนการตอบสนองตามหน้าที่ของความเชี่ยวชาญได้ภายในคนคนเดียวอย่างไร นักวิจัยได้ใช้วิธี functional magnetic resonance imaging คือการตรวจเพื่อหาตำแหน่งการทำงานของสมอง โดยบันทึกความเปลี่ยนแปลงในสมองที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ประสาท เพื่อติดตามการทำงานของสมอง

ในขณะที่อาสาสมัครร่วมฟังข้อความใน 8 ภาษาที่แตกต่างกัน มีทั้งภาษาแม่ที่เป็นภาษาหลักที่พวกเขาใช้ และภาษาอื่นอีก 3 ภาษาที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญสูง เชี่ยวชาญปานกลาง และเชี่ยวชาญน้อยที่สุด ส่วนอีก 4 ภาษาเป็นภาษาที่พวกเขาไม่รู้จักเลย




ทีมวิจัยพบว่าแม้ว่า เครือข่ายภาษาของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่บางส่วนที่อยู่ในสมองส่วนหน้าและขมับ จะมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อประมวลผลภาษาใดก็ตาม แต่ภาษาแม่ของคนที่พูดได้หลายภาษาจะทำงานได้เข้มข้นน้อยลง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภาษาแม่หรือภาษาแรกของคนเราจะได้รับการเข้ารหัสหรือถูกเก็บในสมองเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การเปิดรับภาษาที่ไม่รู้จักสามารถกระตุ้นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินและการมองเห็นได้.






Thank to : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2770240
14 มี.ค. 2567 09:01 น. | ข่าว>ต่างประเทศ>ไทยรัฐฉบับพิมพ์

 99 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 08:47:42 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



4 รูปแบบการนอนของมนุษย์ ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพระยะยาวต่างกัน

การนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วสามารถช่วยรักษาการทำงานของร่างกาย และส่งผลดีต่อสุขภาพ ในทางตรงกันข้ามแน่นอนว่าการอดนอน นอนน้อย นอนไม่พอก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย และสุขภาพได้เช่นเดียวกัน แต่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต (อังกฤษ: Pennsylvania State University) พบข้อมูลว่ารูปแบบของการนอนหลับแต่ละแบบอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวที่แตกต่างกันออกไป

การศึกษาชิ้นนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกันราว 3,700 คน โดยให้พวกเขารายงานพฤติกรรมหรือนิสัยการนอนหลับของตัวเอง ปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่พวกเขาพบเจอ รวมถึงข้อมูลอื่น อย่างระยะเวลาการนอน ช่วงเวลาการนอน ความพึงพอใจในการนอน ความรู้สึกง่วง หรือตื่นตัวในตอนกลางวัน การเก็บข้อมูลชุดนี้ทำใน 2 ช่วงเวลาซึ่งห่างกัน 10 ปี

@@@@@@@

โดยหลังจากการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลทีมวิจัยได้แบ่งรูปแบบการนอนออกเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน

    • คนที่สุขภาพการนอนดี นอนได้เป็นปกติ
    • คนที่นอนหลับยาวในช่วงวันหยุด ซึ่งอาจการนอนในช่วงวันทำงานที่ผิดปกติ อย่างการนอนไม่พอ
    • คนที่นอนไม่หลับ หรือมีสุขภาพการนอนที่ไม่ดี เช่น นอนหลับยาก นอนติดต่อกันได้ไม่นาน รวมถึงรู้สึกเหนื่อยหรือง่วงนอนอย่างมากในตอนกลางวัน
    • คนที่นอนหลับตอนกลางคืนได้ปกติ แต่มักงีบหลับตอนกลางวันอยู่เป็นประจำ

นักวิจัยพบว่า 2 กลุ่มหลัง ซึ่งได้แก่คนที่มีโรคนอนไม่หลับ และกลุ่มคนที่มักงีบหลับตอนกลางวันเป็นประจำเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของโรคเรื้อรังสูงกว่ากลุ่มอื่น ตั้งแต่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด ไปจนถึงโรคทางอารมณ์​ อย่างโรคซึมเศร้า จากพฤติกรรมการนอนในลักษณะดังกล่าวกว่า 10 ปี

@@@@@@@

การงีบหลับตอนกลางวันอันตราย.?

สำหรับข้อมูลทางการแพทย์ชิ้นอื่นยืนยันแล้วว่าคนที่มีโรคนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลานานนั้นเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหลายโรค แต่ผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่าทำไมคนที่สามารถนอนหลับตอนกลางคืนได้ปกติ และมีพฤติกรรมงีบหลับตอนกลางวันถึงกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงไปด้วย ทั้งที่ก็นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

ซึ่งไม่ใช่แค่การศึกษานี้เท่านั้นที่พบ การศึกษาชิ้นก่อนหน้าก็พบด้วยเช่นกันว่าการงีบหลับบ่อยสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรัง ข้อมูลชุดหนึ่งพบว่าคนที่งีบหลับเป็นประจำ หรือแม้แต่งีบหลับบ้างบางครั้งมีความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บางการศึกษาก็ให้ผลที่ขัดแย้งว่าการงีบหลับอาจลดความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูงได้

นอกจากนี้ การรู้สึกง่วงตอนกลางวันอย่างมากอาจสะท้อนถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การนอนกรน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะขากระตุกขณะนอนหลับ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มคาเฟอีน และผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

อย่างไรก็ตาม การศึกษาอีกส่วนหนึ่งพบว่าการนอนงีบหลับตอนกลางวันอย่างเหมาะสมระหว่าง 10 ถึง 20 นาทีช่วยรีเฟรชสมองจากความง่วง อารมณ์ และความเหนื่อยล้าได้ การศึกษาบางชิ้นยังพบด้วยว่าการนอนกลางวันส่งผลดีต่อความจำ และประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

@@@@@@@

กลับมาที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตที่พบว่า รูปแบบการนอนส่งผลต่อการเกิดโรคเรื้อรังในระยะยาว โดยผู้นำงานวิจัยชี้ว่าเป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะเปลี่ยนรูปแบบพฤติกรรมการนอนให้เหมาะสม และไม่ทราบถึงผลกระทบจากพฤติกรรมการนอนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมากต่อการดูแลสุขภาพ แต่นั่นก็อาจเป็นผลมาจากข้อจำกัดทางสังคมและเศรษฐกิจที่ส่งผลให้บางคนนอนมาก และนอนน้อยเกินไป อย่างไรก็ตาม อาจเริ่มจากการออกกำลังกาย การงดเล่นสมาร์ตโฟนก่อนนอน และงดคาเฟอีนในช่วงบ่าย

สำหรับผู้อ่านที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ คงได้ทราบแล้วว่ารูปแบบการนอนที่คุณนอนอยู่ในทุกวันส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร หากเข้าข่ายกลุ่มคนที่นอนไม่หลับ หรือชอบงีบตอนกลางวันอาจถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนรูปแบบการนอน เพราะปัจจัยเหล่านี้ส่งผลในระยะยาว

ดังนั้น การเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้อาจช่วยลดความที่ของโรคเรื้อรังในอนาคตได้ และหากคุณพบปัญหาในการนอนหลับเกิน 1 สัปดาห์ การนอนหลับ หรือความง่วงส่งผลต่อการใช้ชีวิต และการทำงาน แนะนำว่าควรไปพบแพทย์







ขอบคุณ : https://www.beartai.com/life/1370469
โดย ภูษิต เรืองอุดมกิจ | 21 hours ago

ที่มา :-
    - ScienceDaily, Researchers identify distinct sleep types and their impact on long-term health, 12 มี.ค. 2024
    - Medical News Today, Frequent napping may be a sign of higher risks of stroke, high blood pressure, 27 ก.ค. 2023
    - Sleep Foundation, Managing Excessive Daytime Sleepiness, 16 ม.ค. 2024
    - Mayo Clinic, Napping: Do’s and don’ts for healthy adults, 9 พ.ย. 2022

ภาพหน้าปก : ภาพยนตร์ Eternal Sunshine of the Spotless Mind

 100 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 07:49:47 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

หน้า: 1 ... 8 9 [10]