ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ  (อ่าน 3455 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ
 คือมีหลายคน มักกล่าวให้ฟัง ในครั้งพระพุทธเจ้ามีชีิวิตอยู่นั้น ไม่มีตำราธรรมะ หรือวินัย จริงหรือไม่คะ

 ขอบคุณมากคะ :c017:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0



อุคคฏิตัญญูบุคคล และ วิปจิตัญญูบุคคล สดับซึ่งพระสัทธรรมใดใดแล้ว ย่อมถึงพร้อมในความเป็นสงฆ์เพียงวัจนวาจาแห่งพระศาสดาว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด" เพียงเท่านี้ก็รักษาธรรมเนียมแบบแผนในหมู่สงฆ์กันได้ไม่สำคัญที่ตำรา หากแต่ว่าเนยยบุคคลมีอยู่สิกขาบทจึงปรากฏมีขึ้นกันคำครหาว่าเหล่าศากยบุตรเป็นผู้ไม่งดงามในธรรมวินัยสืบเนื่องแต่นั้นมิกล่าวว่ามีก็จึงมีแบบแผนตำรา เราท่านทั้งหลาย ณ กึ่งพุทธกาลนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเนยยบุคคลทั้งสิ้นปุจฉาวิสัชนาเพื่อเจริญปัญญาจึงเอ่อถ้วนท้นคำจะพรรณนา...ครับ!



http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13491
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2:%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 17, 2012, 05:39:55 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ว่าถึงเรื่อง ตำรา ทางพระพุทธศาสนา นั้นส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติ ก็จะมีการจดบันทึกกันไว้ตามความรู้ของตนเองอยู่แล้ว ย้อนไปก่อนพุทธกาล ชนชมพูทวีป ขณะนั้นใช้ภาษา อยู่ 2 ภาษา คือ สันสกฤต และ ภาษามคธ ซึ่งทั้งสองภาษานี้ ภาษาสันสกฤต เป็นภาษาชั้นสูงกว่า จึงไม่เป็นที่นิยมในการพูด แต่นิยมกับ กาพย์ โคลง กลอน และ เพลง

   แต่ภาษามคธ เป็นภาษา ที่มีแบบแผน และก็มีแบบแผนถึงปัจจุบัน ในรูปของภาษาบาลี และช่วยรักษา พุทธวจนะ นิสัยขีดเขียน บันทึกมีกันทุกคน แต่สิ่งที่นำมาขีดเขียนกันในสมัยนั้น อาจจะไม่ใ่ช่กระดาษอย่างปัจจุบัน นะคะ พิจารณาแล้ว ก็มี ผ้า มีหิน มีไม้ มีโลหะ เหล่านี้แหละคะ ที่เป็นที่เก็บบันทึกเครื่องมืออุปกรณ์ของคนสมัยนั้น ดังนั้นการใช้อุปกรณ์เขียน ก็แล้วแต่เขียนลงไปในอะไร

   ดังนั้นการที่บอกว่าไม่มีตำราเลยเป็นทางการ น่าจะไม่ใช่ แต่การทำสังคายนานั้น เป็นการรวบรวมตำรา และ คำพูด และ อภิปราย พร้อมกันเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ มากที่สุดซึ่งพระอานนท์ ท่านก็น่จะมีบันทึกเหมือนกัน ในฐานะ เป็น พหูสูตร ดังนั้นใช้การเล่าบอก ผสมการบันทึก และ อภิปรายด้วยกลุ่มพระอรหันต์ จึงเกิด พระไตรปิฏก

    จะกล่าวว่าพระพุทธศาสนา ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีตำรานั้นก็มิใช่ เพียงแต่ว่าตำราทั้งหมดที่เขียนบันทึกไว้ขณะนั้นไม่ได้รับรอง ด้วยกลุ่มพระอรหันต์ ที่เป็นคณะใหญ่ อย่างชุดที่ทำสังคายนา ดังนั้นในขณะนั้น จึงมีการแตกเรื่อง นิกายของพุทธศาสนา มาร่วมกันด้วย

   ดูคำถามตอบ ในเรื่อง อภิธรรม ดูก็ได้นะคะ มีการพูดกล่าว อภิปราย ถามตอบกันก่อนลงมติ เป็นต้นแบบจริง ๆ คะ เหมือนกับประชุมสภา เพียงแต่ สภาสงฆ์ ไม่มีการ walkout ใส่อารมณ์กัน เพราะเป็นไปเพื่อการรักษา พุทธธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด ดังนั้นยุคแรก การทำสังคายนาครั้งที่ จึงคัดแต่พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้ารับรองแล้ว และ เพิ่มอีกองค์คือ พระอานนท์ ซึ่งคณะพระอรหันต์ก็บีบคั้นให้ท่านสำเร็จเ็ป็นพระอรหันต์และรับรองการเป็นพระอรหันต์ ในครั้งนั้นด้วย

    เรื่องนี้มีความสำคัญมาก เพราะปัจจุบัน มีกลุ่มคนที่พยายาม ทำลายพระไตรปิฏก คือ พยายามกล่าวไม่ให้เชื่อถือพระไตรปิฏก กันอยู่โดยเฉพาะ พวกศาสนาสากลที่กำลังทำการปูยี่ปูยำ รวมคำสอนทุกศาสนาเป็นศาสนาเดียวเป็นต้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการแตกแยก และการทำลายพุทธพจน์ หลายส่วน

    พระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตรัสให้ พระธรรมและวินัยเป็นศาสดา ต่อจากพระองค์ก็เพราะเหตุนี้ เพื่อไม่ให้ชาวพุทธรุ่นหลัง ลืมความสำคัญของพระธรรม และ พระวินัย นั่นเอง


   :88:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ความเป็นมาของพระไตรปิฎก

       การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งหลักฐานเรื่องการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือการพิมพ์เป็นเล่ม

       ในเบื้องแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
        ๑. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุปฐากรับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก
       ๒. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก
       ๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปากเปล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไมมีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
       ๔. พระมหากัสสป ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร และพระจุนทะ น้องชายพระสาริบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ดังจะกล่าวต่อไป...ฯลฯ....


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/from.html




การทำสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปิฎก
   
     แม้ในตอนต้น จะได้ระบุนามของพระเถระหลายท่าน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก
     แต่พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้น ภายหลังที่ท่านพระเถระทั้งหลาย
     ได้ร่วมกันร้อยกรองจัดระเบียบพระพุทธวจนะแล้ว
     ในสมัยของพระพุทธเจ้าเอง ยังไม่มีการจัดระเบียบหมวดหมู่
     ยังไม่มีการจัดเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก

     นอกจากมีตัวอย่างการจัดระเบียบวินัยในการสวดปาฏิโมกข์ลำดับสิกขาบททุกกึ่งเดือน ตามพระพุทธบัญญัติและการจัดระเบียบธรรมในสังคีติสูตรและทสุตตรสูตรที่พระสาริบุตรเสนอไว้ กับตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงวิธีจัดระเบียบพระธรรมแก่พระจุนทะเถระและพระอานนท์ในปาสาทิกสูตร และสามคามสูตร ดังได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น


     พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่างกาลเวลา ต่างสถานที่กัน การที่พระสาวกซึ่งท่องจำกันไว้ได้ และจัดระเบียบหมวดหมู่เป็นปิฎกต่าง ๆ ในเมื่อพระศาสดานิพพานแล้ว พอเทียบได้ดังนี้ พระพุทธเจ้าเท่ากับทรงเป็นเจ้าของสวนผลไม้ เช่น ส้มหรือองุ่น พระเถระผู้จัดระเบียบหมวดหมู่คำสอน เท่ากับผู้ที่จัดผลไม้เหล่านั้นห่อกระดาษบรรจุลังไม้ เป็นประเภท ๆ บางอย่างก็ใช้ผงไม้กันกระเทือนใส่แทนห่อกระดาษ

      ปัญหาเรื่องของภาชนะที่ใส่ผลไม้เช่นลังหรือห่อก็เกิดขึ้น คือในชั้นแรก คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น รวมเรียกว่า พระธรรมพระวินัย เช่น ในสมัยเมื่อใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
      "ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
           ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป"


     จึงเป็นอันกำหนดลงเป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า พระไตรปิฎก มีแต่คำว่า ธรรมวินัย
     คำว่า พระไตรปิฎก หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีนั้น มาเกิดขึ้นภายหลังที่ทำสังคายนาแล้ว
     แต่จะภายหลังสังคายนาครั้งที่เท่าไร จะได้กล่าวต่อไป


     อย่างไรก็ตาม แม้คำว่า พระไตรปิฎก จะเกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ก็ไม่ทำให้สิ่งที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น คลายความสำคัญลงเลย เพราะคำว่า พระไตรปิฎก เป็นเพียงภาชนะ กระจาดหรือลังสำหรับใส่ผลไม้ ส่วนตัวผลไม้หรือนัยหนึ่งพุทธวจนะ ก็มีมาแล้วในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระศาสนา


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/sangkayana.html




ลำดับอาจารย์ผู้ทรงจำพระไตรปิฎก

      ได้กล่าวไว้แล้วในสมัยที่ยังมิได้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานนั้น ใช้วิธีท่องจำ และการท่องจำก็แบ่งหน้าที่กัน ตามใครจะสมัครเป็นผู้เชี่ยวชาญในส่วนไหนตอนไหนของพระไตรปิฎก เช่น
      คำว่า ทีฆภาณกะ แปลว่า ผู้สวดคัมภีร์ทีฆนิกาย (พระธรรมเทศนาหมวดยาว)
      มัชฉิมภาณกะ ผู้สวดคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย (พระธรรมเทศนาขนาดปานกลาง)
      โดยนัยนี้ จึงเป็นการแบ่งงานกันทำในการท่องจำพระไตรปิฎก และมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีศิษย์ของแต่ละสำนักท่องจำตามที่อาจารย์สั่งสอน เป็นทางให้เห็นความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ด้วยประการฉะนี้


     ในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎก หรือที่เรียกว่าอรรถกถา ได้แสดงการสืบสายของอาจารย์ในแต่ละทาง คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก ที่เรียกว่าอาจริยปรัมปรา สายแห่งพระอาจารย์ ดังนี้

สายวินัยปิฎก
       ๑. พระอุบาลี                                   
       ๒. พระทาสกะ
       ๓. พระโสณกะ                                 
       ๔. พระสิคควะ
       ๕. พระโมคคลีบุตร ติสสะ


สายสุตตันตปิฎก
      ไม่ได้มีระบุไว้ในอรรถกถา เป็นแต่ได้กล่าวถึงการมอบหน้าที่ในการท่องจำนำสืบ ๆ กันต่อไป ดังนี้๒
      ๑. มอบให้พระอานนท์ท่องจำสั่งสอนทีฆนิกาย
      ๒. มอบให้นิสิตทั้งหลายของพระสาริบุตรท่องจำมัชฉิมนิกาย
      ๓. มอบให้พระมหากัสสปท่องจำสังยุตตนิกาย
      ๔. มอบให้พระอานุรุทธ์ท่องจำอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททกนิกายไม่ได้กล่าวไว้ว่ามอบเป็นหน้าที่ของใคร


สายอภิธัมมปิฎก
      ๑. พระสาริบุตร                                   
      ๒. พระภัททชิ
      ๓. พระโสภิตะ                                     
      ๔. พระปิยชาลี
      ๕. พระปิยปาละ                                   
      ๖. พระปิยทัสสี
      ๗. พระโกสิยปุตตะ                               
      ๘. พระสิคควะ
      ๙. พระสันเทหะ                                   
    ๑๐. พระโมคคลีบุตร
    ๑๑. พระติสสทัตตะ                               
    ๑๒. พระธัมมิยะ
    ๑๓. พระทาสกะ                                   
    ๑๔. พระโสณกะ
    ๑๕. พระเรวตะ


          ตามรายนามนี้ สืบต่อมาเพียงชั่ว ๒๓๕ ปีเท่านั้น
          ต่อจากนั้นยังมีรายนามอีกมาก ซึ่งนับแต่แผ่ศาสนาไปในลังกาแล้ว


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/teachter.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.mmtc.egat.co.th/,http://dbook2.tarad.com/,http://www.larnbuddhism.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2012, 11:33:58 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ
 คือมีหลายคน มักกล่าวให้ฟัง ในครั้งพระพุทธเจ้ามีชีิวิตอยู่นั้น ไม่มีตำราธรรมะ หรือวินัย จริงหรือไม่คะ

 ขอบคุณมากคะ :c017:


     
      หากตั้งคำถามว่า ในสมัยพุทธกาลมีตำรา(คำสอนของพระพุทธเจ้า)หรือไม่.?
      ตอบว่า มี แต่อยู่ในรูปของการท่องจำ ไม่มีหลักฐานว่า ได้มีการบันทึกลงบนวัสดุใดๆ

       
      ถามว่า ทำไมต้องท่องจำ สมัยนั้นไม่มีตัวอักษร ไม่มีเครื่องมือและวัสดุบันทึกหรือไง.?
      ตอบว่า มีตัวอักษร มีเครื่องมือและวัสดุที่ใช้บันทึกได้
      แต่ด้วยทำเนียมปฏิบัติในสมัยนั้น การจดจำคำสอนหรือสาระใดที่สำคัญ นิยมท่องจำ
      การถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ต้องนับถือกันเป็นศิษย์อาจารย์ ไม่ยอมที่จะให้เผยแพร่ให้คนนอกได้รับรู้
      อาจจะเรียกว่า หวงวิชาก็ได้ เพราะหากมีการบันทึกเป็นเล่ม บันทึกนั้นอาจถูกลักขโมยได้

      เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ต้องใช้วิธีท่องจำ ก็เพราะในสมัยนั้นเทคนิคการพิมพ์ยังไม่เกิด ยังไม่มีแม่พิมพ์
      การทำสำเนา ต้องใช้คนบันทึกซ้ำด้วยมือ การใช้คนบันทึกอาจทำให้ข้อความผิดเพี้ยนได้
      ไม่เหมือนสมัยนี้ สร้างแม่พิมพ์หรือต้นฉบับเสร็จ ก็ก๊อปปี้ได้ไม่จำกัด ข้อความเหมือนต้นฉบับทุกประการ


      ถามว่า การท่องจำ ประกันได้อย่างไรว่า ข้อความไม่ผิดเพี้ยน
      ตอบว่า ก็ใช้วิธีแบ่งกันท่อง โดยแบ่งเป็นสาย วิันัย พระสูตร และอภิธรรม
      และแต่ละสายจะมีวิธีทบทวนและตรวจสอบ โดยใช้วิธีสวดเป็นทำนองสรภัญญะ
      เมื่อมีการสวดเป็นทำนองพร้อมๆกัน ทำให้สามารถจับผิดกันได้ ว่าใครจำคลาดเคลื่อน เกิน ขาด หรือผิดอย่างไร
      ใครที่จำมาผิด ก็จะสวดไม่เหมือนกับคนอื่นๆ


      การสวดนี้เป็นที่มาของคำว่า "สวดมนต์" จุดประสงค์หนึ่งที่สำคัญของการสวดมนต์ ก็คือ
      "ทรงจำพระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎกนั่นเอง"


        :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

tang-dham

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 98
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ธรรมเนียม การทวนปาฏิโมกข์ ของพระสงฆ์ ตั้งแต่ ครั้ง พุทธกาล ถึงปัจจุบัน
 
    คือ หนึ่ง ผู้สวดพระปาฏิโมกข์ พระวินัย ที่เป็นข้อบัญญัติ 227 สิ้นสุดครั้งที่พระุพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มี 227 ข้อ

        สอง พระผู้ทานพระปาฏิโมกข์ ( องค์นี้แหละต้องตรวจสอบอักขระัมคธ คู่กับ การสวด ) การสวด สวดผิด พูดผิด ออกเสียงผิด เรียกว่า อัขระวิบัติ

       ดังนั้นท่านที่กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีข้อบันทึก ทั้งพระธรรม และ วินัย นั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกคือมีการบันทึก แล้ว แต่ยังไม่ได้รวบรวมไว้ให้เป็นหมวดหมู่ เนื่องด้วย พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ วินิจฉัยของพระองค์ไม่ต้องพึ่งพระ สังฆรักษ์ หรือ ต้องสวดญ้ตติรับรองต่าง ๆ



    :s_hi: :welcome: :49:
     
บันทึกการเข้า
ยินดีที่รู้จัก ทุกท่านฝากตัว เพื่อศึกษาความรู้ กับกัลยาณมิตรทุกท่านครับ