ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สุวรรณกักกฏชาดก-ชาดกว่าด้วยปูทองผู้ฉลาด  (อ่าน 1907 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์

สุวรรณกักกฏชาดก-ชาดกว่าด้วยปูทองผู้ฉลาด


ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกเป็น 2 สำนัก คือสำนักของพระเทวทัต และสำนักของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตลุ่มหลงในกิเลส อยากเป็นหนึ่งเดียวแทนที่องค์พระศาสดา

จึงได้คิดแผนต่างๆ เพื่อลอบปลงพระชนม์ ครั้งหนึ่งพระเทวทัตได้วางอุบายจะปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมอมเหล้าช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังตกตกมัน แล้วปล่อยออกไป

     ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต เมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์ผู้เป็นปัจฉาสมณะ จึงได้เดินล้ำมาข้างหน้าพระศาสดา

ได้คิดหมายจะป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระดำรัสให้พระอานนท์จงหลีกไปอย่าป้องกันพระองค์เลย แต่พระอานนท์ยังยืนยันที่ปกป้อง องค์พระศาสดาต่อไป

 “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์ แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ขอพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย

ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ ได้สละซึ่งสิ่งมีค่าน้อย เพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากเหมือนสละกระเบื้องเพื่อรักษาแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้า”

  “อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์ หรือเทวดา มาร พรหมใด” ในขณะนั้นช้างนาฬาคีรี

วิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระราชหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคุกรุ่นด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคีรีได้

 ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท “นาฬาคีรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นเดรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก

คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน” ความภักดีของพระอานนท์ที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นที่ชื่นชมแก่เหล่าภิกษุและประชาชน ผู้รู้เห็นเหตุการณ์

 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนพระอานนท์ก็สละชีวิตเพื่อเราเหมือนกัน” ดังนี้แล้วพระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ชาวบ้านดำรงชีวิตด้วยการทำไร่นาเรือกสวน ทั้งคนและสัตว์ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

 “เฮ้ย ทำงานมาเหนื่อย ได้มาพักล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย เอ๊ะ...นั่นปูนี่นา ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง ไหนขอดูใกล้ๆ หน่อยสิ” พราหมณ์หนุ่มผู้มีอาชีพเกษตรกร

เมื่อเห็นปูทองที่อยู่ในหนองน้ำก็เกิดความเอ็นดู จึงหยิบมันขึ้นมาไว้ที่อุ้งมือ “ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ”

 ชายหนุ่มทักทายปูสักครู่ แล้วก็ปล่อยลงไปในหนองน้ำเหมือนเดิม “เฮ้อไปทำงานต่อดีกว่า ไปนะเจ้าปู พรุ่งนี้เจอกันใหม่” วันต่อมาเมื่อพราหมณ์มาทำงาน เขาก็ได้ไปที่หนองน้ำอีก

ได้จับตัวปูขึ้นมาเล่นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ พราหมณ์ทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนเขากับปูทองรู้สึกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พราหมณ์เจ้าของนามีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง

คือดวงตาของเขาจะมีลักษณะเป็นดวงกลมสามชั้นใสแจ๋วทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน ที่ปลายนานั้น มีกาผัวเมียอยู่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลใหญ่ นางกาเกิดแพ้ท้อง

อยากกินดวงตาของเจ้าของนา “พี่จ๊ะ น้องอยากกินตาคู่นั้นจัง พี่ดูซิ มันใสแจ๋วกลมโตอย่างนั้นน่ะ คงจะหวานดีนะจ๊ะพี่” “จ๊ะ เจ้านี่ก็แปลกอยากกินอะไรไม่กิน

 อยากจะกินดวงตา เจ้ารู้มั๊ยว่า ดวงตาคนนั้นหน่ะ เอามาอยากจะตายไป ข้าจะเอามาให้เจ้ากินได้อย่างไร ” “ต้องได้ซิพี่ ก็น้องอยากกิน พี่ก็ต้องเอามันมาให้ได้”

“เอ้...จะเอาตาเจ้าพราหมณ์นั้นมายังไงดีนะแค่คิดน้ำลายหกแล้วเนี่ย อยากกินจังเลย ทำยังไงดี อ๋อ...น้องออกแล้ว พี่จ๋าน้องคิดแผนออกแล้วนะ”

  “แผนอะไรของเจ้า ไหนว่ามาสิ” “ก็ใต้ต้นตาลนี้ มันมีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าเราใช้งูเห่านี้กัดเขาตาย พอตายแล้วพี่ก็ค่อยควักดวงตาของเขามาให้น้อง อย่างนี้

มันน่าจะง่ายขึ้นนะพี่” “โอ้โห แผนเจ้านี่ ช่างร้ายลึกซะจริงๆ แต่พี่จะไปใช้เจ้างูเห่าได้อย่างไรล่ะ” “เรื่องนี้น้องจัดการเอง”

เมื่อคิดแผนการได้ กาทั้งสองตัวก็เริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ “กินเยอะๆ นะท่านนะ วันพรุ่งเราจะนำอาหารดีๆ มาให้ท่านกิน” “เออดีๆ เราชอบกินไข่

เอาไข่มาอีกนะ เจ้าสองตัวเนี่ยใจดีจริงๆ เลยน่ะ วันหลังมีอะไรจะให้ราช่วยก็บอกแล้วกันนะ” “ท่านได้ช่วยเราแน่ ท่านงูเห่า” พอข้าวในนาเริ่มออกรวง ปูทองก็โตตามไปด้วย

 ทุกวันพราหมณ์ก็จะแวะมาทักทายปูทองตัวนี้ทุกครั้ง “ว่าไงเจ้าปู เดี๋ยวนี้เรียกเจ้าว่าปูน้อยไม่ได้แล้วซินะ ดูซิ เจ้าตัวโตขึ้นตั้งเยอะ” วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ได้ออกมา

ดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำ จับปูขึ้นมาเล่นเหมือนเคย “กลับบ้านดีกว่าเรา หิวจนท้องกิ่วแล้ว แม่ทำกับข้าวอะไรไว้บ้างน๊า โอ้ย หิวๆๆ”

   แล้วความโชคร้ายก็มาเยือนพราหมณ์หนุ่ม เมื่องูเห่าเลื้อยออกมาโพรงแล้วเข้ามากัดที่น่องพ่นพิษใส่ จนพราหมณ์หนุ่มทนความเจ็บปวดไม่ไหว ล้มลงนอนร้องครวญคราง

เหมือนคนจะขาดใจ “โอ้ย ปวด ใครก็ได้ช่วยที โอ้ย” งูเห่าที่กัดได้เลื้อยเข้าจอมปลวกไปแล้ว พราหมณ์หนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เป็นไปตามแผนของกาทั้งสอง

 แต่ยังไม่ทันที่กาตัวผู้จะเข้ามาจิกดวงตาของพราหมณ์หนุ่ม ปูทองเมื่อได้ยินเสียงของพราหมณ์หนุ่มที่ร้องครวญคราง ก็รีบไต่ขึ้นมาจากหนองน้ำ ขึ้นมาอยู่บนร่างของพราหมณ์

“ท่าน ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะ เราจะช่วยท่านเอง เราจะไม่ให้ท่านตายเด็ดขาด” กาตัวผู้เมื่อเห็นงูเห่ากัดพราหมณ์แล้ว


 ก็รีบโฉบลงมาเกาะที่ร่างชายโชคร้ายนั้น หวังจิกเอาดวงตาไปให้เมียของมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามใจนึก ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่น “โอ้ย เจ็บๆ มาหนีบเราไว้ทำไม

ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” “เจ้ากาตัวร้าย เจ้าไปเรียกงูเห่ามาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเดือดร้อน เราจะเอาเจ้าถึงตายแน่ๆ”

 “โอ้ย ก็ได้ๆ งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อนเถิด กลับมาช่วยข้าหน่อย ข้าถูกปูหนีบคอไว้ ออกมาก่อนเถอะท่าน” งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลื้อยกลับมาแผ่พังพานพร้อมจะฉกปู

แต่โดนปูใช้ก้ามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคอไว้ งูเห่าดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสักที “เจ้าปูนา ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม่ ปล่อยนะ มันเจ็บรู้มั๊ย”

  “เจ้างูร้าย ชายคนนี้เป็นเพื่อนของข้า ถ้าเขาตายไป ข้าก็ตายด้วยเพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้าทำให้เค้าตาย พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ เจ้าต้องช่วยให้เค้าฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

งูเห่าและกาได้ฟังดังนั้น ก็คิดที่จะล่อลวงปูให้ตายใจแล้วหนีไป “ได้ซิ ข้าจะช่วยดูดพิษออกจากตัวเค้าให้ แต่เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนซิ เร็ว เร็วเข้า

ก่อนที่พิษร้ายจะเข้าสู่ร่างกายเขามากกว่านี้ ไม่งั้นเราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ” “ใช่แล้วเจ้าปู ได้ยินแล้วก็รีบปล่อยพวกเราซิ” “สัญชาตญาณงูเห่าอย่างเจ้าข้าไม่เชื่อหรอก

ข้าจะปล่อยเจ้ากับกาไปก็ต่อเมื่อชายคนนี้ฟื้นแล้วเท่านั้น เร็วเข้าสิ รีบดูดพิษออกจากร่างเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเราจะหนีบคอพวกเจ้าให้ขาดออกจากกันเลย”

เจ้าปูทองคลายก้ามปูออกเล็กน้อยเพื่อให้งูเห่าเลื้อยไปดูดพิษคืน ต่อมาพราหมณ์ได้ฟื้นคืนมา ฝ่ายปูคิดว่าถ้าปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้รอดไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์

เจ้าของนาอีกได้ “นั้นไง เราช่วยให้เพื่อนของเจ้าฟื้นแล้ว คราวนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” “นั่นสิ เจ็บจะตายอยู่แล้ว หนีบแรงชะมัดเลย”


 “ปล่อยเจ้าไปก็โง่นะสิ สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าหน่ะ อย่ามีชีวิตอยู่อีกเลยนะ นี่แน่ะๆๆ” ปูทองใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองจนเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่เกาะอยู่บนต้นตาล

เห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้นก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น “กาๆ อยู่ไม่ไหวแล้ว หนีดีกว่า กาๆๆ อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้แล้ว ไปดีกว่า”

 นางกาบินหนีไปเมื่อได้เห็นสามีกาของตนและงูเง่าถูกปูทองหนีบคอจนตาย

 

     เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พราหมณ์เจ้าของนาและปูทองในหนองน้ำสนิทกันยิ่งขึ้น ทั้งปูทองและพราหมณ์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนถึงสิ้นชีวิต

พระเทวทัต ในครั้งนั้น ได้กำเนิดเป็น กา

ส่วนช้าง กำเนิดเป็น งูเห่า

พระอานนท์ กำเนิดเป็น ปู

พราหมณ์หนุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-สุวรรณกักกฏชาดก.html
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ