ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตโยธัมมชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้มีธรรม 3 ประการ  (อ่าน 1791 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์

ตโยธัมมชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้มีธรรม 3 ประการ


  แคว้นมคธ ดินแดนแห่งพระรัตนตรัย ชาวบ้านชาวเมืองให้ความศรัทธากับพระพุทธศาสนาไม่เสื่อมคลาย ยึดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของจิตใจ

เป็นหลักยึดให้คนทำความดีละอายต่อบาป แต่ในหมู่คนดีก็มีคนชั่วปะปนอยู่ มารพุทธศาสนาที่ผู้คนโกรธแค้นชิงชัง
ผู้นั้นคือ พระเทวทัต ความชั่วร้ายของพระเทวทัตมีมากมายจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าพสกนิกรและภิกษุสงฆ์ ความชั่วร้ายที่รุนแรงที่สุดจนผู้คนไม่อาจทน

ดูดายอยู่ได้คือ การปองร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ นับวันพระเทวทัตก็คิดแผนร้ายมาปลงพระชนม์องค์พระศาสดาเรื่อยๆ

  เราจะปกป้องพระองค์อย่างไรกันดี” “นั่นนะสิ คิดแล้วก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์ ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราหน่ะ จะทำอะไรเพื่อท่านได้บ้างนะ” มิใช่แต่

ในกลุ่มประชาชนเท่านั้นแม้แต่ในเหล่าภิกษุสงฆ์เองก็เป็นห่วงเป็นใยในเรื่องความประพฤติอันร้ายกาจที่พระเทวทัตทรงกระทำต่อองค์พระศาสดาเช่นกัน
  ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่พระเวฬุวันมหาวิหาร พระพุทธองค์ได้สดับคำปรารภของบรรดาภิกษุสงฆ์ถึงการที่พระเทวทัตพยายามจองล้างจองผลาญ

พระพุทธองค์ด้วยประการต่างๆ อยู่อย่างไม่ลดละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะปลอบใจภิกษุทั้งหลายให้คลายความวิตกกังวลห่วงใยในพระองค์

  “ดูก่อนเถิดภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตมิได้ตามจองล้างจองผลาญเราเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนๆ ก็ได้พยายามทำร้ายเรามาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เคย

ทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง” พระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณอันเป็นเครื่องหยั่งรู้ภพชาติในอดีตแล้วนำ

  ตโยธัมมชาดก มาตรัสเล่าแก่พระภิกษุสงฆ์ดังนี้ กาลครั้งหนึ่ง ณ กรุงพาราณสี แคว้นกาสีมีพระเจ้าพรหมทัตปกครอง ในป่าแห่งหนึ่งของนครนี้มีวานรจ่าฝูง

และวานรบริวารฝูงใหญ่อาศัยอยู่ วานรจ่าฝูงนี้มีนิสัยดุร้ายหลงในอำนาจของตัวเอง มันครอบครองวานรตัวเมียในฝูงไว้ตัวเดียว ไม่ยอมให้วานรตัวผู้อื่นๆ

   ได้ทำการสืบพันธ์ุ “พวกเจ้าทุกตัว จงทำตามคำสั่งของข้า ถ้าใครไม่ทำตาม มันผู้นั้นอย่าได้มีชีวิตต่อไปเลย” วานรจ่าฝูงนี้มีจิตใจโหดเหี้ยม เมื่อมีลูกวานร

ที่เป็นตัวผู้เกิดขึ้น มันจะกัดอัณฑะของลูกมันทิ้งเสีย เพราะมันกลัวว่าหากวานรนั้นเติบโตขึ้นจะแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของมันไป ดังนั้นในฝูงวานรนั้น
 ก็มีมันเพียงตัวเดียวที่สามารถให้กำเนิดพืชพันธ์วานรได้ “โธ่ๆ ลูกแม่ เจ้าโชคร้ายนักที่เกิดมาเป็นเพศผู้ แม่ต้องปล่อยให้เจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา ฮือๆ ๆ ลูกแม่”

วันหนึ่ง นางวานรตัวหนึ่งได้ตั้งครรภ์ ด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางมิรู้ว่าว่าจะเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย มันจึงหนีออกจากฝูง
    มาซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขาและซ่อนตัวคอยระวังครรภ์ของมันเป็นอย่างดี “ลูกเอ๋ย หากเราอยู่ในฝูง แม่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะได้มีโอกาสได้เติบใหญ่หรือไม่ เราหลบอยู่กัน

ที่นี่เถิดน่ะ แม่จะคอยดูแลเจ้าเอง” เวลาผ่านไปวานรตัวนี้ก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ โชคดีของวานรน้อย มันคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
 และมีโอกาสเติบโตโดยที่จ่าฝูงผู้เป็นพ่อมิได้รับรู้ “ลูกแม่ ดีแล้วที่แม่คิดหนีออกมา ไม่งั้นแม่ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเติบโต แม่จะเลี้ยงเจ้าให้ดีที่สุด”

นางวานรได้ถนอมเลี้ยงดูลูกของมันเป็นอย่างดี มันพยายามดูแลให้ลูกอยู่ห่างจากฝูงมากที่สุด ลิงน้อยมีความซุกซนและเฉลียวฉลาด
 และมักจะเฝ้าถามเรื่องชาติกำเนิดและเหล่าผองเพื่อนลิงของมันเสมอ แต่แม่ลิงก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบลูกมันทุกครั้ง เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของลูกมัน

“แม่ๆ พ่อของลูกอยู่ที่ไหนจ๊ะ แล้วลิงตัวอื่นๆ ไปไหนกันหมด ทำไมในป่าถึงมีแต่แม่กับผมที่เป็นวานรละครับ”
   “เอาเถิดลูกแม่ ตอนนี้เจ้ายังเล็กนัก ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้หรอก” วานรน้อยได้เติบโตเป็นวานรหนุ่มที่มีรูปร่างสง่างาม ร่างกายสมบูรณ์ พละกำลังมหาศาล

แม่วานรเมื่อเห็นลูกของมันแข็งแรง ฉลาดหลักแหลมสามารถเอาตัวรอดจากภัยที่มาจากผู้เป็นพ่อได้
  จึงเล่าเรื่องฝูงของมันให้ลูกฟัง “ลูกจ๋า มาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังอยากรู้ ชาติกำเนิดของเจ้าอยู่หรือไม่” “อยากรู้สิแม่จ๋า ผมอยากรู้จักพ่อ อยากรู้จักญาติๆ เพื่อนๆ

พี่ๆ น้องๆ ของเรา” “ตอนนี้เจ้าก็โตพอที่จะรู้เรื่องได้แล้ว แม่จะเล่าให้เจ้าฟัง”
 แม่วานรเล่าถึงชาติกำเนิดและความชั่วร้ายของจ่าฝูงผู้เป็นพ่อให้ลูกของมันฟัง ลูกวานรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ก็รู้ถึงความลำบากของผู้เป็นแม่ที่ต้องแยกออกมา

อยู่ตามลำพังตัวเดียว มันจึงอยากพาแม่กลับไปอยู่กับฝูงดังเดิม “แม่จ๋า เรากลับไปอยู่กับฝูงของเราเถอะ”
 “ลูกรักเราไปที่นั้นไม่ได้หรอก ถ้าหากพ่อเจ้ารู้ พ่อเจ้า พ่อเจ้าก็จะใช้เขี้ยวกัดปล้นพืชพันธ์ของเจ้าซะ” “ไม่เป็นไรหรอกแม่จ๋า พาลูกไปที่นั้นเถิด ลูกรู้ว่าต้องทำเช่นไร”

เมื่อขัดความต้องการของลูกไม่ได้ แม่วานรจึงพาลูกไปยังสำนักของจ่าฝูง
 เมื่อวานรจ่าฝูง เห็นลูกวานรมีร่างกายที่กำยำสง่างาม มันก็เกิดความกลัวว่า สักวันลูกของมันตัวนี้ จะมาแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของมันไป “ไอ้ลูกวานรตัวนี้ร่างกาย

มันสง่างามกว่าเรานัก หากปล่อยให้มันอยู่ในฝูงต่อไป สักวันมันต้องแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของเราแน่ๆ ไม่ได้การหล่ะ ต้องกำจัดให้พ้นทางไป”
    วานรจ่าฝูงวางแผนร้าย มันต้องต้องการฆ่าลูกของมันด้วยการกอดรัดเค้นอย่างแรงให้ถึงแก่ชีวิต “มาเถิดลูกรัก เจ้าหายไปไหนมา มาให้พ่อกอดให้หายคิดถึง

หน่อยนะลูก” วานรจ่าฝูงและลูกของของมันโผเข้าสวมกอดกัน เมื่อวานรจ่าฝูงกอดลูกของมันอย่างแรงดังแผนที่คิดไว้
 ลูกวานรผู้มีกำลังมากกว่าก็เค้นกอดพ่อของมันอย่างแรงเช่นกัน แรงรัดของลูกที่มีมากว่านั้น รัดร่างของพ่อมันไว้จนกระดูกแทบแตก วานรจ่าฝูงสู้แรงไม่ไหว

จึงรีบคลายมือผละตัวออกมา ความวิตกกังวลเข้าครอบงำวานรจ่าฝูงอย่างหนักหน่วง มันจึงวางแผนฆ่าลูกวานรด้วยอุบาย
  ให้ยักษ์รากโคตรที่สิงสถิตย์อยู่ในสระไม่ไกลจากที่อยู่ของมัน เป็นผู้ฆ่าลูกของมัน “หือ แรงพลังของมันมีเยอะกว่าเรา เราคงทำอะไรเจ้าลูกคนนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น

คงต้องยืมแรงเจ้ายักษ์ในสระบัวเป็นผู้ฆ่าแทนละกัน” วานรจ่าฝูงวางแผนให้ลูกของมันไปเก็บบัวในสระที่มียักษ์รากโคตรสถิตอยู่
 “ลูกรักเอ๋ย ตัวพ่อก็แก่มากแล้ว พ่ออยากจะมอบหมายให้เจ้าเป็นจ่าฝูงแทน แต่ในพิธีแต่งตั้งนี้ จะต้องใช้ดอกบัว 3 ชนิด ที่กำลังบานอยู่ในสระ เจ้าจงไปเก็บ

ดอกบัวโกมุท 2 ดอก ดอกบัวอุบลมา 3 ดอก และดอกบัวปทุมมา 5 ดอกเถิด” “ลูกขอบคุณพ่อมาก ที่ไว้ใจยกตำแหน่งนี้ให้ลูก
 ลูกจะไปเก็บบัวตามที่พ่อบอก” ลูกวานรไม่รู้ว่าเป็นแผนร้าย มันดีใจที่จะได้ทำหน้าที่ต่อจากพ่อ จึงอาสาไปเก็บดอกบัวด้วยความเต็มใจ ลูกวานรเมื่อเดิน

ไปถึงสระแล้ว ก็พิจารณาสระน้ำ มันเดินไปมารอบสระถึงสามรอบ สังเกตเห็นแต่รอยเท้าลง ไม่พบรอยเท้าขึ้นแม้แต่รอยเดียว “หึๆๆ ฮ่าๆๆ มาแล้วเรอะ

เหยื่อของข้า คราวนี้น่ะ เป็นวานรหรอกเรอะ มาเลย ลงมาในสระนี้เลย เท้าเจ้าแตะน้ำเมื่อไหร่ เจ้าก็จะได้กลายเป็นอาหารของข้าแน่ๆ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”
 “อืม น่าแปลกจริงๆ ทำไมจึงมีแต่รอยเท้าที่เดินลงไปในสระน่ะ สงสัยในสระน้ำนี้ต้องมียักษ์สิงอยู่แน่ๆ นี่พ่อเราคิกจะฆ่าเราหรือนี้ จึงใช้ให้เรามาเก็บบัวในสระนี้

พ่อช่างใจร้ายอย่างที่แม่บอกจริงๆ ดีหล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราจะเก็บบัวในสระนี้ โดยไม่ลงไปในสระ” ลูกวานรเมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ยืนห่างจากฝั่งพอประมาณ

รวบรวมพละกำลังกระโดดข้ามสระเก็บดอกบัวบนอากาศได้ 2 ดอก ในสองมือ มันทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น สร้างความตกใจแก่เจ้ายักษ์ยิ่ง
   “ฮ่าๆๆ แค่นี้เราก็เก็บบัวได้โดยไม่ต้องลงไปในสระแล้ว” “ห๊า ไม่น่าเชื่อตลอดเวลาที่สิงอยู่ในสระบัวแห่งนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้เป็นอัจฉริยะกอปด้วยปัญญาดั่งนี้มาก่อนเลย

สามารถเก็บดอกบัวได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องลงน้ำ ซึ่งเป็นอาณาเขตของข้าได้เลยรึเนี่ย”
 ลูกวานรผู้มีธรรมะ 3 ประการ คือความขยัน กล้าหาญ และรอบรู้ จึงสามารถเอาชนะใจยักษ์นี้ได้ ยักษ์ใหญ่ใต้สระบัวเลิกคิดร้ายกับลูกวานร แหวกน้ำขึ้นมาเข้าไปหา

ลูกวานรนั้น “ท่านเก็บดอกบัวเหล่านี้ไปทำไมรึ” “บิดาประสงค์จะตั้งข้าพเจ้าเป็นจ่าฝูง ข้าพเจ้าจึงต้องเก็บบัวเหล่านี้ ไปเพื่อทำพิธีแต่งตั้ง” ยักษ์สิงใต้สระบัว เห็นว่า

วานรผู้นี้เป็นผู้สูงส่ง มันจึงอาสาแบกดอกบัวแล้วเดินตามหลังลูกวานรนี้ไปหาบิดา “ไปเถอะท่านวานร ท่านเป็นผู้สูงส่ง อย่าแบกดอกไม้เหล่านี้ไว้เลย

เราจะแบกให้ท่านเอง”
 “ขอบใจท่านมาก งั้นก็ตามเรามาเถิด” เมื่อวานรจ่าฝูงเห็นยักษ์แบกดอกบัวขึ้นบนบ่าเดินตามหลังลูกของมันมาแต่ไกลก็เกิดอาการตกใจ “เราตั้งใจส่งวานรตัวนี้

ไปเป็นอาหารของยักษ์ แล้วทำไมตอนนี้ยักษ์ร้ายถึงได้แบกดอกบัวตามหลังมันมาเสียนิ ตายแน่ๆ เลยเรา บัดนี้วานรลูกเรานั้นคงรู้แล้วซิว่า เราส่งมันไปตาย

โอ๊ะ..ไม่น่ะ ไม่จริง ในที่สุดเราต้องเสียตำแหน่งจ่าฝูงไปจริงๆ หรือนี่” วานรจ่าฝูงยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ มันเสียใจ และกลัวจนหัวใจแตกสลายเป็น 7 เสี่ยง

สิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น เมื่อวานรจ่าฝูงสิ้นใจ ฝูงวานรก็แต่งตั้งลูกวานรนั้น ให้เป็นจอมวานรจ่าฝูงตัวต่อไป

วานรจ่าฝูงในครั้งนั้น คือ พระเทวทัต ในกาลนี้

จอมวานรผู้เป็นลูก เสวยพระชาติ เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-ตโยธัมมชาดก.html
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ