ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม  (อ่าน 2149 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม
« เมื่อ: ตุลาคม 30, 2015, 06:51:53 pm »

คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม

ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ราษฎรใกล้ไกลล้วนศรัทธาพระพุทธศาสนาหลั่งไหลกันมาฟังธรรมเจริญภาวนาอยู่ไม่ว่างเว้น
พระเทวีทั้ง 500_นางของพระเจ้ากรุงโกศลเองก็เช่นกัน แม้จะไม่สามารถออกมานั่งฟังธรรมอย่างคนอื่นๆได้ แต่ก็ได้นิมนต์พระเถระอานนท์ไปเทศนาธรรมถึงในวัง
เมื่อพระเทวีฟังธรรมจากพระอานนท์จบแล้วก็เกิดความเลื่อมใสถวายผ้าสาดกที่ได้รับมาจากพระเจ้าโกศลคนละผืนรวมทั้งหมด 500_ผืน พระอานนท์ก็รับไว้และมาให้ต่อกับภิกษุองค์อื่นๆที่ขาดแคลนจีวรนุ่งห่ม
 รุ่งเช้าพระเจ้าโกศลเห็นพระเทวีนุ่งผ้าสาดกเก่าๆ ออกมาปรนนิบัติก็แปลกใจ “เราให้ผ้าสาดกตั้งพันแก่พวกเจ้าเพราะเหตุไรพวกเจ้าไม่ห่มผ้าเหล่านั้นมา” “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทพวกหม่อมฉันได้ถวายผ้าแก่พระเถระเสียแล้วเพคะ” “พวกเจ้าถวายให้ทั้ง 500 ผืน เลยเหรอ” “เพคะ” "แล้วพระอานนท์ก็รับผ้าไว้อย่างนั้นรึ" "เพคะ"
พระอานนท์เถระจะคิดการค้าผ้าหรืออย่างไร ถึงทรงรับผ้ามากมายไว้ขนาดนั้น” ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุมีจีวรเพียง 3_ผืนเท่านั้น พระเจ้าโกศลเมื่อทรงเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว ทรงเสด็จไปยังพระวิหารซึ่งเป็นที่อยู่ของพระเถระทรงนมัสการถามเรื่องที่เกิดขึ้น
 “พระคุณเจ้าพวกหญิงในเรือนของข้าพเจ้า ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมในสำนักของท่านอยู่หรือไม่" "ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมอยู่ พวกหญิงเหล่านั้นเรียนในสิ่งที่ควรเรียน ฟังสิ่งที่ควรฟัง" "ถวายพระพรพระคุณเจ้าพวกเธอฟังธรรมเท่านั้น หรือถวายผ้านุ่งผ้าห่มให้พระคุณจ้าด้วย” 
 “ขอถวายพระพรวันนี้พวกหญิงนั้นได้ถวายผ้าสาดก ราคาหนึ่งพันประมาณ 500_ผืน” “แล้วพระคุณเจ้ารับไว้ กระนั้นหรือ” “ขอถวายพระพร อาตมา รับไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้มี จีวร 3_ผืนเท่านั้น แก่ภิกษุรูปหนึ่งโดยหลักการสำหรับใช้ แต่มิได้ทรงห้ามในการรับ
 เพราะฉะนั้นอาตมารับผ้านั้นไว้ ก็เพื่อถวายภิกษุซึ่งมีจีวรเก่ารูปอื่น”  จากนั้นพระอานนท์ก็ได้อธิบายขั้นตอนในการใช้ผ้าที่ได้รับมาจากการถวายของพุทธศาสนิกชน ว่าเมื่อได้รับจีวรใหม่แล้วจีวรเก่าก็ได้ทำเป็นผ้าห่ม ผ้าห่มผืนเก่าก็ทำเป็นผ้านุ่ง ผ้านุ่งผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูนอน ผาปูนอนผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าเข็ดเท้า
ส่วนผ้าเช็ดเท้าผืนเก่าก็นำไปผสมดินเหนียวฉาบทาที่เสนาสนะ “ขอถวายพระพรธรรมดาของที่ถวายด้วยศรัทธา จะทำให้เสียไปไม่ควร ผ้าที่ถวายอาตมาก็มิได้เสียหายย่อมเป็นของใช้สอยทั้งนั้น” พระเจ้าโกศลเมื่อได้ฟังคำตอบของพระเจ้าเถระก็ทรงชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก  รับสั่งจ่ายผ้าอีก 500_ผืนที่เก็บไว้ในพระตำหนักมาถวายพระอานนท์
พระอานนท์เถระได้ถวายผ้า 500_ผืนที่ได้ครั้งหลังทั้งหมดแก่ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นผู้มีอุปการะ กวาดบริเวณสถานที่ เข้าไปตั้งน้ำ ใช้น้ำ ฉัน ถวายไม้สีฟัน  น้ำล้างหน้า และน้ำสง ชำระล้างวัชกุตี จัดเรือนไฟและเสนาสนะ นวดมือ นวดเท้า นวดหลัง แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้แบ่งผ้าทั้งหมดถวายภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของตน
ภิกษุทั้งหลายผู้ที่ได้ผ้าสาดกเหล่านั้นก็ตัดย้อมแล้วนุงผ้ากาสายะอันมีสีดุจดอกกันนิกา พากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดาภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นอุปัชฌาย์ของภิกษุหนุ่ม ได้ทูลองค์พระศาสนดาของที่มาของผ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระผู้เป็นธรรมพันนะทาคาริก อุปัชฌายของข้าพระองค์ทั้งหลายให้ผ้าสาดก 500_ผืน ราคา 1000_แก่ภิกษุรูปเดียวเท่านั้นแต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้แบ่งผ้าที่ตนได้ให้แก่พวกข้าพระองค์พระเจ้าค่ะ"
 "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ได้ให้ภิกษุเพราะเห็นแก่หน้า แต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นมีบุพการะแก่เธอมาก เพราะฉะนั้นเธอคิดเห็นด้วยอำนาจอุปการะของผู้อุปการะของตนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้มีอุปการะเราควรทำอุปการะตอบด้วยอำนาจคุณ และด้วยอำนาจการกระทำเหมาะสม จึงได้ให้ด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยประการชะนี้อันที่จริงบัณฑิตแต่ก่อน ก็ยังทำอุปการะตอบ แก่ผู้มีอุปการะแก่ตนเหมือนกัน"
 เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา พระองค์ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งมีราชสีห์อาศัยอยู่ถ้ำแห่งกับตัวเมียคู่ครองถึงเวลาออกหากินราชสีห์ตัวนี้มักจะยืนอยู่บนยอดเขามองลงมาดูสัตว์น้อยใหญ่ที่มาหากินอยู่ข้างสระใหญ่เสมอเพื่อเล็งหาเหยื่อที่เป็นเป้าหมาย
มองลงมาจากยอดเขานั้นจะเห็นสระใหญ่แห่งหนึ่งที่มีดินดอนเกิดจากตะกอนตมดอนหนึ่ง เมื่อดินดอนแห้งจะมีหญ้าอ่อนขึ้นเป็นที่หากินของ กระต่าย กวาง และสุนัขจิ้งจอกเสมอ และสัตว์เหล่านี้จะมักเป็นเหยื่อของราชสีห์ทุกครั้งไป "ไหนดูสิวันนี้อาหารของเราจะเป็นเนื้ออะไรนะ"
 “โอ้โห มื้อนี้เป็นเนื้อกวางหรือเนี่ย กำลังเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวเลยนะกินให้อร่อยไปเลยเดี๋ยวก็จะไม่ได้กินแล้วละ รีบลงไปดีกว่าเดี๋ยวมันจะอิ่มซะก่อน” ราชสีห์เห็นกวางก็หมายจะกินให้ได้จึงกระโดดจากเขาวิ่งตรงมาที่กวาง แต่กวางได้ยินเสียงก่อนจะวิ่งหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
 “นั่นเสียงวิ่งของราชสีห์นี่นาชัดเจนเลยเสียงวิ่งอย่างนี้เผ่นดีกว่าเรา” ราชสีห์วิ่งมาได้ความเร็วจึงเบรกไม่ทันจะตกไปในบ่อตมขึ้นมาไม่ได้ยืนอดอาหารอยู่อย่างนั้นถึง 7_วัน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่น่าวิ่งมาเร็วขนาดนี้เลยเราโอยหิวจังปานนี้น้องยาหยีของเราจะหิวแย่แล้วโธ่”
   ในวันที่ 7_ได้มีสุนัขตัวหนึ่งได้ออกมาหากินใกล้บ่อตมพอเห็นราชสีห์เข้าก็ตกใจวิ่งหนีแต่ราชสีห์เห็นก็รีบให้ช่วยเหลือ “นั่นราชสีห์นี่น่าหนีดีกว่าเรา” “หยุดก่อนอย่าเพิ่งไปช่วยเราด้วย” “ช่วยอะไร ถ้าเราช่วยท่านเมื่อไหร่ท่านก็คงกินเราเมื่อนั้นละสิ” “โธ่เราไม่ทำอย่างนั้นหรอกถ้าท่านช่วยเราได้ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณกับเราแล้วเราจะกินท่านได้อย่างไรเล่า”
 สุนัขจิ้งจอกได้ฟังท่านราชสีห์พูดอย่างนั้นก็ตะกุยช่วยขุดเลนด้วยเท้าทั้งสี่ทำให้เป็นรางทำให้น้ำไหล พอน้ำไหลเข้าไปทำให้เลนอ่อนมันจึงช่วยไปดึงท้องราชสีห์ขึ้นมาได้ “โอ้ยหิวก็หิวแทบไม่มีแรงเลยนะเนี่ย”
 ราชสีห์กระโดดขึ้นจากหลุมได้ก็ได้กระโดดไปอาบน้ำในสระ “ขอบใจท่านมากเราขอชำระล้างเนื้อตัวก่อนเถิดแล้วเดี๋ยวเราจะไปหาอาหารมาให้ท่านเอง” เมื่ออาบน้ำเสร็จราชสีห์ก็ขึ้นมาล่าควายป่ามาได้ตัวหนึ่งจากนั้นก็คาบเนื้อมาให้สุนัขจิ้งจอก
 “กินเนื้อนี้สิสหายท่านคงเหนื่อยจากการช่วยเราเมื่อตะกี้กินซะสิเนื้อควายป่านี้หวานมากเลยนะ” “ท่านกินให้อิ่มก่อนเถิดหากเหลือเราค่อยทานก็ได้ขอบใจท่านมากเลยนะถ้าอย่างนั้นเราขอเนื้อก้อนนี้ละกันนะภรรยากำลังรออาหารจากพวกเราอยู่”
 “ที่เหลือนี้ท่านก็ทานไปเถอะถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปพบภรรยาของท่านก่อนเถิดเราเองก็จะเอาเนื้อนี่ไปให้ภรรยาของเราเองเช่นกัน” “ได้สิภรรยาของเราคงดีใจที่ได้กินเนื้อควายป่าที่ท่านล่าให้” จากนั้นครอบครัวราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกก็ย้ายมาอยู่ใกล้กัน
  เวลาผ่านไปนางราชสีห์และนางสุนัขจิ้งจอกได้ลูกคนละ 2_ตัวราชสีห์ตัวผู้ให้ความใส่ใจครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมากคอยดูแลปกป้องภรรยาและลูกน้อยเป็นอย่างดี “นี่เนื้อกวางสดๆเลยนะเจ้าทานสิป่านนี้สามีเจ้ายังไม่กลับมาเลยเอาให้ลูกๆของเจ้ากินสิคงหิวกันแย่แล้วละ”
 “ขอบใจท่านนะท่านก็แบ่งภรรยาของท่านบ้างสิพวกเรากินไม่หมดหรอก” “ไม่เป็นไรพวกเจ้ากินกันก่อนเหลือแล้วเราค่อยเอาไปให้ภรรยาของเราก็ได้” "ทำไมนะราชสีห์สามีเราถึงได้รักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกของมันมากเหลือเกินดูสิเมียยังไม่ได้กินอะไรแท้ๆกลับเอาเนื้อพวกนั้นไปให้สุนัขจิ้งจอกกินหมด"
 “เฮ้อ..อย่างนี้แปลว่านอกใจใช่ไหม ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วต้องกำจัด" รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้ได้ออกไปล่าเหยื่อ ราชสีห์ตัวเมียก็คิดจะใช้โอกาสนี้ขับไล่สุนัขจิ้งจอกให้ไปอาศัยอยู่ไกลๆถ้ำของมัน
 “เฮ้อเจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้ารู้บ้างหรือเปล่าว่าการที่ครอบครัวของเจ้ามาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเราเนี่ยมันทำให้ครอบครัวของเราลำบากแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรอกเหรอ” “ฉันเนี่ยทนมานานละ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมสามีของฉันต้องทนดูแลครอบครัวของเธออยู่ได้เป็นภาระจริงๆเลย”
 “ถ้าครอบครัวของเราทำให้ท่านต้องลำบากถึงเพียงนี้เราก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นต้องขอโทษท่านด้วยละกันที่เรารบกวนท่านมานานพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางไปอยู่ให้ไกลพวกท่าน ท่านสบายใจเถอะนะ”
  “พี่จ๊ะเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันเถอะการที่เราอาศัยอยู่ใกล้กับครอบครัวราชสีห์นี้สร้างความลำบากแก่ครอบครัวของท่านราชสีห์มากเลยนะพี่จ๋า” “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนี้เล่า ท่านราชสีห์ไม่คิดอย่างนี้หรอก เขาเต็มใจที่จะดูแลปกป้องเราเจ้าก็รู้นี่นา" "ท่านราชสีห์อาจจะเต็มใจแต่ภรรยาของเขานี่สิเขาคงไม่ยินดีเท่าไหร่นักที่เราอาศัยใกล้อยู่แบบนี้”
 “เมื่อตอนกลางวันนางมาพูดกับน้องให้ไปอยู่ที่อื่น นางบอกว่าพวกเราทำให้ครอบครัวของเขาต้องลำบาก” “จริงรึเมื่อนางพูดเช่นนี้เราก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะพี่เองก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้แก่ใครเหมือนกัน พรุ่งนี้เช้าพี่จะพาพวกเจ้าย้ายไปอยู่ที่ท้ายป่าด้านโน้นตรงนั้นก็มีความอุดมสมบรูณ์พี่คิดว่าพวกเราคงอาศัยอยู่ที่นั่นได้ไม่ลำบากหรอก”
 รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้พาครอบครัวไปร่ำลากับราชสีห์ก่อนจะออกเดินทางย้ายไปอยู่ที่ป่า “นายข้าอยู่ที่นี่นานแล้วเราเกรงใจท่านและนางราชสีห์ยิ่งนักภรรยาของท่านได้ไล่ภรรยาของท่านแล้วเห็นทีข้าจะไปแล้วละ” “อะไรนะเมียของเราไล่เมียของท่านเหรอนางทำอย่างนี้ได้อย่างไรท่านเป็นผู้มีพระคุณของเราถ้าเราไม่ได้ท่านเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ท่านและครอบครัวของท่านอยู่ที่นี่ต่อไปเถิดเราจะอธิบายภรรยาของเราเอง”
 “น้องเอ๋ยเจ้าลำบากใจนักหรือที่ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเรา” “ใช่จ๊ะก็พี่ได้แต่ดูแลนางกับลูกๆเนื้อสดๆก็ให้นางกินก่อนแล้วข้ากับลูกถึงได้กินทีหลังน้องก็น้อยใจเหมือนกันนะ” “ถ้าไม่มีครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกพี่คงดูแลน้องกับลูกๆดีกว่านี้ น้องเอ๋ยฟังพี่ก่อนเถิดที่พี่ต้องดูแลครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกเป็นอย่างดีก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกนั้น ได้เคยช่วยชีวิตพี่ไว้หากไม่ได้ช่วยเขาไว้ในตอนนั้นวันนี้พี่ก็คงไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าอย่างนี้
เขาเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อครอบครัวเรา” “อ๋อยังนี้เองหรือน้องต้องขอโทษด้วยที่ทำอะไรโง่เขลาไป” “เจ้าคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้วไปขอโทษครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกกันเถิด” นางราชสีห์เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ได้ไปขอโทษสุนัขจิ้งจอก ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ทั้งหมดก็อยู่กันอย่างกลมเกลียวและเป็นมิตรรักของกันและกันมาโดยตลอด
 
    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศอริยสัตย์ทรงประชุมชาดก ในเมื่อจบอริยสัตย์ ภิกษุบางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสาทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์
 
สุนัขจิ้งจอก กำเนิดเป็น พระอานนท์
ราชสีห์ เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอบคุณ ที่มา http://www.dmc.tv/articles/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2015, 08:10:48 pm »

           สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา