ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสนาในหน้าเดียว (จะแนะนำให้รู้จักพุทธศาสนาได้อย่างไร)  (อ่าน 3183 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
พุทธศาสนาในหน้าเดียว (จะแนะนำให้รู้จักพุทธศาสนาได้อย่างไร)
จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๙๖


มักมีคนขอผมว่าช่วยหน่อย
อยากให้ญาติเชื้อเข้าใจพุทธศาสนาได้ ง่ายๆเร็วๆ
จะพูดอย่างไรดี
ผมจึงคิดเขียนพุทธศาสนาในหน้าเดียว ขึ้นมา
ความหมายคือ แนะนำให้คนที่ยังไม่รู้จักพุทธศาสนา
ได้รู้จักและเข้าใจพุทธศาสนา
ด้วยหน้า "จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว" ฉบับเดียว
(ถ้าเอาไปพิมพ์เป็นกระดาษ A4 คงหลายหน้า
แต่หากอ่านเอาจากเว็บ อย่างไรก็ต้องเป็นหนึ่งหน้าเท่านั้น)

เพื่อทราบว่าศาสนาหนึ่งๆจะพาคุณไป ได้ถึงไหน
ก็จำเป็นต้องทราบว่าศาสดาผู้ก่อตั้ง ศาสนานั้นๆปรารถนาสิ่งใด
ตลอดจนได้อะไรมาแล้วบ้าง
หากคุณเข้าใจ และเห็นโลกแบบที่พวกท่านเห็น
ตลอดจนได้อะไรในแบบที่พวกท่านได้มา
ก็เป็นอันจบ เนื่องจากทั้งหมดของศาสนา
ก็ไหลมาจากมุมมองและสิ่งที่พระศาสดา ได้มานั่นเอง

ในมุมมองของศาสดาเช่นพระพุทธเจ้า
เมื่อถามว่าชีวิตคืออะไร
พระองค์ท่านไม่ได้มองตอนคนเรามี ชีวิตปกติ
แต่ท่านทรงเห็นด้วยตาเปล่าครอบคลุม ตลอดสายว่า...

ทุกการเกิดฟ้องตัวเองว่าเป็นทุกข์
เพราะเด็กในโลกนี้เกิดมาพร้อมกับ เสียงร้องไห้ ไม่ใช่เสียงหัวเราะ
สภาพปรากฏใหม่แห่งกาย
นำมาซึ่งการเรียกร้องจากคนอื่นต่างๆ นานา
ทั้งการประคบประหงม การเฝ้าดูแลไม่คลาดสายตา
การเกิดมาของเด็กคนหนึ่ง
อาจเป็นความสมหวังหรือผิดหวังให้กับ คนอื่น
แต่สำหรับตัวเด็กเอง วันแรกของพวกเขา
เป็นการมาพร้อมกับความไม่รู้ว่ามา ทำไม

พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นอีกว่าหลัง จากใช้ชีวิตไป
ไม่ว่าเสพสุข ประสบความสำเร็จ หรือได้อะไรมาครอง
แม้ชีวิตปรากฏเป็นความรุ่งเรืองสุก สว่างปานไหน
ที่สุดแล้ว กายอันเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต
ย่อมเสื่อมสภาพลงเป็นธรรมดา
ทุกความแก่ชราฟ้องตัวเองว่าเป็น ทุกข์
เพราะไม่มีคนแก่ที่ไหนชอบสภาพเหี่ยว ย่นแห่งสังขารตน
สภาพเหี่ยวย่นทางกายนำมาซึ่งความห่อ เหี่ยวทางใจ
ไม่มีกำลังวังชา ไม่อยากเคลื่อนไหว
ถึงเวลาหนึ่งอาจจับอะไรมาถือไม่ถนัด เลยสักชิ้นเดียว
แม้ใจจะรู้สึกว่าตนได้ครอบครอง สมบัติเป็นล้านชิ้นอยู่ก็ตาม

พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นอีกว่า ระหว่างเส้นทางความเสื่อมลง
นับตั้งแต่เกิดมา ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปี
ทุกคนเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย
และไม่อาจหลีกเลี่ยงการเจ็บไข้ได้ ป่วย
เจ็บป่วยเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี ดูแลตัวเองไม่พอ
หรือกระทั่งจู่ๆร่างกายทรยศขึ้นมา เองแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทุกความเจ็บไข้ได้ป่วยฟ้องตัวเองว่า เป็นทุกข์
เพราะไม่มีคนป่วยที่ไหนอยากทนอยู่ กับสภาพเจ็บป่วย
สภาพเร่าร้อนกระสับกระส่ายทางกาย เป็นเรื่องน่าทรมานใจ
ทั้งโลกนี้มีแต่คนอยากหายป่วย ไม่มีใครอยากป่วยเล่นสนุกๆ
เมื่อกายเจ็บป่วยอึดอัด โลกทั้งใบย่อมน่าอึดอัดไปด้วย
แม้คนป่วยกำลังถือครองเกาะกลางทะเล
อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ปลอดโปร่งโล่งสบายอยู่ก็ตาม

พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นอีกว่าสุด ท้ายแล้ว
ไม่ว่าใครจะคิดว่าตัวเอง "มี" แค่ไหน
ในบั้นปลายก็พบความจริงว่าแต่ละคน "ไม่เคยมี" อะไรเลย
เพราะแม้กระทั่งร่างกายและจิตใจที่ ยึดว่าเป็นตน
เป็นของตนอย่างที่สุด ก็ต้องถึงกาลแตกสลาย
ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้
ทุกความตายฟ้องตัวเองว่าเป็นทุกข์
เพราะการตายเป็นจุดสิ้นสุดของการ ครอบครองชีวิต
และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่รู้ ครั้งสำคัญ
นั่นคือไม่รู้ว่าจะต้องไปมีทุกข์กับ การเกิดในรูปแบบใดอีก
ไม่รู้บาปเวรที่ก่อร่างสร้างมาทั้ง ชีวิต
จะออกหัวออกก้อยอย่างไรแน่
ตายแล้วสูญ หรือตายแล้วจะต้องไปรับกรรม ไม่รู้ทั้งนั้นเลย
สภาพการแตกดับทางกายเป็นเรื่องร้อน
ไม่เป็นที่น่ายินดีแก่ผู้รู้สึกว่า ฉันมีดี ข้ามีมาก
และไม่เป็นที่น่ายินดีแก่คนข้างหลัง ที่ยังรักกัน
หวังจะให้บุคคลอันเป็นที่รักอยู่กับ ตนตลอดไป
ด้วยเหตุนี้ ความตายของคนส่วนใหญ่
จึงบันดาลเสียงร้องไห้จากบุคคลอัน เป็นที่รัก
ให้ดังกระหึ่มยิ่งกว่าตอนเกิดคน เดียว ร้องคนเดียวมากนัก

สรุปคือพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา คนหนึ่ง
แต่มองต่างจากคนธรรมดา
ท่านไม่ตัดสินว่ามีชีวิตแล้วเป็นสุข ได้แค่ไหน
ควรเอาสาระอันเป็นสุขจากชีวิตนี้กัน อย่างไร
ทว่าท่านเล็งเห็นว่ากายใจอันเกิด แก่ เจ็บ ตายได้นี้
เป็นที่ตั้งของทุกข์
และระหว่างแห่งการตั้งอยู่ของก้อน ทุกข์
ใจก็ถูกหลอกให้รู้สึกว่าเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
ต่อเมื่อถูกกระตุ้นเตือนให้นึกถึง ภาพใหญ่ภาพรวม
ว่าชีวิตเริ่มต้นเป็นทุกข์ และมีจุดจบอันเป็นทุกข์
ภาพหลอกระหว่างการมีชีวิตทั้งหมดจึง ไร้ความหมาย
เหลือแต่ความจริงให้ยอมรับกับโจทย์ สำคัญให้ตีแตก

นั่นคือ เมื่อยอมจำนนสรุปว่ากายใจโดยรวมเป็นทุกข์
แล้วทำอย่างไรดี จึงรู้ได้ว่าเหตุแห่งการมีกายใจคืออะไร
ทำอย่างไรดี จะไม่ต้องเป็นทุกข์ทางใจอย่างถาวร
ทำอย่างไรดี จะแน่ใจว่าไม่ต้องเกิดมาเพื่อรอวันแตกดับอีก

เพื่อจะรู้ที่มาที่ไปของกายใจ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำความรู้จักกับ กายใจอันปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้
พระองค์เริ่มทำความรู้จัก
รับรู้ถึงการปรากฏของลมหายใจอย่าง ตรงไปตรงมา
เฝ้ารู้อยู่จนกระทั่งลมหายใจสงบ กายใจระงับความกวัดแกว่ง
กายใจปรากฏแสดงตัวต่อจิตที่แน่วนิ่ง สว่างรู้
พระองค์จึงเห็นว่ากายใจนี้ของท่าน
ได้สร้างเหตุการณ์อันเป็นบุญเป็น บาปอย่างไรไว้บ้าง
ย้อนไปจนถึงก่อนเกิดกรรมปัจจุบัน เมื่อครั้งยังแบเบาะ
และย้อนลึกลงไปได้อีกว่าก่อนแบเบาะ
มีอดีตกรรมเป็นเหตุอันสมควรอย่างไร จึงได้อัตภาพนี้มา

เมื่อทำความรู้จักกับชีวิตของตนเอง ว่ามี "ที่มา" อย่างไร
พระองค์ก็เล็งดูด้วยจิตที่แน่วนิ่ง สว่างรู้สูงขึ้นอีกชั้น
ว่าสัตว์ทั้งหลายมี "ที่ไป" อย่างไร ด้วยกรรมที่ทำๆอยู่
ท่านจึงทราบว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไป ตามกรรม
เพราะ คิดดี พูดดี ทำดีเป็นหลัก
จึงสะสมบุญไว้สว่างพอจะนำไปสู่แดน เกิดเป็นอันเป็นสุคติ
มีมนุษยโลกและเทวโลกเป็นอาทิ
และเพราะคิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายเป็นหลัก
จึงสะสมบาปไว้มืดพอจะนำไปสู่แดนเกิด อันเป็นทุคติ
มีโลกนรก โลกเดรัจฉาน และโลกเปรตเป็นที่สุด

แต่แม้การได้ไปเกิดในที่ดี ก็ไม่เป็นประกันความปลอดภัย
เพราะภพหรือสภาวะดีๆ แม้วิเศษแค่ไหน ก็มีอายุขัยจำกัด
หมดจากความเป็นเช่นนั้นแล้วก็ยังไป สู่ความเป็นอื่นได้

พระองค์ทรงพบด้วยพระญาณอันแจ่ม กระจ่างว่า
สัตว์ทั้งหลายก่อบุญก่อบาป
ก็ด้วยความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่มีใครเชื่อว่าบุญมีผล บาปมีผล
สักแต่เชื่อกันว่าควรทำอะไรเพื่อให้ ได้สิ่งที่ชอบใจเฉพาะหน้า
ความไม่รู้จึงเป็นสิ่งน่ากลัว
และยิ่งมองไม่เห็นภาพกว้างว่ากายใจ นี้
ต้องแตกดับไปสู่ความเป็นอื่น
ก็ยิ่งถือมั่นว่าเป็นของเรา เป็นตัวเราเรื่อยไป

กายใจในอดีตเคยมีอยู่ ก็ทึกทักว่านั่นเท่านั้นที่เป็นเรา
กายใจในอดีตแตกดับไป กลายมาเป็นกายใจปัจจุบัน
ก็ทึกทักใหม่ว่านี่เท่านั้นที่เป็น เรา
จึงวนติดเวียนตายอยู่กับความไม่รู้
ครั้งต่อครั้ง ชาติต่อชาติอยู่อย่างนี้เอง

กายใจนับเป็นเหยื่อล่อให้หลงยึดมั่น สำคัญผิด
ถ้าทำลายความสำคัญผิดในกายใจลงได้
ความยึดมั่นจะหายไป แล้วใจก็เป็นอิสระ
รู้จักรสอันเยี่ยมคือพระนิพพาน
เข้าถึงความเป็นอมตะคือพระนิพพาน
และทราบชัดว่าเหนือการเกิดตายมีจริง หนึ่งเดียวคือพระนิพพาน

แนวทางสำหรับพระองค์เอง
จบบริบูรณ์เมื่อจิตปล่อยการถือมั่น กายใจถึงที่สุด
พระองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ
เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดกิเลสด้วยองค์เอง
แต่หน้าที่เผื่อแผ่ประโยชน์สูงสุด ยังไม่จบแค่นั้น
เพราะอัตภาพสุดท้ายของพระองค์
บันดาลขึ้นจากกรรมเก่า
ที่ปรารถนารื้อถอนสัตว์ออกจากวังวน ทุกข์
พระองค์จึงต้องยอมเหนื่อยยากสถาปนา พระพุทธศาสนา
เพื่อประกาศความจริงแก่มนุษย์และ เทวดา
ว่ากายใจไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งไม่ได้
นั่นก็เพราะกายใจไม่ใช่ตัวตน
แล้วก็ไม่มีตัวตนให้หวังรอในที่ไหนๆ ด้วย


เพื่อให้สัตว์ผู้ควรแก่การโปรด
ได้สลัดหลุดจากความยึดมั่นถือมั่น ผิดๆ
พระพุทธเจ้าให้วิธีปฏิบัติอย่างเป็น ขั้นเป็นตอน
เริ่มจากให้เรียนรู้เกี่ยวกับกรรม และผลของกรรม
เพื่อให้รู้ความจริงว่า ชาตินี้ไม่ได้มีชาติเดียว แต่มีเป็นอนันตชาติ
และที่ต้องเกิดตายเป็นอนันตชาติ
ก็เป็นไปตามกรรมของแต่ละคนทั้งสิ้น
ไม่ได้มีใครคอยกลั่นแกล้งใครอยู่เลย
แล้วก็ไม่มีใครช่วยใครได้ด้วย อย่างมากที่สุดคือบอกต่อ
หรือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่กันและกัน เท่านั้น

พระองค์ชี้ให้เห็นว่าเทวโลกและพรหม โลกเป็นสุข ควรไป
แต่ไม่ควรเห็นว่าดีที่สุด
เพราะสุขยังไม่ทันอิ่มหนำ ก็อาจเป็นเหยื่อของมัจจุราชเสียก่อน
ไม่ต่างจากมนุษย์ทั้งหลาย
ดังนั้น ที่ควรเข้าให้ถึงกันถ้วนหน้า คือพระนิพพาน
เพราะเป็นของจริงแท้ มีอยู่คือมีอยู่อย่างนั้น ไม่แปรเป็นอื่น
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งหัตถ์ มัจจุราชอีกต่อไป

วิธีเข้าถึงพระนิพพานคือทำจิตให้คู่ ควรกับพระนิพพาน
นั่นคือหัดสละออกเสียบ้าง
ถ้ายังยึดมั่นหวงแหนตระหนี่ถี่ เหนียว
ย่อมสวนทางพระนิพพานอย่างไม่ต้อง สงสัย

และเมื่อหัดมีน้ำใจ สละออกได้
ก็ควรรักษาศีลให้สะอาด
เพราะศีลย่อมรักษาใจให้สะอาดตาม
พร้อมจะตั้งมั่นเห็นตามจริง
ไม่ใช่เห็นตามที่กิเลสหลอกให้เห็น

ที่สุด เมื่อใจสะอาด พร้อมตั้งมั่นรู้เห็นตามจริง
จึงควรแก่การเจริญสติ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเด่นในกายใจ
เช่น ลมหายใจกำลังแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้
อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กำลังแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้
ท่าทางขยับต่างๆ กำลังแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้
ทั้งกายนี้แออัดยัดทะนานด้วยความ เน่าเหม็นไม่น่าใคร่
ทั้งกายนี้ประกอบด้วยของแข็ง ของเหลว ความร้อน และลมพัดไหว
ทั้งกายนี้จะต้องเน่าเปื่อยผุพัง ย่อยสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
หาใช่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาอยู่ในกายนี้เลย

นอกจากนี้
ความสบายและความอึดอัด กำลังแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้
สภาพจิตใจสงบและฟุ้งซ่าน กำลังแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้
ภาวะอะไรๆทั้งหลายที่หยาบและละเอียด ทั้งหมดในกายใจ
ต่างก็แข่งกันแสดงความไม่เที่ยง ทนอยู่กับที่ไม่ได้ทุกขณะจิต
เมื่อดูอยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จิตจึงหลุดพ้น หมดความยึดมั่นสำคัญผิด
แทนที่ด้วยปัญญา เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตนให้ถือมั่นได้

นี่แหละครับ แก่นแท้อันเป็นจุดใหญ่ใจความของพระพุทธศาสนา
เมื่อย่นย่อลงเหลือเพียงหน้าเดียว ก็มีประมาณนี้แหละ
จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้มีขึ้น
เพียงเพื่อบอกว่านรกสวรรค์มีหรือไม่ มี ชาตินี้ชาติหน้ามีหรือไม่มี
กับทั้งไม่ได้สั่งให้ปล่อยวางดื้อๆ
แต่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น
เพื่อแจกแจงอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไป
ควรแก่การสดับฟัง เพื่อไม่ต้องพลาดประโยชน์ใหญ่แก่ตนเอง

คุณทำความรู้จักพระพุทธศาสนาได้ใน หน้าเดียว
ทว่าอาจต้องใช้ทั้งชีวิตนี้
ทำความรู้จักกับความจริง ที่พระพุทธศาสนาชี้บอก

แต่ละคนมีความสามารถในการยอมรับไม่ เท่ากัน
ทุกคนมีเวลาชาติหนึ่งในการเห็นความ ปรวนแปร
แต่ไม่ทุกคนที่ใช้เวลาชาติเดียว ในการยอมรับความแปรปรวน

จะอย่างไรก็ดีใจเถิดที่เป็นพุทธ
เพราะถ้าไม่เป็นพุทธ
โอกาสรอดจากทุกข์จริงก็ปิดตายชั่วนิ รันดร์

 

ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๓
จาก: "ธรรมะ ใกล้ตัว" dharma.at.hand@gmail.com



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2010, 12:25:03 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
วิธีเข้าถึงพระนิพพานคือทำจิตให้คู่ ควรกับพระนิพพาน
นั่นคือหัดสละออก เสียบ้าง
ถ้ายังยึดมั่นหวงแหนตระหนี่ถี่ เหนียว
ย่อมสวนทางพระนิพพาน อย่างไม่ต้อง สงสัย


ประทับใจ ประโยคนี้คร้า


 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง