ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง  (อ่าน 35700 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0
3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง


1. วชิราสูตร ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ 

วชิราสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตร ๔๑. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕

สัตว์นี้ ใครสร้าง ?
ปฏิจจสมุปบันธรรม เป็นผู้สร้างสัตว์ ตลอดจนสังขตธรรมทั้งปวง

ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน ?
ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา

สัตว์บังเกิดในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ที่เกิดขึ้นแห่ง ปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือเมื่อมีเหตุมาเป็นปัจจัยครบองค์

สัตว์ดับไปในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ซึ่งเป็นที่ดับไปแห่งปฏิจจสมุปบันธรรมหรือการดับไปแห่งเหตุปัจจัย  หรือหลักอิทัปปัจจยตา

สรุปวชิราสูตร

ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล ที่เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์  ศาสนาอื่นเรียกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า" หรือพระเจ้า


2. (อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55) ยืนยันว่า: "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" เป็นผู้สร้างโลกและจักวาล

นอกเหนือจากวชิราสูตร แล้ว   ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ก็ยืนยันว่า  สิ่งที่เป็นผู้สร้างเป็นสิ่งที่มีมาก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด คือ "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" 

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้นมีอยู่  ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”

ย้ำ!!!...  ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง (นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง(สรรพชีวิต,โลกและจักรวาล) ก็จะปรากฏไม่ได้

หรือ ถ้าไม่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้

ย้ำ!!!...  เพราะเหตุที่ มี ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง(นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”

หรือ เพราะเหตุที่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) ความเป็นไปของโลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงเกิดขึ้น


3. ที.ปา. 11/51/91

....ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "

คำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต =
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระพรหมสูงสุดที่เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง   พระพรหมสูงสุดที่เป็นพรหมกาย เป็นพรหมที่มนุษย์เทพพรหมทุกชั้นมองไม่เห็น จึงเรียกว่า " ธรรมภูต " หรือ " พรหมภูต "


สรุป 3 พระสูตร


 ธรรมธาตุ หรือ อสังขตธาตุ หรือ นิพพาน หรือพระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างโลก จักรวาล และสรรพสัตว์   หลวงตามหาบัวเทศน์ว่า "แล้วไม่สงสัยเสียด้วยที่ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่เราเคยคิดเมื่อไร มันเป็นแล้วนั่น ถึงพูดออกตามความเป็นแล้ว แล้วไม่สงสัยเสียด้วย นี่ล่ะธรรมแท้ ท่านเรียกธรรมธาตุ ที่ว่า ธรรมธาตุ ๆ ครอบโลกธาตุคือธรรมธาตุ

ธรรมธาตุครอบโลกธาตุ = นั่นแหละคือ พระนิพพาน/พระธรรม/อสังขตธาตุ สร้างโลกธาตุต่างๆขึ้นมา โดยทำให้สิ่งมายาที่เป็นอนัตตา มองดูเหมือนของจริง จนมนุษย์เราไปหลงไหลในสิ่งมายาเหล่านั้น
บันทึกการเข้า

utapati

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อันที่จริงที่ผมมานับถือพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่ เพื่อมารู้จักพระเจ้า หรืออะไรทั้งสิ้น เรื่องพวกนี้ผมไม่อยากรู้

ที่ผมอยากรู้จริง ผมจะสิ้นทุกข์ที่ปรากฏในตอนนี้อย่างไร ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็น

ทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ๆๆๆๆๆ ความโศรก ความร่ำไรรำพันความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้น

ใจทั้งหลาย ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ความประสบกับไม่เป็นที่พอใจ ทั้งหลายเหล่านี้คือเป้าหมายที่

ผมต้องการสิ้นไปในเบื้องต้น

  เพราะเรามักจะิคิดให้ความสำคัญมั่นหมายกับตัวเราว่า ไม่มีเราโลกนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีพระเจ้าจะเป็นอย่างไร

  ดังนั้นเพราะเราให้ความสำคัญดั่งนี้ ทุกข์ จริง ๆ ไม่ได้หมดไป คงแต่เที่ยว วิงวอน อ้อนวอน ขอพร ให้พระเจ้า

องค์นั้่นองค์นี้ ช่วยเหลือเมตตาให้ธรรมให้แสง แก่ข้าพเจ้า


  พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสไว้ว่า บุคคลจะก้าวล่วงพ้นทุกข์ เสียได้ด้วยความเพียร

   และที่สำคัญ พระองค์ทรงตรัสต่อไปว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน จงเตือนตนด้วยตนเอง

    เราเป็นแต่เพียงผู้บอก ทางนั้นเธอเป็นผู้เลือก

การสิ้นกิเลส เป็นเป้าหมาย ของผู้ประพฤติธรรม

    วัดผลกันที่ละสังโยชน์ ได้ 10 ประการ จึงเป็นพระอรหันต์

    ผู้เป็นสาวกภูมิ พึ่งปฏิบัติตามข้อภาวนา ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบวิธีการไว้ใ้ห้ คือ สมถะและวิปัสสนา

    ผู้ฝึกธรรมมีบารมีสั่งสมมาแตกต่างกัน

       บางคนปฏิบัติง่าย บรรลุธรรมง่าย

       บางคนปฏิบัติยาก บรรุธรรมง่าย

       บางคนปฏิบัติง่าย บรรลุธรรมยาก

       บางคนปฏิบัติยา่ก บรรลุธรรมยาก

       การเรียนโดย อรรถะ และ พยัญชนะ ไม่มีที่สิ้นสุด

      พระจูฬปันถก เรียน แ่ค่ ระโช หรณัง 2 ชั่วโมง บรรลุเป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทา

      แต่ท่านท่องหนังสือ 4 บรรทัด ถึง 3 เดือนกับท่องไม่ได้ พระมหาปันถกเป็นถึงพระอรหันต์ยังสอนไม่ได้

      พระสารีบุตร ผู้เิลิศด้วยปัญญา เป็นผู้บรรลุ พระโสดาบันก่อนใครในกลุ่ม แต่กับใช้เวลาถึง 15 วันถึง

      บรรลุเป็นพระอรหันต์

      ที่ชี้แจงตรงนี้ เพราะต้องการให้เห็นความสำคัญการภาวนา ไม่ใช่การเรียนปริยัติมาก มาย

     บัญญัติ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจบ ถ้าพยายามแสดงเรื่องบัญญัติ ก็หาข้อยุติไม่ได้

      ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ตถาคตก็ดี ไม่ได้ถึงได้เพราะการเรียนปริยัติ

     แต่หาก   ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ตถาคตก็ดี จักถึงได้ด้วยการภาวนา

     ภาวนาอย่างไร ภาวนาเริ่มที่เข้าใจ ชีวิต คือ อานาปานสติ เข้าถึง ชีวิต

     ในภายใน ในภายนอก ทั้งภายในและภายนอก เห็นความเสื่อมเป็นไปในภายใน เห็นความเสื่อมไปเป็นใน

    ภายนอก เห็นธรรมคือความเสื่อมไปทั้งภายในภายนอก

      วิธีเห็น ๆ อย่างไร ?

       
          ข้อความจากบรรทัดนี้ลงไปเป็นข้อความทีพระอาจารย์ ส่งมาเป็นโอวาทให้ผมหลายเดือนแล้วครับ

     เห็นว่ามีแนวทางการปฏิบัติภาวนาอยู่จึงขออนุญาตลงตรงส่วนนี้ ครับ
       


         เห็นในกายเป็นเบื้องต้น กายใคร กายของเรา

         เห็นอย่างไร เห็นว่ากายนี้ เป็นทุกข์ มีสมุทัยคือตัณหา ผู้สร้างภพ เห็นนิโรธ เป็นที่สุดแห่งการสิ้นภพ

    เห็นหนทาง อริยะมรรค มีองค์ 8 เป็นแนวทางปฏิบัติ

         เมื่อรู้ตัว ก็เห็นตัว เห็นความเกิดขึ้นในตน เห็นความตั้งอยู่ไปในตน เห็นความดับไปในตน
   
     ใจรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็ไม่ต้องไปเรียนอะไรให้มาก ให้วุ่น ทุกข์เกิดที่ไหน ดับที่นั้น

         สลัดและจางคลาย ซึ่งตนเสีย

        เมื่อตาเห็นรูป สักว่านั่นคือรูป อารมณ์ที่กระทบเพราะผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่

     ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่

     ตัวไม่ใช่ตนของเรา

        เมื่อหูฟังเสียง สักว่านั่นคือเสียง อารมณ์ที่กระทบเพราะผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่

     ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่

     ตัวไม่ใช่ตนของเรา


       เมื่อจมูกกระทบกับลิ้น สักว่านั่นคือกลิ่น อารมณ์ที่กระทบเพราะผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัว

   ไม่ใช่ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่

   ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา

     
        เืมื่อลิ้นกระทบกับรส สักว่านั่นคือรส อารมณ์ที่กระทบเพราะผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่

   ใช่ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่

   ตัวไม่ใช่ตนของเรา

       
        เมื่อกายกระทบกับสัมผัส สักว่านั่นคือการกระทบ อารมณ์ที่กระทบเพราะผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ

   เรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา
 
   ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา

        เมื่อใจกระทบกับอารมณ์ ทั้งที่เป็นอามิส และที่เป็นนิรามิศ ก็สักว่านั่นใจที่กระทบ  อารมณ์ที่กระทบเพราะ

   ผัสสะ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม ก็เป็น

   เพียงแต่สักว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา

        เมื่อจิตสงบรู้เห้นตามความเป็นจริง ก็จักเห็นชัดว่า กายก็ตาม เวทนาก็ตาม จิตก็ตาม ธรรมก็ตาม ล้วน

  แล้วอันบุคคลทั้งหลาย ไม่ควรเข้าไปยึดมั่น ถือมั่น ว่านั่นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา

   

     ดังนั้น การภาวนามีความสำคัญครับ การสนทนาแลกเปลี่ยนนั้นก็เป็นอัธยาศัยของกัลลยาณมิตรครับ

  แต่ถึงจะสนทนากันมากน้อยเพียงใด สาระอยู่ที่การภาวนา ครับ


      คำแผ่เมตตา เบื่องต้น นะครับ ( โปรดอย่ามอง เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น มาร เลยครับ )

      สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด

   อย่าได้มีเวร อย่าได้มีภัย อย่าได้ทุกข์กาย ทุกข์ใจ จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นเถิด

บันทึกการเข้า

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ร่วมกันแผ่เมตตาเพื่อ สันติภายใน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 06:53:18 am »
0
ขอบคุณ Utapati คะมาแสดงความเห็น สมกับเป็นผู้รักษาตนด้วยกรรมฐาน จริง ๆ

ร่วมแผ่เมตตา ด้วยอีกคนคะ

บทสวดแผ่เมตตา

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

คาถาแผ่ส่วนกุศล

อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข

อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข

อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ

 :25: :25: :25: :58:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2010, 06:58:44 am โดย หมวยจ้า »
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อันที่จริงผมนับถือพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่ เพื่อมารู้จักพระเจ้า หรืออะไรทั้งสิ้น เรื่องพวกนี้ผมไม่อยากรู้


ที่ชี้แจงตรงนี้ เพราะต้องการให้เห็นความสำคัญการภาวนา ไม่ใช่การเรียนปริยัติมากมาย

     

บัญญัติ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจบ ถ้าพยายามแสดงเรื่องบัญญัติ ก็หาข้อยุติไม่ได้

     

ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ตถาคตก็ดี ไม่ได้ถึงได้เพราะการเรียนปริยัติ

แต่หาก   ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ตถาคตก็ดี จักถึงได้ด้วยการภาวนา

   

       
เมื่อจิตสงบรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จักเห็นชัดว่า กายก็ตาม เวทนาก็ตาม จิตก็ตาม ธรรมก็ตาม ล้วน

แล้วอันบุคคลทั้งหลาย ไม่ควรเข้าไปยึดมั่น ถือมั่น ว่านั่นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา





     กายใจทุกข์ซ่านฟุ้ง          ศรัทธา
หลงพร่ำพระบิดา                หน่ายแท้
ใจรั้งเกี่ยวอัตตา                 ยากถก เพื่อนเฮย
หลงพร่ำอรรถความแก้       บ่ช้าฟั่นเฟือย.


                                                   ธรรมธวัช.!





   ร่ายอรรถ   ฟุ้งธรรม   ยากแท้
ความแก้   ยึดยือ   ตัวตน
พาลพร่ำ   ศรัทธา   ยากพ้น
หลงค้น   สัทธรรม   คลำไป.


                                           ธรรมธวัช.!




   ปริยัติ   สัทธรรม   ไม่มี
กายนี้   ใจนี้   เป็นธัมม์
ปฏิบัติ  ปัคคหะ   ศูนย์กัมม์
ใจนี้   เป็นคัมภิ์ร   ภาวนา.


                                          ธรรมธวัช.!
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2010, 12:31:35 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ทกท่านครับ รวมทั้งคริสตศาสนกชนด้วย


1. เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า?

องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ จิตมหาบริสุทธิ์  พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระธรรม สาเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า? แต่เพิ่มคำว่า "พุทธ"ไว้ตรงกลางด้วย = พระ(พุทธ)เจ้า  เพราะพระองค์ท่านรู้ว่า ไม่มีการสร้างอะไรด้วยอัตตาของจริงเลย 

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกอัดแน่น มีความเข้มข้ม ความถี่และคลื่นต่างระดับกันเท่านั้น  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และวิทยาการทางกายภาพของเรา ก็ก้าวหน้าไปได้แค่ขึ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร  จึงต้องใช้จิตเท่านั้น  แล้วคนที่จะมีจิตรู้ถึงขั้นนั้นอย่างน้อยต้องบรรลุอรหันต์ ผมจึงขอผ่านเรื่องนี้ไปก่อน

เอาเป็นว่า...ทุกสรรพสิ่งที่ท่านรู้เห็นรอบตัวท่าน  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ข้าวของ เงินทอง รถยนต์ ล้วนเป็นของปลอม ที่เกิดจากจิตของพวกท่านทำบุญกุศลเอาไว้ เลยต้องมีและได้สิ่งเหล่านี้  คนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศล  ก็ไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้สิ่งเหล่านี้  ความตายและคนทุกข์ยากต่างๆล้วนเกิดจากเขาเคยทำบาปหรืออกุศลเอาไว้  จิตของเขาจึงโดนหลอกหลอนให้คิดปรุงแต่งว่า มีการเสียทรัพย์ เสียแขนขา ฯลฯ ซึ่งเป็นของเขา

พูดง่ายๆ...พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึกของท่าน  ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของคนอื่นๆ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ต

สรุป

คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า เพราะเขาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นของจริงของแท้  แต่คนที่รู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สิ่งมายาเกิดจากกรรม จะเรียก "พระเจ้า ว่า พระพุทธเจ้า"

บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อย่ามั่วแปล พระนามของพระพุทธเจ้า แปลว่า พระเจ้า
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 01:40:17 pm »
0
หลักการ มั่วแล้ว

   คัมภีร์ ของพุทธ
   
   อิติปิโส เพราะเหตุอย่างนี้

   ตะถาคะโต ผู้เป็นเช่นนั้นเอง

   อะระหัง  เ้ป็นผู้ไกลจากกิเลส

   สัมมาสัมพุทโธ  เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

  วิชชาจะระณะสัมปันโน  เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจะระณะ
   
   สุคะโต  เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
   
  โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
   
  อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระุถิ เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษไม่มีใครยิ่งกว่า

  สัตถาเทวะมะนุสสานัง  เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์
 
  พุทโธ  ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
 
  ภะคะวาติ  เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้

  พรหมกาโย กายแห่งพรหม

  ธัมมะกาโย   กายแห่งธรรม

  เป็นต้น ไม่มีคำไหนแปลว่า พระเจ้า

   

  ส่วนคัมภีร์ ของคริสต์

   God แปลว่าพระเจ้า

  คุณเอาคำไทย ไปมั่วให้เป็นคำเดียวกัน







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2010, 01:52:43 pm โดย lastman »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
หลักการ มั่วแล้ว

   คัมภีร์ ของพุทธ
   อิติปิโส เพราะเหตุอย่างนี้
   ตะถาคะโต ผู้เป็นเช่นนั้นเอง
   อะระหัง  เ้ป็นผู้ไกลจากกิเลส
   สัมมาสัมพุทโธ  เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
   วิชชาจะระณะสัมปันโน  เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจะระณะ
   สุคะโต  เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
   โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
   อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระุถิ เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษไม่มีใครยิ่งกว่า
   สัตถาเทวะมะนุสสานัง  เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์
   พุทโธ  ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
   ภะคะวาติ  เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้
   พรหมกาโย กายแห่งพรหม
   ธัมมะกาโย   กายแห่งธรรม


  เป็นต้น ไม่มีคำไหนแปลว่า พระเจ้า

   ส่วนคัมภีร์ ของคริสต์
   God แปลว่าพระเจ้า
   คุณเอาคำไทย ไปมั่วให้เป็นคำเดียวกัน


....................  พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทคำสอนของศาสนาพราหมณ์เลยว่า ไม่มีพระเจ้า  และคำว่า พรหม ก็แปลว่า พระเจ้า  พระพุทธเจ้ากลับยืนยันด้วยว่า กายแห่งพรหม คือ พรหมกาย พรหมภูต ธรรมกาย ธรรมภูต  แล้วพระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่า ท่านเป็นผู้นั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2010, 06:34:47 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
มั่วอีกครั้ง พระพรหม แปลก็ผิด
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 03:13:31 pm »
0
อ้างถึง
...................

ทำไมพระเมตตรัย พูดจาหยาบคายจัง


พระพรหม  ไม่ได้แปลว่า พระเจ้า เขาแปลว่า พระผู้สร้าง

มั่วอีกแล้ว

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2010, 06:36:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
Re: มั่วอีกครั้ง พระพรหม แปลก็ผิด
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 03:27:53 pm »
0
อ้างถึง
....................

ทำไมพระเมตตรัย พูดจาหยาบคายจัง


พระพรหม  ไม่ได้แปลว่า พระเจ้า เขาแปลว่า พระผู้สร้าง

มั่วอีกแล้ว


............................... โดยใช้คำพูดว่า  "พระพรหม  ไม่ได้แปลว่า พระเจ้า เขาแปลว่า พระผู้สร้าง"    เหนื่อยจริงๆกับคนพวกนี้  กวนบาทามา ก็กวนบาทากลับไป  แต่ผมให้ความรู้ไปด้วย  เมื่อเลิกกวนบาทามาหาความรู้เมื่อไร  เขาจะได้ความรู้กลับไป 

ฟรีออนไลน์พจนานุกรม [พระพรหม]

พระพรหม N. Brahma
    def:[ชื่อพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกตามศาสนาพราหมณ์]
 พรหม N. Brahma
    def:[ชื่อพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกตามศาสนาพราหมณ์, เทพในพรหมโลก จำพวกมีรูป เรียก รูปพรหม]
    syn:{พระพรหม}
    sample:[ความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าพระพรหมคือผู้สร้างโลก]
 

 ที.ปา. 11/51/91

....ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "

คำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต =
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระพรหมสูงสุดที่เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง   พระพรหมสูงสุดที่เป็นพรหมกาย เป็นพรหมที่มนุษย์เทพพรหมทุกชั้นมองไม่เห็น จึงเรียกว่า " ธรรมภูต " หรือ " พรหมภูต "
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2010, 06:43:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
กวนบาทามา ก็กวนบาทากลับไป

คุณนำเสนอเรื่อง ผมเป็นผู้แย้ง มันมีโทษด้วยหรือ เพื่อแก้ความสงสัย

ถึงกับกล่าวว่า กวนบาทา กันเลยหรือครับ ( วัน ๆ หนึ่งคุณคงไมคิดในทางที่ดีบ้างหรือครับ )

เมื่อผู้ถาม ๆ ข้อสงสัย คุณให้ความรู้ก็น่าจะพอ นะครับ

เพราะคำพูดผม ไม่ได้ล่วงเกิน หรือ ไม่ได้ให้เกรียติ คุณ

อีกอย่างการที่ผมถาม คุณ ก็มีเรื่องที่จะตอบ ก็เป็นไปตามเป้าประสงค์ของกระทู้ คุณจะตอบไม่ตอบก็ได้

ผมกำลังพิจารณาคุณธรรมพื้นฐานของคุณอยู่ ผู้ที่กล่าวอ้างอวดอ้างบรรลุธรรมอย่างโน้น อย่างนี้กล่าวคนนั้น

คนนี้เป็นมาร เป็นจอมมาร

จะทำงานใหญ่ ก็ต้องเหนื่อยบ้าง ทำเพื่อคนทั้งโลก แค่นี้ก็รำคาญ ไปได้

อีกอย่างคุณตอบให้ผมทราบ คนอื่นเขาก็อ่านนะครับ เผื่อแผ่ด้วย

ที่นี้ พรหมที่คุณอ้างมานั้นเป็นแบบ พราหมณ์ ครับ ไม่ใช่ พุทธ

ใน พุทธ พรหม ก็คือคือผู้ วิหารธรรม 4 ประการ คือ

   เมตตา

   กรุณา

   มุทิตา

   อุเปกขา

  พรหม ในพุทธ หมายถึง ผู้ที่ได้ สมาบัติ 4 5 และ 8

  พรหม ในพุุทธ หมายถึง พระอนาคามี ในสุทธาวาส 5

  แต่ พรหม ทั้งหมดนั้นไม่ใช่พระเจ้า พรหม ก็คือ พรหม พรหม มีองค์เดียวหรือครับ

  ถ้าคุณปฏิบัติธรรม ในคุณธรรมทั้งหมดนั้น ก็ชื่อว่า พรหม แต่ พรหม ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ พระเจ้า

 ย้ำไม่ใช่ พระเจ้า


  พระพุทธเจ้า บรรลุเป็น พระพุทธเจ้าหลังมีพรหม อีกครับ


  ดังนั้น คุณจะแปลว่า พระพุทธเจ้า คือ พระเจ้า นั้นไม่ถูกครับ


 
พรหมกาโย ไม่ได้แปลว่า พระพรหมผู้สร้าง

  พระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นผู้สร้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2010, 04:09:31 pm โดย lastman »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณlastman ครับ


 
  พรหม ในพุทธ หมายถึง ผู้ที่ได้ สมาบัติ 4 5 และ 8

  พรหม ในพุุทธ หมายถึง พระอนาคามี ในสุทธาวาส 5

  แต่ พรหม ทั้งหมดนั้นไม่ใช่พระเจ้า พรหม ก็คือ พรหม พรหม มีองค์เดียวหรือครับ

ตอบ

1. พรหม ที่เป็นพระเจ้า ในศาสนาพราหมณ์ต้องมีคุณสมบัติอะไรล่ะครับ ต้องเป็นอมตะ เที่ยง เล็เห็นทุกอย่าง(สัพพัญญู)  ด้วยเหตุนี้ พรหมผู้ที่ได้ สมาบัติ 4 5 และ 8 จึงผิดคุณสมบัตินี้  เพราะพรหมที่มีอายุยืนที่สุดคือ อรูปพรหม  แต่ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น ไม่ใช่อมตะ

2. พระพุทธเจ้าเรียกอรูปพรหมที่มีอายุ 84,000 มหากัปว่า "นิพพานโลกีย์" และ  "โลกียะพรหม" และเรียกพรหมที่เป็นอมตะว่า  "โลกุตตรนิพพาน" หรือ"นิพพานพรหม"  ทรงบอกวิธีการไว้ด้วยว่า ต้องดับวิญญาณก็จะเป็นพระนิพพานโลกุตระ

"ดูกรอานนท์  ผู้ที่หลงขึ้นไปอยู่ในอรูปพรหมแล้ว  แลจักได้ถึงโลกกุตตรนิพพานนั้น  ช้านานยิ่งนัก  เพราะว่าอายุของอรูปพรหมนั้นยืนนัก  จะนับว่าเท่านั้นเท่านี้มิอาจนับได้  จึงชื่อว่านิพพานโลกีย์  ต่างกันแต่มิได้ดับวิญญาณเท่านั้น  ถ้าหากดับวิญญาณก็เป็นพระนิพพานโลกุตระได้"

"ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะปรารถนานิพพานพรหม  ไม่มีเลยย่อมมุ่งต่อโลกุตตรนิพพานด้วยกันทั้งนั้น  แต่ไม่รู้จักปล่อยวางวิญญาณ  จึงหลงไปเกิดเป็นอรูปพรหม  ส่วนโลกุตตรนิพพานนั้นปราศจากวิญญาณ  วิญญาณยังมีที่ใด  ความเกิดแก่เจ็บตายก็มีอยู่ในที่นั้น  โลกุตตรนิพพานปราศจากวิญญาณ  จึงไม่มีเกิด  ไม่มีแก่  ไม่มีเจ็บ  ไม่มีตาย"

3. อย่างไรก็ตาม ดับวิญญาณที่พระพุทธองค์ตรัสถึงในพระไตรปิฎก = ดับจิต(สังขาร)  ไมได้ดับจิตประภัสสรแต่อย่างใด  แต่เรื่องนีเป็นเรื่องใหญ่ ต้องแยกกระทู้อีกไปถกกันในวลาอื่น

4. ในที่นี้ เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า พรหมพระอนาคามี ในสุทธาวาส  ก็ยังเป็น"โลกียะพรหม" อยู่  จึงไม่เป็นอมตะ  มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเป็นอมตะ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

5. แต่พระอรหันต์ทั่วไปก็ไม่ได้เป็นสัพพัญญู มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงเป็นสัพพัญญู

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2010, 05:09:09 pm โดย tuenum »
บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่

ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร ?

ตอบ 

เทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน = พระวิสุทธิเทพ หรือพระอรหันต์
อธิบาย : เทพในทางพุทธศาสนาเถรวาทมี 4 ประเภท 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ 4. เทวาติเทพ
อันหมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท

คือ

1. พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น  พระศรีศากยะมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
2. พระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. พระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

เทพในขั้น 3 ที่เรียกพระวิสุทธเทพ และในขั้น 4 ที่เรียกเทวาดิเทพ = พระอรหันต์ พวกท่านล้วนเป็นอมตะ จากพุทธดำรัสที่ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ  ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ส่วน 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ เป็นเทพที่ไม่เป็นอมตะ  แม้แต่อรูปพรหมที่มีอายุยืนที่สุดในหมู่เทพ  ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัป ก็ต้องจุติ(ตาย)  ในสีหสูตร ขันธ. สํ. (๑๕๕, ๑๕๖) พระพุทธองค์จึงตรัสว่า:

"แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน"

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงเป็นเหล่าเทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า"  แต่ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล พระพุทธองค์จึงเรียกพระพุทธเจ้าว่า "พุทธะ" และบรรดาสาวกว่า "อนุพุทธะ"

พราหมณ์ ! ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็น "พุทธะ" ดังนี้เถิด  บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๙/๓๖.
บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0


 ย้ำไม่ใช่ พระเจพระพุทธเจ้า คือ พระเจ้า นั้นไม่ถูกครับ


 
[size=]พรหมกาโย ไม่ได้แปลว่า พระพรหมผู้สร้าง

  พระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นผู้สร้าง
[/size]


พระพุทธเจ้าที่เป็นกายเนื้อไม่ใช่พระพุทธเจ้าผู้สร้างคับ  แต่ธรรมกายข้างในที่เป็นพระธรรมเป็นผู้สร้างครับ  ตัวคุณเองก็มีธรรมกายหรืออายตนะนิพพาน ซึ่งเป็นผู้สร้างอยู่  แต่คุณไม่รู้  เพราะความสกปรกของจิตสังขารคุณ  ปิดบังจิตปภัสสรหรือนิพพานจิตของคุณเอาไว้

จิต+กิเลส(อวิชชา) = จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท

ละกิเลส(อวิชชา)ได้ เหลือแค่ จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง
บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ปภัสสะระ มิทธัีง ภิกขะเว จิตตัง ภาเวถะ

 ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย จิตของคนเป็น ปภัสสร

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

 กรุณาขยายความว่า ปภัสสร หน่อยครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ที่ คุณเทียบว่าคือ นิพพาน
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ปภัสสะระ มิทธัีง ภิกขะเว จิตตัง ภาเวถะ

 ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย จิตของคนเป็น ปภัสสร

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

 กรุณาขยายความว่า ปภัสสร หน่อยครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ที่ คุณเทียบว่าคือ นิพพาน


คุณตามผมมา  ในทุกขณะ ก็ดูที่จิตของคุณขณะนั้นไปด้วย  แล้วคุณจะรู้  จิตคุณตอนนี้สกปรกเพราะกิเลสตัณหาทิฏฐิฯลฯ มันมาบดบัง แต่เดิมจิตคุณนั้นหาได้สกปรกไม่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา”

มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ = ก็เอาผงซักฟอกความสกปรกออกไปจากจิต ภวังค์จิตมันก็จะค่อยๆขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเอง 

ผงซักฟอก ในทางพุทธศาสนา คือ สมถะ(สมาธิ)+วิปัสสนา

จิตปภัสสร, จิตนี้ผุดผ่อง

อรรถว่า ปภัสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์. บทว่า จิตฺตํ
ได้แก่ ภวังคจิต

 จิตปภัสสร =  จิตนี้แต่เดิมเป็นจิตบริสุทธิ์ คือ ภวังคจิตมันบริสุทธิ์.  จิตนี้ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปภัสสร.

ภวังคจิต แม้จะบริสุทธิ์ตามปกติ ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

สรุป

จิตปภัสสร = ภวังคจิตบริสุทธิ์ = ภวังคจิต ไม่มีโลภะ โทสะ และโมหะ = นิพพานธาตุ(จิต) นี่แหละที่ผมบอกว่า

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือ ไม่เกิดขึ้น ก็ตาม "ธาตุนั้นก็ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว" (ฐิตา ว สา ธาตุ) ธาตุนั้นคือ "จิต"  ถ้าไม่บริสุทธิ์ = จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท  ถ้าจิตนั้นบริสุทธิ์ เป็นปภัสสร  สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ  พระพุทธองค์เรียกมันในชื่อต่างๆกัน เช่น จิตหลุดพ้น จิตพ้นวิเศษ นิพพานจิต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2010, 11:45:51 am โดย tuenum »
บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
คุณตามผมมา  ในทุกขณะ ก็ดูที่จิตของคุณขณะนั้นไปด้วย  แล้วคุณจะรู้  จิตคุณตอนนี้สกปรกเพราะกิเลสตัณหาทิฏฐิฯลฯ มันมาบดบัง แต่เดิมจิตคุณนั้นหาได้สกปรกไม่

 เมื่อบรรยายผิด ให้ความหมายผิด ก็ต้องทักท้วง ส่วนจิตผมจะสะอาด หรือ สกปรก มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผม

คุณไม่ต้องมาเดือดร้อนอะไรกับผมหรอกครับ คุณมาำทำหน้าที่ตอบในสิ่งที่ผมถาม คุณไม่ตอบก็ได้ ผมยังไม่ได้

กล่าวว่าอะไรคุณสักคำ และผมก็ไม่เตือนคุณด้วย เพราะผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของปุจฉา และ วิสัสชนา

มาสนทนาธรรม เป็นเพื่อนแล้ว ก็อย่า วอแว ให้มาก ถือว่าเป็นการขัดเกลา กิเลสไปด้วยในตัวนะครับ

 
อ้างถึง
จิตปภัสสร = ภวังคจิตบริสุทธิ์ = ภวังคจิต ไม่มีโลภะ โทสะ และโมหะ = นิพพานธาตุ(จิต) นี่แหละที่ผมบอกว่า

   ปภัสสร แปลว่า ประภัสสร ไม่ได้แปลว่า จิตที่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิต เป็น ประภัสสร ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์

   ปภัสสร มาจาก สนธิศัพท์ สอง คำ คือว่า ปภา + ภัสสะระ  =ปภัสสะระ แปลว่า จิตที่สร้านออก

   
   ปภัสสร ถ้าจะแปลต้องแปล่า ยกศัพท์ จิตตัง อันว่า จิต ปภัสสะระ สร้านออกแล้ว หรือ แปลโดยอรรถว่า

      จิต ที่สร้านออก 

   สร้านออก ด้วยอะไร   ด้วย ราคะ ด้วย โทสะ ด้วย โมหะ  ดังนั้นจิตของคนเป็น ปภัสสร อย่างนี้

  จิต ที่ประภัสสร ไม่ใช่ แปลว่า จิตที่บริสุทธิ์ หรือ จิต ที่เป็นนิพพาน


   เพราะอะไร ?

   สมมุติ เด็ก เกิดมาในวันแรก ก็ถือว่า จิต ประภัสสร แล้ว แม้ตายในขณะนั้น ถามว่า ต้อง จุติ อีกหรือ ไม่

  คำตอบก็คือ ต้องจุติ อีก เพราะยังไม่นิพพาน

  ขอให้เข้าใจ ด้วย ว่าการแสดงธรรม รู้ธรรมของคุณ ยังไม่ถูกต้อง

   ผู้บรรลุธรรม ไม่ได้มีคุณเพียงผู้เดียว


  ดังนั้นอย่าให้ความหมาย ว่า จิตประภัสสร เป็น จิตนิพพาน อีก หรือ เทียบว่า

   ปภัสสะระ จิตตัง = นิพพานัง ( แปล และ ให้ความหมาย ไม่ถูก )

  ย้ำ จิตปภัสสร  ไม่ใช่ จิตนิพพาน







   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2010, 12:15:10 pm โดย lastman »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณlastman ครับ


คุณก็แสดงความเห็นของคุณไป   ผมก็แสดงความเห็นของผม   คุณจะแปลว่า จิตปภัสสร เป็นจิต ที่สร้านออก  ก็เป็นเรื่องของคุณ  เหมือนที่คุณโมเมว่า พรหม ทั้งหมดนั้นไม่ใช่พระเจ้า  โดยไม่มีความรู้เลย  พอโดนผมแย้งก็หงายผึ่ง ขอทบทวนอีกที

1. พรหม ที่เป็นพระเจ้า ในศาสนาพราหมณ์ต้องมีคุณสมบัติอะไรล่ะครับ ต้องเป็นอมตะ เที่ยง เล็งเห็นทุกอย่าง(สัพพัญญู)  ด้วยเหตุนี้ พรหมผู้ที่ได้ สมาบัติ 4 5 และ 8 จึงผิดคุณสมบัตินี้  เพราะพรหมที่มีอายุยืนที่สุดคือ อรูปพรหม  แต่ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น ไม่ใช่อมตะ

2. พระพุทธเจ้าเรียกอรูปพรหมที่มีอายุ 84,000 มหากัปว่า "นิพพานโลกีย์" และ  "โลกียะพรหม" และเรียกพรหมที่เป็นอมตะว่า  "โลกุตตรนิพพาน" หรือ"นิพพานพรหม"

3.  แล้วพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู และเป็นอมตะ และเป็นผู้สร้าง  แต่กายเนื้อนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "

ศาสนาอื่นเขาเรียกคนที่มีอำนาจเหนือเทวโลกว่า "พระเจ้า"

พระสูตรนี้ยิ่งชัดเจนใหญ่  เพราะแสดงว่า พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เกิดจากพระธรรม พระองค์เป็นพรหม (พรหมกาย, พรหมภูต) เป็นธรรมกาย เป็นธรรมภูต

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91)
บันทึกการเข้า

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ดิฉัน อ่านข้อความมาตั้งแต่ต้น อ่านแล้ว หลายรอบ กับชื่นชมในความเป็นผู้แสดงธรรม

ของคุณ Lastman มากกว่า เพราะแสดงถึงจิต ที่อนุเคราะห์ จริง ๆ ไม่มีการกระทบกระเทียบ

และสมบูรณ์ ด้วย อรรถ และ พยัญชนะ

  ส่วนข้อความของคุณ Tuenum ค่อนข้่างจะขาดหลักการ พยายามใช้คำพูดว่า

    พระพุทธเจ้า แปลว่า และ คือ และ หมายความ ว่า พระเจ้า

  พวกเราอ่านกันมา รวมถึงกลุ่มปฏิบัติธรรม เกือบร้อย ยังไม่เห็นการที่ อธิบาย ของคุณสมบูรณ์ เพียงแค่

 จะนำ พระพุทธเจ้า เป็น พระเจ้า เท่านั้น !

   จุดประสงค์ เพื่อความ ศรัทธา และ อ้อนวอน อีกอย่างพอมีคนแย้งความคิด ก็ใช้วาจา ติเตียน ยวนภาษา

ทั้งยังกล่าวว่าไม่ได้ปฏิบัติ เป็นมาร เป็นต้น ( ก็เห็นมีคุณอยู่เพียงคนเดียวที่ทำอย่างนี้ )

 
อ้างถึง
พอโดนผมแย้งก็หงายผึ่ง

  ดิฉันอ่านข้อความ แล้ว ไม่ได้คิดว่า คุณ Lastman หงายเลย เป็น คุณแหละที่หงาย

  อยาลืม พระพุทธเจ้า ทรงประกาศธรรม


    งามในเบื้องต้น   งามในท่ามกลาง  และ งามในที่สุด




อ้างถึง
คุณจะแปลว่า จิตปภัสสร เป็นจิต ที่สร้านออก  ก็เป็นเรื่องของคุณ

ดิฉัน ว่าคุณ จนกับคำตอบแล้ว เรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่บรรดา ผู้ที่แปลบาลีทุกคน ๆ เขาก็แปลกันอย่างนี้ อีกอย่างความ

หมายก็ไม่ิผิด


   เพราะอะไร เพราะหากแปลยังคุณ ว่า จิตประำภัสสร นั้นเป็นจิตที่บริสุทธิ์ คือ จิตนิพพาน

   ดังนั้นเด็ก เกิดมาวันแรก ก็มีจิต เป็นประำภัสสร ก็หมายความ เด็กเกิดมา ก็ิเป็นจิตนิพพาน

   ถ้าเป็น ดังนั้น เด็ก ก็เป็น พระอรหันต์ ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก


 คนที่หงา่ย ตามความเห็นดิฉัน ไม่ใช่คุณ Lastman แต่เป็น คุณ Tuenum 
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

ปอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 119
  • จิตที่ฝึกดีแ้ล้ว ย่อมนำสุขมาให้
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว ก็เห็นด้วย ครับ คุณ tumnum หงาย

 :25:
บันทึกการเข้า

ลูกคิด

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
อ่านแล้ว ก็เห็นด้วย ครับ คุณ tumnum หงาย

แ่ต่ เดี๋ยวโดนกล่าวว่าเป็นพวกมาร อีก

 :25:
บันทึกการเข้า

ประสิทธิ์

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +14/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 639
  • จิตว่าง ก็เป็นสุข
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนอ่าน เขาเข้าใจ ดีครับ ว่าอะไร เป็นอะไร ?  :13:

คุณ Lastman ครับผมชื่นชม กับคำตอบและ แย้ง ของคุณจริง ๆ
 :25:
บันทึกการเข้า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

:;

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ภาวนา เป็นเครื่องพิสูจน์ ธรรม

 :bedtime2: มอบด้วยธรรม ก็หมดและจบ

 :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

ยอดชาย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 96
  • ยอดชายแท้ ก็คือยอดมนุษย์
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เห็นด้วยว่า คุณ lastman ให้เหตุผล ชัดกว่ามาก

 :25:
บันทึกการเข้า
ลูกผู้ชายนักสู้

เจมส์บอนด์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 186
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สะใจ สะใจ พวกเราต้องโดนกล่าวหาว่า เป็นมารแน่เลย

แต่เหตุผล มันก็ชัดเจนจริง ๆ
 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ps2 psx nds n64 rom nes play1 play2 gamepc xbox wii castlevania finalfantasy nds ps1 sega
ผมชอบเล่นเกมส์ แต่ ก็แบ่งเวลานั่ง กรรมฐาน ครับ คนรุ่นใหม่ไม่กลัวกรรมฐาน

ประสิทธิ์

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +14/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 639
  • จิตว่าง ก็เป็นสุข
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมเองเรียน บาลีมาตรง ๆ ถึง เปรียญ 5

 ขอชื่นชมกับ คุณ Lastman จริง ๆ ว่าแปลรักษาถูกตามข้อความศัพท์

  แต่ทำไม หลักการแปลก็มี อยู่อย่างนี้ มีคนกล่าวว่า อยากจะแปลอย่างนี้ ก็แปลไป ตกลง มีการบัญญัติ

  คำแปลใหม่อีก
 :25:
บันทึกการเข้า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

:;

บุญสม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คงนึกว่า คนทุกคนโง่ กระมัง หรือ ไม่ก็เป็น มารทั้งโลก มีผู้บรรลุธรรม คนเดียวหรือในโลกนี้

อ่านแล้ว เข้าใจมากขึ้น จริง ๆ คุณ Lastman เอาใจช่วยครับ ( ถ้ามารเข้าใจธรรมได้ขนาดนี้ สุดยอด )

 :25:
บันทึกการเข้า

วรรณา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 158
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หนู เรียน ม6 อ่านแล้ว รู้สึกได้เลยว่า การแสดงธรรมของคุณ Lastman ดีกว่ามาก ๆ เลยคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

เฉินหลง

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 153
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเห็นคนร่วมโพสต์ ซึ่ง นาน ๆ จะเห็น สักครั้ง ฉลาองครบปี

ผมเห็นด้วยกับ คุณ lastman แสดงธรรมได้ดีจริง ๆ

 :25:
บันทึกการเข้า

สาวิตรี

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +6/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 148
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สติ คือการระลึกได้

สัมปชัญญะ คือการรู้ตัว

หิริ ละอายแก่บาป

โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อบาป

  ดังนั้น ข้าพเจ้า สนับสนุน ผู้แสดงธรรมที่ดี

   คุณ lastman ถึงจะพิมพ์ไม่มาก แต่ ข้อ อรรถ และ พยัญชนะ สมบูรณ์ จริง ๆ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

มานพ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ธรรมะของแท้ ไม่ต้องกลัวครับ ผมมาสนับสนุน คุณ Lastman ครับ
บันทึกการเข้า

มะยม

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 74
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สรุปได้อย่างไร ว่าคุณ Lastman หงาย ทีดิฉันอ่านมาทั้งหมด เห็นเป็นเป็น คุณ Tuenum หงาย นะนี่

อ่านมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
 :25:
บันทึกการเข้า

บุญสม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่้านแล้ว ก็รู้มุมมองคุณ tuenum มาก คุณจะเพื่อชาวโลก ได้อย่างไร เมื่อข้อความที่คุณแสดง

ขาด อรรถ และ พยัญชนะ ที่ถูกต้อง คุณใช้สมมุติ ไม่ถูกกับเรื่อง พยายามทำเพื่ออะไร

และขอขอบคุณ Lastman ที่แสดงธรรม ได้ดีจริง ๆครับ
บันทึกการเข้า

ลำใย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 83
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
อ่้านแล้ว ก็รู้มุมมองคุณ tuenum มาก คุณจะเพื่อชาวโลก ได้อย่างไร เมื่อข้อความที่คุณแสดง

ขาด อรรถ และ พยัญชนะ ที่ถูกต้อง คุณใช้สมมุติ ไม่ถูกกับเรื่อง พยายามทำเพื่ออะไร

และขอขอบคุณ Lastman ที่แสดงธรรม ได้ดีจริง ๆครับ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

เมตตา

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 91
  • ขอให้ทุกชีวิต จงเป็นแต่ผู้มีความสุข เถิด
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทุกคนประกอบด้วย เมตตา ด้วยนะคะ

 ขอให้สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แ่ก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด

  อนุโมทนากับ คุณ Lastman ด้วยคะ

 :25:
บันทึกการเข้า

สายฟ้า

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
กายใจทุกข์ซ่านฟุ้ง          ศรัทธา
หลงพร่ำพระบิดา                หน่ายแท้
ใจรั้งเกี่ยวอัตตา                 ยากถก เพื่อนเฮย
หลงพร่ำอรรถความแก้       บ่ช้าฟั่นเฟือย.

                ธรรมธวัช.!

อนุโมทนา กับคุณ Lastman ด้วยคะ
บันทึกการเข้า

มานพ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ทุกคนประกอบด้วย เมตตา ด้วยนะคะ

 ขอให้สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แ่ก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด

  อนุโมทนากับ คุณ Lastman ด้วยคะ

 :25: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

จตุพร

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นธรรมะ ที่ดีครับ คุณ Lastman อยากให้คุณทำหน้าที่ ต่อไปครับ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ประเด็น ถูกต้องมากคะ ไม่ควรแปล พระนามของพระพุทธเจ้า ว่าเป็น พระเจ้า

แปลให้ถูก พระพุทธเจ้า คือ พระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

จะบัญญัต ความหมายไปทำไป ในเมื่อ ปรมัตถ์ เป็นเรื่องในจิตใจ

ส่วนคำว่า จิตประภัสสร ไม่ใช่ จิตนิพพาน เห็นด้วยคะ

 :25: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

อัจฉริยะ

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 123
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมตามอ่านเรื่องนี้ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ครับ และเห็นว่า คุณ Lastman ทำหน้าที่ดีด้วยครับในการ วิสัชชนา

ซึ่งคุณ Lastman ไม่มีการใช้วาจาพูดร้ายกับ คุณ Tuenum ในขณะที่คุณ Tuenum กับใช้วาจาดูหมิ่น

หลายจุดทีเดียว

   คุณ Lastman ทำหน้าที่ต่อเถอะครับ พวกผมอ่านแล้ว ไม่เห็นว่าคุณ Lastman หงายตามที่คุณ Tuenum

กล่าวครับ

  อนุโมทนา ครับ

    :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ทุกท่านครับ


 
โปรดจำไว้   ในโลกนี้ ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม  คนที่เข้าถึงธรรม เข้าใจเรื่องธรรมจริงๆ  ถึงแม้เข้าใจ  แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ล้วนมีมิจฉาทิฏฐิ  ในอดีตจึงมีการฆ่าคนที่มีสัมมาทิฏฐิทิ้ง เช่น ประชาชนรุมฆ่าคนที่รู้และบอกว่าโลกกลม  พวกโรมันตรึงกางเขนพระเยซู ที่เข้าถึงความเมตตากรุณาสูงสุดของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)

โชคดี!  ยุคนี้ไม่ใช่ยุคป่าเถื่อนเหมือนในอดีต  ไม่งั้นผมคงโดนรุมกระทืบตายไปแล้วจากพวกมิจฉาทิฏฐิ  สนุกต่อไปเถอะครับ  ผมมีเว็บอื่นที่รอจะรุมด่า รุมขย้ำผมอีกหลายเว็บ  จำเป็นต้องไปสังเวยตัวเองเป็นของคาวหวานให้เขา

ธรรมะของจริงไม่ฟังกัน ธรรมะของปลอม ชอบฟังเหลือเกิน  เพราะมันถูกจริตกับใจที่สกปรกของเดี๊ยน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2010, 01:47:33 pm โดย tuenum »
บันทึกการเข้า