ในเบื้องต้นขอยกเอาประเภทของพระอรหันต์ ที่แสดงไว้ใน พจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่านปยุตโต มาปูพื้นทำความเข้าใจกันก่อน ดังนี้
อรหันต์ ๕ (an Arahant; arahant; Worthy One)
๑.
ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา — one liberated by wisdom)
๒.
อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)
๓.
เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ — one possessing the Threefold Knowledge)
๔.
ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one possessing the Sixfold Superknowledge)
๕.
ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ — one having gained the Four Analytic Insights)
ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท) พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต
วิมุตติ ๒ (ความหลุดพ้น : deliverance; liberation; freedom)
๑.
เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ : deliverance of mind; liberation by concentration)
๒.
ปัญญาวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง : deliverance through insight; liberation through wisdom)
ถึงตอนนี้เราจะย่ออรหันต์เหลือเพียง ๒ ประเภท คือ
๑.
พระปัญญาวิมุต ๒.
พระอุภโตภาควิมุต (เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุต)
...............................................................
ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำบางส่วน จากลิงค์http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=159.0 (มัชฌิมา)
ที่ถามว่า ผลสมาบัติ คือ อะไร มาแสดง ดังนี้
นิโรธสมาบัติ “ท่านที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นพระอริยะขั้นต่ำตั้งแต่พระอนาคามี เป็นต้นไป
และพระอรหันต์เท่านั้น และท่านต้องได้สมาบัติแปดมาก่อน ตั้งแต่ท่านเป็นโลกียฌาน
ท่านที่ได้สมาบัติแปด เป็นพระอริยะต่ำกว่าพระอนาคามีก็เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้
ต้องได้มรรคผลถึง อนาคามีเป็นอย่างต่ำจึงเข้าได้”
จะเห็นว่า การที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องได้ สมาบัติ ๘ และต้องเป็น อนาคามี(ผล)บุคคลเป็นอย่างต่ำ...............................................................
จากอรหันต์ ๒ ประเภทที่แสดงไว้ข้างบน ระบุว่าพระอุภโตภาควิมุต(เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุต)
ได้อรูปสมาบัติ ซึ่งหมายถึง ได้สมาบัติ ๘ นั่นเอง
...............................................................
เพื่อความเข้าใจในขั้นต่อไป ขอนำบทความเกี่ยวกับนิโรธสมาบัติบางส่วน
จากเว็บ
http://www.nkgen.com/434.htm มาแสดง ดังนี้
นิโรธสมาบัติ เป็นสมาบัติที่ประณีตที่สุดในบรรดาสมาบัติทั้งปวง จัดเป็นอรูปฌานในสมถกรรมฐานอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นสมาบัติขั้นประณีตสูงสุดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ใช่การวิปัสสนาโดยตรง เป็นเครื่องอยู่หรือวิหารธรรมของพระอริยเจ้าเป็นครั้งคราว
เป็นสภาวะจิตที่ถึงภาวะของความสงบประณีตระดับสูงสุด จิตหยุดการทำงาน หรือการเกิดดับ..เกิดดับ..เกิดดับ..ทั้งหลายทั้งปวง ดุจดั่งผู้ถึงกาละ กล่าวคือ เนื่องจากการหยุดการทำงานหรือดับไปของสัญญา อันคือ ขันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกับความคิด ความนึก อันเป็นความจำได้ ความหมายรู้ ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อดับสัญญา หรือดับความคิด ความนึก(และตลอดจนดับความจำ ความหมายรู้ ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง)ทั้งปวงลงไปจากการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงเป็นปัจจัยทำให้ธรรมารมณ์ต่างๆเช่นความคิดความนึกต่างๆ แม้แต่สังขารกิเลสต่างๆ ที่ต้องอาศัยสัญญาคืออาสวะกิเลส เป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้นในการเกิดขึ้นและเป็นไปของขันธ์ ๕ จึงดับไป
เวทนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หรือต้องดับไปตามเหตุปัจจัยคือสัญญาที่ถูกกุมไว้ด้วยสติ จึงเป็นปัจจัยให้เวทนาดับลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้ชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่มาจากรากศัพท์ของคำว่า สัญญา-ความจำได้,ความหมายรู้๑ เวทนา-การเสวยอารมณ์๑ นิโรธ-การดับ๑ และสมาบัติ-ภาวะสงบประณีต๑ ทั้ง ๔ คำ สมาสรวมกันเป็น
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่หมายถึง สภาวะสงบประณีตที่เกิดจากสัญญาและเวทนาดับไป
...............................................................
จากที่ได้อธิบายมาเป็นลำดับ จะเห็นว่า คำว่านิโรจสมาบัตินั้น มาจากคำเต็มๆว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ดังนั้น คนที่จะเข้าสมาบัตินี้ได้ นอกจากต้องอยู่ในกลุ่มของพระอุภโตภาควิมุต ได้อรูปสมาบัติ ๔ หรือ สมาบัติ ๘ แล้ว จะต้องเป็น
๑.อนาคามี(ผล)บุคคล (ตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้)
๒.อรหันตบุคคล (ตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด)ผมตอบข้อแรกให้แล้วนะครับ