ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค  (อ่าน 6583 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


คนไปนิพพาน "แค่เขาโค" คนท่องเที่ยวไปในภพ "เท่าขนโค"

      [๑๗๙๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงช้อนฝุ่นไว้ในปลายพระนขา แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความ ข้อนั้นเป็นไฉน
      ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนไว้ในปลายเล็บกับแผ่นดินใหญ่นี้ ไหนจะมากกว่ากัน.?

     ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายพระนขามีประมาณน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายพระนขา ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ การเปรียบเทียบ หรือแม้ส่วนเสี้ยว

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติในพวกมนุษย์แล้ว กลับมาเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
      โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก มีมากกว่า



     [๑๗๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน มีมากกว่า

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๗๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากเทวดาไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๗๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากเทวดาไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า



     [๑๗๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๗๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๗๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้ว กลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้วกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๗๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไปแล้วกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า



     [๑๘๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกมนุษย์ มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย มีมากกว่า

     [๑๘๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว จะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดในนรกมีมากกว่า

     [๑๘๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัย ไปแล้วจะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน มีมากกว่า

     [๑๘๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
     สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้วจะกลับไปเกิดในพวกเทวดา มีน้อย
     โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปแล้ว กลับไปเกิดในปิตติวิสัย มีมากกว่า



     ข้อนั้นเพราะเหตุไร.?
      เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔

     อริยสัจ ๔ เป็นไฉน.?
     คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
     นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.


อ้างอิง :-
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
อามกธัญญเปยยาล จตุตถวรรคที่ ๑๐ ว่าด้วยสัตว์ผู้มีการทำต่างๆ กัน
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=11105
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 06:27:28 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 04, 2015, 11:00:25 am »
0

อุปมาอุปไมย ของ เขาโคและขนโคนี้ ในอินเตอร์เน็ตมีอยู่มาก ทุกคนมักอ้างว่าเป็นพุทธพจน์
แต่ผมได้ค้นหามานานเป็นปี ยังไม่เจอเลยครับ เลยคิดว่า ต้องมีคนกล่าวตู่พุทธพจน์แน่นอน
อย่างไรก็ตาม บางเว็บอ้างว่าเป็นคำกล่าวของคนโบราณ เว็บนี้ฉลาดจริงๆ เอาตัวรอดได้

ในเว็บมัชฌิมา ผมโพสต์ไว้ในกระทู้
"คนไปนรกเท่าขนโค แต่ไปสวรรค์แค่เขาโค"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=12065.0
เรื่องนี้ผมนำมาจากเว็บพลังจิต ซึ่งผมค้นหาต้นตอว่า มาจากไหน หาเท่าไรก็ไม่เจอ
ท่านใดที่รู้ หรือมีเบาะแส ช่วยแจ้งด้วยครับ

กระทู้นี้ผมจะคุยเรื่องนิพพาน เอาแค่เบาๆ

 :welcome: :49: :s_good: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 06:25:48 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sakol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 04, 2015, 03:02:54 pm »
0
 st11 st12 st12 like1 thk56
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 04, 2015, 10:59:05 pm »
0
 like1 st11 st12 :035: :035: :035: gd1
          ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 07:04:58 am »
0
เห็นด้วย และ ก็เป็นจริงดั่งพุทธพจน์ เลยครับ
  ชวนใครไปนิพพาน นั้นเป็นเรื่องยาก มาก นะครับ

  like1 :25: st11 st12
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 08:44:24 am »
0
เมื่อคุณปรารถนานิพพาน โลกใบนี้ก็ไม่มีพื้นที่ให้คุณยืน 
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 10:17:47 am »
0
เพราะใส่ใจในโลก จึงต้องหาจุดยืน สิครับ ถ้าปรารถนานิพพาน แล้ว ก็ต้องสร้าง บารมี สำหรับผม ก็คือ กระทำบารมี ก่อน แต่ บารมีจะเริ่มแบบไหน ก็แล้วแต่สติปัญญา ครับ

   อาจจะเริ่ม จาก ทาน บารมี ศีลบารมี สัจจะบารมี ก็เอาเท่าที่ควรและทำได้ก่อน โดยไม่อึดอัด

  ที่สำคัญ อย่างน้อยที่นี้มี ข้อธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยที่ไม่ต้องไปผูกพัน กับ วัดใด ๆ ในอาณาจักร

   st11 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
การข้ามฝั่งโอฆะด้วยต้นกล้วย เป็นเรื่องที่ยาก ต้นกล้วยทั้งกลมทั้งลื่น จะยืนจะนั่งก็แสนลำบาก


ถ้าท่านรู้จักทางไปสู่ "นิพพาน" ก็จงไปคนเดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า.?

ในสัตตวัสสสูตรที่ ๔ กล่าวถึงมารที่ติดตามพระพุทธเจ้าอยู่ถึง ๗ ปี (ก่อนตรัสรู้ ๖ ปี หลังตรัสรู้ ๑ ปี) เพื่อหาเรื่องจับผิดพระพุทธองค์ หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นช่อง จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วกล่าวคาถาเป็นต้นว่า

มาร : ถ้าใจของท่านยังข้องอยู่ในสิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นของเรา แลว่าสิ่งนี้เป็นเราแล้ว สมณะ ท่านจักไม่พ้นเราไปได้
พระพุทธเจ้า : สิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่าเป็นของเรานั้น ย่อมไม่เป็นของเราและสิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่า เป็นเรา ก็ไม่เป็นเราเหมือนกัน แนะ.! มารผู้มีบาป ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด แม้ท่านก็จักไม่เห็นทางของเรา

มาร : ถ้าท่านรู้จักทางอันปลอดภัย เป็นที่ไปสู่อมตมหานิพพาน ก็จงหลีกไปแต่คนเดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า
พระพุทธเจ้า : ชนเหล่าใดมุ่งไปสู่ฝั่ง ย่อมถึงพระนิพพาน อันมิใช่โอกาสของมาร
     เราถูกชนเหล่านั้นถามแล้ว จักบอกว่า สิ่งใดเป็นความจริง สิ่งนั้นหาอุปธิกิเลสมิได้


      like1 like1 like1 like1

     ผมชอบพระสูตรนี้ตรงที่มารกล่าวว่า
     "ถ้าท่านรู้จักทางอันปลอดภัย เป็นที่ไปสู่อมตมหานิพพาน ก็จงหลีกไปแต่คนเดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า"
     ประโยคนี้ของมารเป็นการยุให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ขวนขวายน้อย เพราะธรรมที่ตรัสรู้เป็นธรรมที่ทวนกระแสโลก เห็นได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ที่จะแสดงธรรมให้คนรู้ตามได้

ถามว่า : พระพุทธเจ้าองค์ไหน ที่ทรงท้อพระหฤทัย ในการแสดงธรรม.?
ตอบว่า : ในพระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ เรื่อง เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน ได้กล่าวไว้ว่า "พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูไม่ดำรงอยู่นาน" เพราะทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย และสิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก

       จากพุทธพจน์ในพระวินัยข้างต้น จะเห็นว่า บุคคลผู้มีบารมีอันยิ่งยวดเยี่ยงพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ยังท้อพระหฤทัย แล้วปุถุชนผู้มีบารมีอันน้อยนิดดั่งธุลี จะไม่ทัอใจบ้างเชียวรึ.?





ในกาลที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  พระองค์ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม ท้าวสหัมบดีพรหมต้องทูลอาราธนาด้วยคาถาดังนี้ (พรหมยาจนกถา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔  พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑)

    ask1 ask1 ask1 ask1


   "เมื่อก่อนธรรมไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินทั้งหลายคิดแล้ว ได้ปรากฏในมคธชนบท
    ขอพระองค์ได้โปรดทรงเปิดประตูแห่งอมตธรรมนี้ ขอสัตว์ทั้งหลายจงฟังธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หมดมลทินตรัสรู้แล้ว ตามลำดับ
     เปรียบเหมือนบุรุษมีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขา ซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลาพึงเห็นชุมชนได้โดยรอบ ฉันใด
     ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาดี มีพระปัญญาจักษุรอบคอบ ขอพระองค์ผู้ปราศจากความโศกจงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท อันสำเร็จด้วยธรรม แล้วทรงพิจารณาชุมชน ผู้เกลื่อนกล่นด้วยความโศก ผู้อันชาติและชรา ครอบงำแล้ว มีอุปมัยฉันนั้นเถิด
     ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ทรงชนะสงคราม ผู้นำหมู่หาหนี้มิได้ ขอพระองค์จงทรงอุตสาหะเที่ยวไปในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมเพราะสัตว์รู้ทั่วถึงธรรมจักมี"


      :25: :25: :25: :25:

    (ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า)
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
    ที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุมากก็มี
    ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี
    ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี
    ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี
    ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.

    มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
    บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำอันน้ำไม่ติดแล้ว.

    พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
    บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก
    บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน
    บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม
    บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก
    บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน


     ans1 ans1 ans1 ans1

    ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
    "เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟังจงปล่อยศรัทธามาเถิด
     ดูกรพรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์"





     ในพรหมยาจนกถาดังกล่าว ผมชอบคำว่า "ประตูแห่งอมตธรรม" (อมตสฺส ทฺวารํ) ท้าวสหัมบดีพรหมได้ทูลขอให้เปิดประตูนี้ พระพุทธเจ้าก็ตอบรับว่า "เราเปิดประูอมตะแก่ท่านแล้ว" พระองค์เปิดประตูโดยการประกาศอริยสัจ ๔ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ปรารถนาจะเข้าใจในอริยสัจ ๔ ไม่ยอมเข้าไปสู่ประตูแห่งอมตธรรม
     ข้อนั้นเพราะเหตุใด.?
     ขอยกเอาอรรถกถาเรื่องบัวสี่เหล่ามาแสดงดังนี้ (อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร)


      ans1 ans1 ans1 ans1
     
     บทว่า อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ คือ ดอกบัวแม้เหล่าอื่นใดจมอยู่ในน้ำอันน้ำเลี้ยงไว้.
     บทว่า อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ติฏฺฐนฺติ คือ บัวบางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ.
     ในบทนั้น อธิบายว่า
     บัวบางเหล่าที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำคอยรอสัมผัสแสงอาทิตย์แล้วบานในวันนี้.
     บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำจักบานในวันพรุ่งนี้.
     บางเหล่ายังจมอยู่ภายในน้ำอันน้ำเลี้ยงไว้จักบานในวันที่ ๓.
     แต่ว่ายังมีดอกบัวเป็นต้นที่มีโรคแม้เหล่าอื่นไม่ขึ้นพ้นจากน้ำแล้ว ดอกบัวเหล่าใดจักไม่บาน จักเป็นภักษาแห่งปลาและเต่าอย่างเดียว ดอกบัวเหล่านั้นท่านไม่ควรนำขึ้นสู่ บาลีได้แสดงไว้ชัดแล้ว.
     บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล.


     ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น
     บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง ชื่ออุคฆฏิตัญญู.
     บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร ชื่อว่าวิปจิตัญญู.
     บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแบบคาย ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าเนยย.
     บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่าปทปรมะ.

     ในบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุ เช่นกับดอกบัว เป็นต้น ได้ทรงเห็นแล้วว่า
     บุคคลจำพวกอุคฆฏิตัญญู ดุจดอกบัวจะบานในวันนี้
     บุคคลจำพวกวิปจิตัญญู ดุจดอกบัวจักบานในวันพรุ่งนี้
     บุคคลจำพวกเนยยะ ดุจดอกบัวจักบานในวันที่ ๓
     บุคคลจำพวกปทปรมะ ดุจดอกบัวอันเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า.

   
     อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงตรวจดูได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้ว่า สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อยมีประมาณเท่านี้ สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมากมีประมาณเท่านี้ แม้ในสัตว์เหล่านั้นจำพวกที่เป็นอุคฆฏิตัญญู มีประมาณเท่านี้ ดังนี้.

      ในสัตว์ ๔ จำพวกนั้น การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุคคล ๓ จำพวกในอัตภาพนี้แล.
พวกปทปรมะจะมีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคต.

       st11 st11 st11 st11

      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมเทศนาอันนำมาซึ่งประโยชน์แก่บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล้ว ยังความเป็นผู้มีพระประสงค์จะทรงแสดงให้เกิดขึ้น ได้ทรงจัดสัตว์แม้ทั้งปวงในภพ ๓ ใหม่ ให้เป็นสองส่วนด้วยสามารถแห่งภัพสัตว์และอภัพสัตว์

      สัตว์ที่ท่านกล่าวหมายถึงนั้น คือ
      สัตว์เหล่าใดประกอบด้วย กัมมาวรณะ วิปากาวรณะ กิเลสาวรณะ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความพยายาม มีปัญญาทราม เป็นผู้ไม่ควรก้าวลงสู่ความชอบในธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลอย่างแน่นอน สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นอภัพสัตว์
      ภัพสัตว์เป็นไฉน สัตว์เหล่าใดไม่ประกอบด้วย กัมมาวรณะ ฯลฯ สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นภัพสัตว์ ดังนี้.





จากอรรถกถามหาปทานสูตร อรรถกถาจารย์ระบุว่า บุคคลจำพวกปทปรมะ แม้จะขาดโอกาสบรรลุธรรมในอนาคตอันใกล้ แต่การได้ฟังธรรม ก็จะมีวาสนาในอนาคตเบื้องหน้าต่อไป

อนึ่ง ขอให้เข้าใจเบื้องต้นว่า พุทธพจน์จริงๆ กล่าวแค่ "บัว ๓ เหล่าและบุคคล ๔ จำพวก" แต่อรรถกถาจารย์นำเอาบัว ๓ เหล่าและบุคคล ๔ จำพวก มารวมกันเป็น "บัว ๔ เหล่า"


     ยังมีต่อ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 11, 2015, 11:56:35 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คนไปนิพพาน..แค่เขาโค คนท่องเที่ยวไปในภพ..เท่าขนโค
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 12, 2015, 11:11:35 pm »
0
 st11 st12
          โลกนี้ต้องมีทั้งธรรมและอธรรมครับ   เฉลี่ยให้สมดุล


                     จึงต้องมีพระอรหันต์เอาไว้กู้กิเลสให้โลกร่มเย็นบ้างครับ

                        เดี๋ยวอบายจะไปกันมากแล้วโลกเอียง



                    จึงต้องมีพระรัตนตรัยเอาไว้เฉลี่ย....ฝ่ายกุศล  และอกุศล  ให้จิตสัตว์ได้รับธรรม ครับ

บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา