ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าเราสนับสนุนให้มีการบวช ภิกษุณี เท่ากับเราเป็นผู้ทำลายศาสนาหรือไม่ครับ  (อ่าน 8830 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จาก โคตมีสูตร

"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็น
บรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน
สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน
ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จัก
ดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี"

(อังคุตรนิกาย)
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=5753&Z=5887

จากพระสูตรดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงอายุพระพุทธศาสนา หากมีพระภิกษุณี อยู่ก็จะทำให้พระพุทธศาสนานี้สูญเร็วขึ้น
ถ้าเราสนับสนุนให้มีการบวช ภิกษุณี เท่ากับเราเป็นผู้ทำลายศาสนาหรือไม่ครับ


จาก อรรถกถาอังคุตตรนิกาย

เมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี

วสฺสสหสฺสนฺติ   เจตํ  ปฏิสมฺภิทปฺปเภทปตฺตขีณาสววเสเนว  วุตฺตํ  ฯ
แต่คำว่า  พันปี  นั้น    พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. 

ตโต  ปน อุตฺตรึปิ  สุกฺขวิปสฺสกขีณาสววเสน  วสฺสสหสฺสํ
แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง   จักตั้งอยู่สิ้นพันปี  ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ, 

อนาคามิวเสน  วสฺสสหสฺสํ 
จักตั้งอยู่สิ้นพันปี    ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,   

สกทาคามิวเสน  วสฺสสหสฺสํ 
จักตั้งอยู่สิ้นพันปี    ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,

โสตาปนฺนวเสน  วสฺสสหสฺสนฺติ
จักตั้งอยู่สิ้นพันปี  ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,

เอวํ  ปญฺจ  วสฺสสหสฺสานิ  ปฏิเวธสทฺธมฺโม  ฐสฺสติ  ฯ
รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรม จักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี   ด้วยประการฉะนี้.

องฺคุตฺตรนิกายฏฺฐกถา (มโนรถปูรณี ๓) - หน้าที่ 388
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=141




บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
จะสนับสนุน หรือไม่ ในความเป็นจริง พระภิกษุก็หมดไปแล้วแต่ในอดีตก็เป็นคำตอบในตัวของมันอยู่แล้ว  เชื่อในพระศาสนาของพระพุทธองค์   เชื่อในพระพุทธองค์  ก็เชื่อใจวาจาของพระพุทธองค์ ไม่จามจ้วง  ไม่ไปวิพาควิจารในการตัดสินของพระพุทธองค์  เราไม่เก่งเกินพระพุทธองค์ มีแต่ต้องฟังพระพุทธองค์  ว่าพระองค์ได้ตรัสอะไร
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จะสนับสนุน หรือไม่ ในความเป็นจริง พระภิกษุก็หมดไปแล้วแต่ในอดีตก็เป็นคำตอบในตัวของมันอยู่แล้ว  เชื่อในพระศาสนาของพระพุทธองค์   เชื่อในพระพุทธองค์  ก็เชื่อใจวาจาของพระพุทธองค์ ไม่จามจ้วง  ไม่ไปวิพาควิจารในการตัดสินของพระพุทธองค์  เราไม่เก่งเกินพระพุทธองค์ มีแต่ต้องฟังพระพุทธองค์  ว่าพระองค์ได้ตรัสอะไร

อันนี้น่าจะพิมพ์ตกนะครับ
 


พระภิกษุณี ยังมีอยู่ครับ และมีจำนวนมาก ด้วยไม่ใช่น้อย การบวชจะบวชที่ศรีลังกา ซึ่งเป็นสถานที่ยอมรับในพระพุทธศาสนา ทั่วโลกเช่นกัน ในประเทศไทยไม่มีบวชก็จริง แต่ พระภิกษุณีเหล่านี้ก็เข้ามาตั้งวัดในเมืองไทย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ในขณะเดียวกัน ก็มีการสนับสนุนจาก ชาวพุทธไทย ที่เป็นสตรี ที่หวังบวชเช่นกัน รวมทั้งการสอนและปฏิบัติ อาจจะมีอะไรที่ถูกใจคุณผู้หญิงกันอยู่จึงมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเข้าไปร่วมและนับถือกันมาก สำหรับพระภิกษุณีในประเทศไทย นั้นไไม่ได้ต่างอะไรจากพวกหลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงปู่เท่าใด เพียงต่างกันที่เพศ และ ยังมีจำนวนไม่มากครับ

  จขกท. น่าจะหมายถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่ครับ ?

   :welcome:

บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ก็หมายถึงพระภิกษุณี ในอดีตนะจ๊ะ ไม่ได้หมายถึงในปัจจุบัน เรื่องนี้เขามีคุยกันมากแล้ว ไม่อยากคุยอีก  แต่ที่ตั้งกระทู้ถามก็พยายามตอบให้ตรงตามที่ถามมานะจ๊ะ ก็เท่านั้น  ไม่มีความต้องการ  ให้เกิดความขัดแย้ง  เพียงแต่เราๆ ยึดถืออะไรในการตัดสิน  หลายเรื่อง(ทุกเรื่องก็ว่าได้)  พระพุทธองค์ได้ทำการตัดสิ้นไปหมดแล้ว  ลองหาดู  ลองตรองดู
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ความหมายถ้าเราส่งเสริมเท่ากับเราทำลาย ด้วยใช่หรือไม่ในปัจจุบัน หรือว่าดูแต่เพียงเหตุ
 :s_hi:
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

ว่าด้วยพุทธวงศ์
     
     ๑. พระทีปังกรณ์พุทธเจ้า มีพระนันทาเถรีและพระสุนันทาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา มีพระชนมายุแสนปี                     
     ๒. พระโกณฑัญญพุทธเจ้า มีพระติสสาเถรีและพระอุปติสสาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา สัตว์ทั้งหลายอายุแสนปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น
     ๓. พระมังคลพุทธเจ้า มีพระสีวลาเถรี และพระอโสกาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น                         
     ๔. พระสุมนพุทธเจ้า มีพระโสณาเถรีและพระอุปโสณาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ขณะนั้นมนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น
     ๕. พระเรวตพุทธเจ้า มีพระภัททาเถรีและพระสุภัททาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในขณะนั้น มนุษย์มีอายุหกหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุเท่านั้น

     ๖. พระโสภิตพุทธเจ้า พระนกุลาเถรีและพระสุชาตาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในขณะนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น                                                               
     ๗. พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีพระสุนทราเถรีและพระสุมนาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี พระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่เพียงนั้น                                             
     ๘. พระปทุมพุทธเจ้า มีพระราธาเถรีและพระสุราธาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ครั้งนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น
     ๙. พระนารทพุทธเจ้า มีพระอุตตราเถรีและพระผัคคุนีเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงอยู่เพียงนั้น                                                 
     ๑๐. พระปทุมุตตรพุทธเจ้า มีพระอมิตาเถรีและพระอสมาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี พระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น




   
      ๑๑. พระสุเมธพุทธเจ้า มีพระรามาเถรีและพระสุรามาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น                                               
     ๑๒. พระสุชาตพุทธเจ้า มีพระนาคาเถรีและพระนาคสมานาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น                                       
     ๑๓. พระปิยทัสสีพุทธเจ้า มีพระสุชาตาเถรีและพระธรรมทินนาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ทรงดำรงอยู่ในโลกเก้าหมื่นปี เท่ากับอายุของมนุษย์ทั้งหลาย                       
     ๑๔. พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า มีพระธรรมาเถรีและสุธรรมาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา พระองค์นั้นทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี
     ๑๕. พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า มีพระเขมาเถรีและพระสัจจนามาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่สม่ำเสมออยู่ในโลกแสนปี

                   
     ๑๖. พระสิทธัตถพุทธเจ้า มีพระสีวลาเถรีและพระสุรามาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี
     ๑๗. พระติสสพุทธเจ้า.พระผุสสาเถรีและพระสุทัตตาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ทรงมีพระชนมายุมาก ดำรงอยู่ในโลกแสนปี
     ๑๘. พระปุสสพุทธเจ้า มีพระจาลาเถรีและพระอุปจาลาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ในกาลนั้นมนุษย์ทั้งหลายมีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เพียงนั้น                     
     ๑๙. พระวิปัสสีพุทธเจ้า มีพระจันทาเถรีและพระจันทมิตตาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ครั้งนั้น พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุแปดหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงอยู่เท่านั้น                       
     ๒๐. พระสิขีพุทธเจ้า มีพระมขีลาเถรีและพระปทุมาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา พระองค์มีชนมายุเจ็ดหมื่นปี ทรงดำรงอยู่เท่านั้น
   

                 


   
      ๒๑. พระเวสสภูพุทธเจ้า.พระรามาเถรีและพระสุมาลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีพระชนมายุหกหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงอยู่เพียงนั้น                       
     ๒๒. พระกุกกุสันธพุทธเจ้า(กกุสันธะ) มีพระสามาเถรีและพระจัมปนามาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา พระองค์มีพระชนมายุสี่หมื่นปี เมื่อทรงดำรงอยู่เท่านั้น                         
     ๒๓. พระโกนาคมนพุทธเจ้า มีพระสมุททาเถรีและพระอุตราเถรี เป็นพระอัครสาวิกา พระองค์มีพระชนมายุในขณะนั้นสามหมื่นปี ทรงดำรงอยู่เท่านั้น                                           
     ๒๔. พระกัสสปพุทธเจ้า มีพระอนุลาเถรีและพระอุรุเวลาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา พระองค์มีพระชนมายุสองหมื่นปี เมื่อทรงดำรงอยู่เพียงนั้น                                             
     ๒๕. พระโคดมพุทธเจ้า มีภิกษุณีชื่อเขมาและอุบลวรรณา เป็นอัครสาวิกา อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น (ลอกมาไม่ผิด ๑๐๐ ปี ไม่ใช่ ๘๐ ปี)

 
                       
อ้างอิง
เริ่มที่   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  บรรทัดที่ ๖๘๗๔ - ๗๒๖๓.  หน้าที่  ๒๙๕ - ๓๑๑.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=6874&Z=7263&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=182
สิ้นสุดที่   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  บรรทัดที่ ๘๕๑๗ - ๘๕๖๒.  หน้าที่  ๓๖๔ - ๓๖๖.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8517&Z=8562&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=206
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/,http://www.dmc.tv/,http://upic.me/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 02:17:38 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ 
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน

      [๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน ดังนี้
      ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า
      "พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน."


       พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
       ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
       ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.


       ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
       ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
       อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก
       เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น
       เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
       สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน
       จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน....ฯลฯ.....





       ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
       ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
       อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน  อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี
พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก
       เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น
       เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
       สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน
       จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน....ฯลฯ.....



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  บรรทัดที่ ๑ - ๓๑๕.  หน้าที่  ๑ - ๑๓.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=0&Z=315&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=1
ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com/,http://1.bp.blogspot.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒

พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน

      [๕๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทแล้ว

      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
      พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ "ตลอดพันปี"

      ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
      บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ "เพียง ๕๐๐ ปี" เท่านั้น


     ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน
     เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย
     อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน
     อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน


     ดูกรอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
           ครุธรรม ๘ ประการของภิกษุณี จบ



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ บรรทัดที่ ๖๒๕๓ - ๖๒๗๑. หน้าที่ ๒๕๘ - ๒๕๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=6253&Z=6271&pagebreak=0
ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

ปัญจมปัณณาสก์
กิมพิลวรรคที่ ๑
พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นานและดำรงอยู่ได้นาน

    [๒๐๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันใกล้เมืองมิถิลา ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

     ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     ดูกรกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
     เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม
     เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา
     เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน

     ดูกรกิมพิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรม "ไม่ดำรงอยู่นาน" ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ





    กิม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ
     พ. ดูกรกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
     เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในศาสดา เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในธรรม
     เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสงฆ์เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสิกขา
     เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงกันและกัน

     ดูกรกิมพิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรม "ดำรงอยู่ได้นาน" ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ
                   จบสูตรที่ ๑


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๕๗๓๕ - ๕๗๕๖. หน้าที่ ๒๕๑.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=5735&Z=5756&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=201
ขอบคุณภาพจาก http://learners.in.th/,http://www.nirotharam.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 03:40:23 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ถ้ายึดถือแนวทางการปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ได้ให้ไว้  คือการบวชที่ถูกต้องมีเช่นไร ก็จักเห็นว่าการบวชที่ไม่ถูกต้องเป็นเช่นไร  และเราจักถือการบวชที่ไม่ถูกต้องตามพระวินัยอย่างนั้นนะหรือ  มันก็เป็นไปตามพุทธประสงค์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้จักต้องมีกฏอย่างมากมายทำไม  ลองศึกษาดู  การที่กว่าจะเป็นพระภิกษุณีได้นั้นต้องกระทำอะไรบ้าง
 :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คิดว่า สตรี สมัยนี้คงไม่เห็นด้วยกับยุคของ การตัดสิทธิ์สตรี ได้กระทำเนกขัมมะปฏิบัติ คะ

 จริง ๆ แล้วตอนนี้ก็เกิน พันปีแล้วคะ แสดงว่าการมีพระภิกษุณีในยุคนี้ ไม่เกี่ยวกับสูญสิ้นพระสัทธรรมพุทธศาสนาโดยไวหรอกคะ แต่คิดว่ามีเหตุหลากหลายประการนะคะที่ทำให้ พุทธศาสนา หมดไป
 
     คงไม่ใ่ช่ เพราะสตรีอย่างเดียว คิดว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างเช่น เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม เหล่านี้ก็มีส่วนด้วยนะคะ ดังนั้น คิดว่ายุคนี้ พระภิกษุณี ช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาคะ ดูเหมือนที่ เสถียรธรรมสิคะ ได้แม่ชีเ็ป็นผู้เผยแผ่ธรรม ได้มากกว่าพระสงฆ์ อีกคะ

   :s_hi:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง

    พระพุทธเจ้าในจักรวาลนี้ถูกกำหนดให้อุบัติในชมพูทวีปเท่านั้น และแน่นอนชมพูทวีปต้องมีทั้งหญิงและชาย การที่จะห้ามไม่ให้มีภิกษุณี ต้องห้ามไม่ให้มีเพศหญิงก่อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ กฏธรรมชาตินี้แก้ไขไม่ได้

   ผมนำพุทธวงศ์มาให้ดูทั้ง ๒๕ พระองค์ เพื่อให้เห็นว่า ทุกพระองค์มีภิกษุณีเป็นอัครสาวิกาทั้งนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนห้ามไม่ให้ผู้หญิงบวชได้ ใครก็ตามเมื่อบุญบารมีเต็มแล้ว ใครก็ขวางไม่ได้

ขอให้คิดถึงอมตะวาจาของสมเด็จโต ที่ว่า
  “ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด
    เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง
    จงจำไว้นะเมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า“


    อายุของพุทธศาสนาแต่ละยุคขึ้นอยู่กับ
         ๑. บารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สร้างมาไม่เท่ากัน จากพุทธวงศ์จะเห็นว่า อายุของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ไม่เท่ากัน มีตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักแสน เมื่อมีอายุที่ต่างกัน ทำให้การดำรงอยู่ของสัทธรรมต่างกันไปด้วย สัทธรรมในยุคที่อายุขัยของมนุษย์อยู่ที่ ๑๐๐ ปี ย่อมอันตรธานได้เร็วกว่า สัทธรรมในยุคที่อายุขัยของมนุษย์อยู่ที่ แสน ปี
         ๒. พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีพุทธวิสัยที่ต่างกัน บางพระองค์ไม่บัญญัติสักขาบท(วินัย) ทำให้สัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่นาน หากบางพระองค์บัญญัติสักขาบท(วินัย) ก็จะทำให้สัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน(พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑)
         ๓. หากพุทธบริษัทสี่ เคารพในพระรัตนตรัย และเคารพซึ่งกันและกัน สัทธรรมจะดำรงอยู่นาน ในทางตรงข้าม หากไม่เคารพ สัทธรรมจะไม่ดำรงอยู่นาน (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบา ปัญจมปัณณาสก์  กิมพิลวรรคที่ ๑)
         ๔. การยอมให้มีภิกษุณี ทำให้พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน(พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒)

     ผมยกเหตุผลมาให้อ่านสี่ข้อ เพื่ออธิบายว่า เหตุที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม สูญสิ้นจนถึงขั้นอันตรธานจากโลกนั้น ไม่ได้เกิดจากภิกษุณีแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ยังมีกฏธรรมชาติ หรือกฏแห่งกรรมเป็นตัวกำหนดอีกด้วย
     ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง พุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน...ไม่เที่ยง
     สมดังคำกล่าวที่ว่า "ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง"

      :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 08:04:18 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จากพระสูตรดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงอายุพระพุทธศาสนา หากมีพระภิกษุณี อยู่ก็จะทำให้พระพุทธศาสนานี้สูญเร็วขึ้น

ถ้าเราสนับสนุนให้มีการบวช ภิกษุณี เท่ากับเราเป็นผู้ทำลายศาสนาหรือไม่ครับ


ขอบคุณทุกท่านที่มาแสดงความเห็นเป็นประโยชน์มากครับ
สำหรับประเด็นที่ผมมาตั้งคำถามนั้น ก็เพื่อถามความเห็นตามที่ ครูอาจารย์ เคยถามผมมาครับ ต้องการทราบว่าเพื่อนสมาชิกชาวกรรมฐาน จะแสดงความเห็นเหมือนครูอาจารย์ ท่านกันหรือไม่ครับ ?
 1.เราเชื่อในพระดำรัสของพระพุทธเจ้า กันหรือไม่ครับ
    ถ้าเชื่อ ....... ก็ไม่สนับสนุน และไม่กล่าวถึง ภิกษุณีบริษัท ใช่หรือไม่ ?
    ถ้าเชื่อ ....... แต่สนับสนุนด้วยเหตุผล สิทธิสตรี หรือ เหตุผลอื่น แสดงว่าปรามาส พระพุทธเจ้า ใช่หรือไม่ ?  อย่างนั้น จะมีกรรมอะไรส่งผลกับเราบ้าง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อายุพระพุทธศาสนา สั้นลง ( ยอมรับกรรมนี้กันหรือไม่ ? )
    ถ้าไม่เชื่อ ..... เพราะมีความเห็นต่าง จากพระพุทธเจ้า แสดงว่า ลังเลสงสัย ต่อพระสัพพัญุตญาณ ของพระพุทธเจ้า ใช่หรือ ไม่ ? ( ตกลงเรานับถือพระพุทธเจ้าแบบไหนกันแน่ครับ )
    ถ้าไม่เชื่อ ..... ต้องการสนับสนุน เพราะคำนึงถึง เมตตาต่อ สตรี ก็เป็นการปรามาส พระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ ? ( พระอรหันต์ท่านจะมีความคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างไร ในพระไตรปิฏกมีที่กล่าวถึงหรือไม่ครับ )
 
 ( รู้ไหมครับ ว่าข้อสอบนี้ ใครเป็นผู้ทดสอบผม เกี่ยวกับเรื่องการปรามาสพระพุทธเจ้า ครับ จะมาเฉลยกันตอนหน้านะครับ )
   
   เพราะแนวที่ท่านตอบกัน จะหักมุม ทิฏฐิของท่าน ผมเองก็โดนหักมาแล้วครับ จึงพอจะทราบตนเอง ว่า ทิฏฐิของเรายังไม่ตรงต่อพระรัตนตรัย จริง ๆ ครับ

  เป็นไปได้ อยากให้เพื่อน ๆ แสดงความเห็น เพิ่มเติม ในส่วนข้อที่หนึ่งก่อน ผมจะเอาโจทย์ข้อสองมาต่อนะครับ


 :49: :coffee2:
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2012, 08:35:10 pm โดย แพนด้า »
บันทึกการเข้า

นินนินนิน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หัวข้อนี้ ผมอ่านแล้ว รู้สึกยังต้องพิจารณาตาม มีเหตุผลเป็นอย่างมาก เหมือนกับ เราปวารณาไม่ฆ่าสัตว์ แต่เรายังกินเนื้อสัตว์ อยู่ประมาณนั้น นะครับ

  :s_hi: :c017:
บันทึกการเข้า