ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ธรรมะ ปุจฉา
หน้า: [1] 2
1  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / Facebook มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2013, 03:40:28 pm
ลองตามดู สมาชิก ที่แอดกันอยู่บน facebook เห็นแล้ว ก็น่าอนุโมทนา สาธุ ด้วย เพราะ หลาย ๆท่าน ก็ได้มีการแชร์ ต่อ ๆ กันอย่างไม่น่าเชื่อเลย

 st12      st12     st12

 :25:     :25:     :25:

   ทำให้นึกถึงเพลงนี้เลย ธรรมะผลิบาน



    ปีติขึ้นทุกที ที่ได้ฟังเลย

  ก็ขอถือโอกาส นี้  เป็นกำลังใจ ให้ทุกท่านที่เผยแพ่ พระธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์ แม้นว่า บ้างครั้ง จะมีอุปสัค บ้าง  ก็ขอ เพลงนี้เป็นกำลังใจนะจ๊ะ สาธุ  สาธุ
2  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระสูตรประจำวันนี้ : ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ว่าด้วยบุญกิริยาวัตถุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2013, 01:16:06 pm
                                         ปุญญกิริยาวัตถุสูตร
                                         ว่าด้วยบุญกิริยาวัตถุ


   {๑๒๖}[๓๖]    ภิกษุทั้งหลาย    บุญกิริยาวัตถุ    ๓    ประการนี้
            บุญกิริยาวัตถุ    ๓    ประการ    อะไรบ้าง    คือ
                        ๑.    บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน
                        ๒.    บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล
                        ๓.    บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนา

            ภิกษุทั้งหลาย    บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานนิดหน่อย
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลนิดหน่อย    และไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้โชคร้ายในมนุษย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานพอประมาณ
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลพอประมาณ    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้โชคดีในมนุษย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นจาตุมหาราช    ภิกษุ
ทั้งหลาย    ท้าวมหาราชทั้ง    ๔    ในชั้นนั้นทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้โดย
ฐานะ    ๑๐    ประการ    คือ    อายุที่เป็นทิพย์    วรรณะที่เป็นทิพย์    สุขที่เป็นทิพย์    ยศที่
เป็นทิพย์    อธิปไตยที่เป็นทิพย์    รูปที่เป็นทิพย์    เสียงที่เป็นทิพย์    กลิ่นที่เป็นทิพย์
รสที่เป็นทิพย์    โผฏฐัพพะที่เป็นทิพย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นดาวดึงส์    ภิกษุทั้งหลาย
ท้าวสักกะจอมเทพในชั้นดาวดึงส์นั้นทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำเทวดาชั้นดาวดึงส์ได้โดย
ฐานะ    ๑๐    ประการ    คือ    อายุที่เป็นทิพย์    ฯลฯ    โผฏฐัพพะที่เป็นทิพย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นยามา    ภิกษุทั้งหลาย
ท้าวสุยามเทพบุตรในชั้นยามานั้นทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำเทวดาชั้นยามาได้โดยฐานะ    ๑๐    ประการ
คือ    อายุที่เป็นทิพย์    ฯลฯ    โผฏฐัพพะที่เป็นทิพย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นดุสิต    ภิกษุทั้งหลาย
ท้าวสันดุสิตในชั้นดุสิตนั้นทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น    ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำเทวดาชั้นดุสิตได้โดยฐานะ    ๑๐    ประการ    คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นนิมมานรดี    ภิกษุทั้งหลาย
ท้าวสุนิมมิตเทพบุตรในชั้นนิมมานรดีนั้นทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำเทวดาชั้นนิมมานรดีได้โดยฐานะ
๑๐    ประการ    คือ    อายุที่เป็นทิพย์    ฯลฯ    โผฏฐัพพะที่เป็นทิพย์

            บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง    ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง    แต่ไม่จัดแจงบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ภาวนาเลย    หลังจากตายแล้ว    เขาย่อมเกิดร่วมกับเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ภิกษุทั้งหลาย    ท้าววสวัตดีเทพบุตรในชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนั้น    ทำบุญกิริยาวัตถุที่
สำเร็จด้วยทานให้ยิ่งขึ้น    ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลให้ยิ่งขึ้น    ย่อมครอบงำ
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดีได้    โดยฐานะ    ๑๐    ประการ    คือ    อายุที่เป็นทิพย์    วรรณะ
ที่เป็นทิพย์    สุขที่เป็นทิพย์    ยศที่เป็นทิพย์    อธิปไตยที่เป็นทิพย์    รูปที่เป็นทิพย์
เสียงที่เป็นทิพย์    กลิ่นที่เป็นทิพย์    รสที่เป็นทิพย์    โผฏฐัพพะที่เป็นทิพย์
            ภิกษุทั้งหลาย    บุญกิริยาวัตถุ    ๓    ประการนี้แล

                                         ปุญญกิริยาวัตถุสูตร จบ


๑ ปราศจากราคะ  ในที่นี้หมายถึงปราศจากราคะโดยการถอนขึ้นได้ด้วยมรรค  หรือปราศจากราคะโดยการ
   ข่มไว้ได้ด้วยสมาบัติ  (องฺ.อฏฺฐก.อ.๓/๓๕/๒๕๖)
๒ บุญกิริยาวัตถุ  มาจาก  บุญกิริยา  +  วัตถุ  แยกอธิบายความหมายได้ดังนี้  (๑)  บุญกิริยา  หมายถึงการ
   ตั้งใจบำเพ็ญบุญ  (๒)  วัตถุ  หมายถึงที่ตั้งหรือเหตุให้เกิดอานิสงส์ต่าง ๆ  ดังนั้น  บุญกิริยาวัตถุ  จึงหมายถึง
   การบำเพ็ญบุญอันเป็นเหตุให้เกิดอานิสงส์  (องฺ.อฏฺฐก.อ.  ๓/๓๖/๒๕๖-๒๕๗,  องฺ.อฏฺฐก.ฏีกา  ๓/๓๖/๒๙๒-
   ๒๙๓)  และดู  ที.ปา.  ๑๑/๓๐๕/๑๙๓-๑๙๖,  ขุ.อิติ.  ๒๕/๖๐-๖๑/๑๗๘

3  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระสูตรประจำวันนี้ : ปฐมมิตตสูตร ว่าด้วยองค์แห่งมิตร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2013, 12:57:21 pm
                                         ปฐมมิตตสูตร
                                 ว่าด้วยองค์แห่งมิตร สูตรที่ ๑


            {๓๓}[๓๖]    ภิกษุทั้งหลาย    มิตรประกอบด้วยองค์    ๗    ประการ    เป็นผู้ควรเสพ
            องค์    ๗    ประการ    อะไรบ้าง    คือ

                        ๑.    ให้สิ่งที่ให้ได้ยาก
                        ๒.    ทำสิ่งที่ทำได้ยาก
                        ๓.    อดทนถ้อยคำที่อดทนได้ยาก
                        ๔.    เปิดเผยความลับแก่เพื่อน
                        ๕.    ปิดความลับของเพื่อน
                        ๖.    ไม่ทอดทิ้งในยามวิบัติ
                        ๗.    เมื่อเพื่อนสิ้นโภคสมบัติก็ไม่ดูหมิ่น

            ภิกษุทั้งหลาย    มิตรประกอบด้วยองค์    ๗    ประการนี้แล    เป็นผู้ควรเสพ

                                              มิตรย่อมให้สิ่งที่ให้ได้ยาก    ทำสิ่งที่ทำได้ยาก
                                  อดทนคำหยาบแม้ที่อดทนได้ยาก
                                  เปิดเผยความลับแก่เพื่อน    ปิดความลับของเพื่อน
                                  ไม่ทอดทิ้งในยามวิบัติ
                                  เมื่อเพื่อนสิ้นโภคสมบัติก็ไม่ดูหมิ่น
                                              ในโลกนี้    ฐานะเหล่านี้มีอยู่ในบุคคลใด
                                  บุคคลนั้นจัดว่าเป็นมิตร
                                  ผู้ต้องการจะคบมิตร    ควรคบมิตรเช่นนั้น


                                          ทุติยมิตตสูตร
                                    ว่าด้วยองค์แห่งมิตร สูตรที่ ๒


            {๓๔}[๓๗]    ภิกษุทั้งหลาย    มิตรประกอบด้วยองค์    ๗    ประการ    เป็นผู้ควรเสพ    ควรคบ
ควรเข้าไปนั่งใกล้    แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม
            องค์    ๗    ประการ    อะไรบ้าง    คือ

                   ๑.    เป็นที่รักเป็นที่พอใจ                       
                   ๒.    เป็นที่เคารพ
                   ๓.    เป็นที่ยกย่อง
                   ๔.    เป็นนักพูด
                   ๕.    เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
                   ๖.    เป็นผู้พูดถ้อยคำลึกซึ้งได้
                   ๗.    ไม่ชักนำในอฐานะ

            ภิกษุทั้งหลาย    มิตรประกอบด้วยองค์    ๗    ประการนี้แล    เป็นผู้ควรเสพ    ควรคบ
ควรเข้าไปนั่งใกล้    แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม

                                       มิตรเป็นที่รัก    เป็นที่เคารพ    เป็นที่ยกย่อง
                                  เป็นนักพูด    เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
                                  พูดถ้อยคำลึกซึ้งได้    ไม่ชักนำในอฐานะ
                                              ในโลกนี้    ฐานะเหล่านี้มีอยู่ในบุคคลใด
                                  บุคคลนั้นจัดว่าเป็นมิตรผู้มุ่งประโยชน์และอนุเคราะห์
                                  ผู้ต้องการจะคบมิตร    ควรคบมิตรเช่นนั้น
                                  แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม

                                         ทุติยมิตตสูตร จบ
 



๑ เป็นที่รักเป็นที่พอใจ  ในที่นี้หมายถึงมีลักษณะแห่งกัลยาณมิตร  ๘  ประการ  คือ  (๑)  มีศรัทธา  คือ  เชื่อการ
   ตรัสรู้ของพระตถาคต  เชื่อกรรมและผลของกรรม  (๒)  มีศีล  คือ  เป็นที่รัก  เป็นที่เคารพ  เป็นที่นับถือของ
   สัตว์ทั้งหลาย  (๓)  มีสุตะ  คือ  กล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งที่สัมปยุตด้วยสัจจะและปฏิจจสมุปบาท  (๔)  มีจาคะ  คือ
   ปรารถนาน้อย  สันโดษ  ชอบสงัด  ไม่คลุกคลีด้วยหมู่  (๕)  มีความเพียร  คือ  ปรารภความเพียรในการปฏิบัติ
   เพื่อเกื้อกูลแก่ตนและเกื้อกูลแก่ผู้อื่น  (๖)  มีสติ  คือ  มีสติตั้งมั่น  (๗)  มีสมาธิ  คือ  มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน
   (๘)  มีปัญญา  คือ  รู้อย่างไม่วิปริต ใช้สติพิจารณาคติแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม  รู้สิ่งที่เกื้อกูลและสิ่งไม่
   เกื้อกูลแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาตามความเป็นจริง  มีจิตเป็นหนึ่งในอารมณ์นั้นด้วยสมาธิ  เว้นสิ่งที่ไม่
   เกื้อกูล  ประกอบสิ่งที่เกื้อกูลด้วยความเพียร  (องฺ.สตฺตก.ฏีกา  ๓/๓๗-๔๓/๒๐๓)
๒ เป็นนักพูด  ในที่นี้หมายถึงเป็นผู้ฉลาดในการใช้คำพูด  (องฺ.สตฺตก.อ.  ๓/๓๗/๑๗๙)
๓ อดทนต่อถ้อยคำ  ในที่นี้หมายถึงปฏิบัติตามโอวาทที่ท่านให้แล้ว  (องฺ.สตฺตก.อ.  ๓/๓๗/๑๗๙)
๔ ถ้อยคำลึกซึ้ง  หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฌาน  วิปัสสนา  มรรค  ผล  และนิพพาน  (องฺ.สตฺตก.อ.  ๓/๓๗/๑๗๙)
๕ ไม่ชักนำในอฐานะ  หมายถึงป้องกันไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล  มีคติเป็นทุกข์  แต่ชักชวนให้
   ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลมีคติเป็นสุข  (เทียบ  องฺ.สตฺตก.ฏีกา  ๓/๓๗/๒๐๓)



4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระสูตรประจำวันนี้ : ปราภวสูตร ว่าด้วยความเสื่อมและความเจริญของอุบาสก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2013, 12:38:17 pm
                                         ปราภวสูตร
            ว่าด้วยความเสื่อมและความเจริญของอุบาสก

   [๓๑]      ภิกษุทั้งหลาย    ความเสื่อมของอุบาสก    ๗    ประการนี้    ฯลฯ
            ภิกษุทั้งหลาย    ความเจริญของอุบาสก    ๗    ประการนี้
            ความเจริญของอุบาสก    ๗    ประการ    อะไรบ้าง    คือ

                        ๑.    ไม่ละเลยการเยี่ยมเยียนภิกษุ
                        ๒.    ไม่ทอดทิ้งการฟังสัทธรรม
                        ๓.    ศึกษาในอธิศีล
                        ๔.    มีความเลื่อมใสมากในภิกษุผู้เป็นเถระ    ผู้เป็นนวกะ    และผู้เป็นมัชฌิมะ
                        ๕.    ฟังธรรมอย่างไม่คอยคิดโต้แย้งเพ่งโทษ
                        ๖.    ไม่แสวงหาผู้รับทักษิณานอกศาสนานี้
                        ๗.    ทำอุปการะในศาสนานี้ก่อน

            ภิกษุทั้งหลาย    ความเจริญของอุบาสก    ๗    ประการนี้แล

                                              อุบาสกใดละเลยการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน
                                  ทอดทิ้งการฟังอริยธรรม    ไม่ศึกษาในอธิศีล
                                  ไม่มีความเลื่อมใสยิ่งขึ้นในภิกษุทั้งหลาย
                                  ปรารถนาฟังสัทธรรมอย่างคอยคิดโต้แย้ง
                                  แสวงหาผู้รับทักษิณานอกศาสนานี้
                                  และทำอุปการะนอกศาสนาก่อน

                                              อุบาสกนั้นผู้เสพธรรม    ๗    ประการ
                                  อันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมที่เราแสดงดีแล้วนี้แล
                                  ส่วนอุบาสกใดไม่ละเลยการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน
                                  ไม่ทอดทิ้งการฟังอริยธรรม    ศึกษาในอธิศีล
                                  มีความเลื่อมใสยิ่งขึ้นในภิกษุทั้งหลาย
                                  ปรารถนาฟังสัทธรรมอย่างไม่คอยคิดโต้แย้ง
                                  ไม่แสวงหาผู้รับทักษิณานอกศาสนานี้
                                  และทำอุปการะในศาสนานี้ก่อน

                                              อุบาสกนั้นผู้เสพธรรม    ๗    ประการ
                                  อันไม่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมที่เราแสดงดีแล้วนี้แล
                                  ย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม

                                         ปราภวสูตร จบ


พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
หน้าที่ ๔๗/๕๖๔    ข้อที่ ๓๑
5  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตามธรรมกับพระใหม่ : เดินแบบไก่ ยืนแบบไก่ เออะ! เราก็น่าจะทำแบบไก่ !! เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2013, 12:39:08 pm
     วันนี้หลังจากได้ฉันเพลนเสร็จแล้ว ก็ยังนั้่งอ่านหนังสืออยู่ เลยเจอสมาชิกที่มาใหม่ คือ เจ้าแจ้ตัวใหม่ที่โยมถวายหลวงพ่อไว้ให้มาอยู่ที่วัดด้วย ประสงค์คงจะอยากจะให้เป็นเพือนกันกับเจ้าแจ้ตัวเก่า แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนตั้งใจ คือ มันดันตีกัน ก็นะธรรมดาของสัตว์ เจ้าตัวใหม่เลยไปอยู่ที่ครัวด้านหลัง พอเราฉันเพลนกันเสร็จ มันก็ย่างเข้ามาหา อาจจะเพราะด้วยหิว ไม่ค่อยมีใคร่สนใจเท่าไหร่ เพราะดันไปอยู่ด้านหลังที่ครัว  พอเข้ามาก็มายืนมองๆ ที่เรา เหมือนจะคุยด้วย เราก็เหมือนจะคุยด้วย ก็คุยด้วยนะแหละ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจเราไหม เลยส่งความรู้สึกทางใจไปแทน และพยามรับความรู้สึกของเขากลับมา ก็ได้ประมาณนึงว่า เขาคงหาอะไรกินไปตามประสา เราก็เลยเอามือวางลงที่พื้นแล้วทำการดีดนิ้วเบาๆ เพื่อเป็นการเรียก และผูกมิตร (ไม่รู้ว่าจะเป็นมิตรกับเราหรือเปล่า) ไม่นานเขาก็เข้ามาไกล้ โดยการเดินแบบทางด้านข้าง ซ้ายที่ ขวาที่ เข้ามาหาเรา แหม ทำยังกับจะจีบสาวยังไงยังนั้นเลยนะ ฉันเป็นพระนะ คิดในใจ แต่ก็ได้ความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งแล้ว ว่า เขาเป็นมิตรด้วย พอเข้ามายืนไกล้ๆ แล้วก็ชายตาแหงนหน้ามามองที่เรา เหมือนจะคุยด้วยเหมือนเดิม เลยทางไปว่า หิวหร๋อแจ้ หิวละสิ  ไหนมาอุ้มหน่อยสิ ว่าแล้วก็เอามือช้อนที่อกหว่างขาขึ้นมาดู ปรากว่าก็เชื่องดี เอาขึ้นมามองหน้ากัน สักแป๊ปก็วางลง ที่นี้ไม่ยอมลงแฮะ เราก็ว่า ลงไปได้แล้ว เร็ว ก็ไม่ยอมลงแถมทำท่าตะเกียดตะกายจะขึ้นมาให้ได้อย่างเดียว เราเองก็บอกให้ลงไปอย่างเดียว ไม่ต้องขึ้นมาแล้ว  ไม่นานหนัก เจ้าแจ้ก็ยอมลงแต่โดยดี เราก็ดูหนังสือต่อ สักเดียวนึกขึ้นได้ ว่า เอะ ! เจ้าแจ้ไปไหนแล้วน้าา เลยมองหาดู ปรากฏไปอยู่ที่ใต้โต๊ะ ตรงมุมหนังสือ


รูปภาพจาก : http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=236513.0

    และแล้วธรรมกรรมฐานก็เริ่มเกิดที่ตรงนี้  คือพอเมื่อลองมองสักเกตุพฤติกรรมการยืนการเิดินของเจ้าแจ้แล้ว  รู้สึกว่า มันเป็นกรรมฐานนี้หน่า ก็พอเจ้าแจ้ายืนอยู่เฉย ๆ  เจ้าแจ้ก็ยืนด้วยขา ขาเดียวนิ ไม่ได้ยืนสองขา เออะ มันไม่ล้มหรือยืนแล้วตัวแกว่งไปแกว่งมาเลยนิหน่า และตอนเดินมันก็ค่อย ๆ เดิน ไม่ได้รีบร้อนเดิน เหมือนคล้าย ๆ เวลา ที่เราๆ เดินกรรมฐานเลยนิหน่า แถมยังมีการยกขึ้น ก้าวย่าง เยียบเป็นจังหวะ เหมือนเจ้าตัวจะมีสติรู้อยู่ตลอดเวลา เออะ ใช้ได้เลยนิ

    ก็เลยทำให้กลับไปนึกถึง คำที่ครูบาอาจารย์เคยพูดบอก ว่าให้ทำตัวเหมือนไก่  แต่ที่ผ่านมาไม่ได้บอกตรงนี้  แต่วันนี้มาเห็น เลยเกิดความเข้าใจมากขึ้น ว่าอาจจะมีความลับอะไรในเรื่องของไก่อยู่่อีกแน่ ๆ เลย  แต่ที่แน่ ๆ วันนี้ต้องขอบคุณเจ้าแจ้ ที่มาเป็นครูให้ เจริญพร เจริญธรรม

แล้วคอยติดตามเรื่องของพระใหม่กันต่อนะจ๊ะ จะมีมาเรื่อย ๆ
6  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / กูเกิลเปิดเว็บ “รามเกียรติ์ ประเทศไทย” โชว์เทคโนโลยี HTML5 บน Chrome เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2013, 02:42:42 pm
กูเกิลเปิดเว็บ “รามเกียรติ์ ประเทศไทย” โชว์เทคโนโลยี HTML5 บน Chrome


กูเกิลประเทศไทยเปิดตัว "รามเกียรติ์" เว็บแอพเล่าเรื่องราวของรามเกียรติ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ (ทำงานแบบหลายหน้าต่างพร้อมกัน ลักษณะเดียวกับโครงการ The Wilderness Downtown ในปี 2010 และ 3 Dreams of Black ในปี 2011)

รามเกียรติ์ ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเว็บอย่าง HTML5, WebGL, JavaScript และโชว์ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลอีกสารพัดอย่าง เช่น เมืองลงกาใน Google Maps, นางสีดาเล่น Google Talk, โพสต์บล็อกหาพระรามบน Blogger เป็นต้น สนใจเข้าไปเล่นได้ที่ thai.ramaya.na โดยต้องใช้ Chrome เท่านั้นและต้องอนุญาต pop-up ให้ทำงานด้วย

โครงการรามเกียรติ์ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากกรมศิลปากร และได้ตุล วงอพาร์ตเมนต์คุณป้า มาทำดนตรีประกอบให้ครับ


ที่มา - Google Thailand Blog



ป.ล. เท่าที่ผมเช็คดู กูเกิลมีโครงการแบบเดียวกันสำหรับอินโดนีเซียด้วย (เรียก Ramayana Indonesia) ซึ่งใช้เอนจินเดียวกันทั้งหมด ต่างกันที่ภาษา รูปภาพ และเนื้อเรื่องบางส่วน
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / คำสอนพระกรรมฐานสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน)แสดงโดย พระญาณรังษี (จวบ) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2013, 10:20:05 pm
ำสอนพระกรรมฐาน
ตามแนวของ
สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
(สุก ไก่เถื่อน)

แสดงโดย
พระญาณรังษี  (จวบ  สุภทฺโท)
วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร  (วัดพลับ)
กรุงเทพมหานคร
พ.ศ.  ๒๕๔๗
(เล่มที่ ๔)
[/size][/color]
ลิกขสิทธิ์  พระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)  คณะ  ๒
พระมหาเสถียร  อธิปัญโญ      ผู้ตรวจทาน
คุณเพ็ญศรี  ดิสถาพร         ผู้ถอดความจากเทปบันทึกเสียง
คุณชัชชัย  ธรรมสว่างสุข      ผู้บริจาคเทปพระธรรมเทศนา
คุณสุนทร  เตชะศรีสุขโข      ผู้บริจาคเทปพระธรรมเทศนา



จงเพียรบำเพ็ญ
[/size][/b][/color]
    การบำเพ็ญพระกรรมฐาน  เป็นการสงบจิตให้เข้าถึงปัญญากองละเอียด  ต้องสงบทวารทั้งหก  หรืออายะตะนะภายใน  และอายะตะนะภายนอก  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลินี  ทางกาย  ทางใจ  ให้สงบเป็นสมาธิตามหลักการปฏิบัติไตรสิกขา  ศีล  สมาธิ  ปัญญา ที่จะสอดคล้องกันทั้งสามอย่าง  จิตเป็นสมาธิแน่วแน่จะนึกอะไรก็มีพลังแรงมองเห็นชัด  จงอย่าได้ท้อถอย  จงพยายามพากเพียรให้ได้พบปัญญาละเอียดในที่สุด
                  พระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)
                                                                              ๒๐   พฤศจิกายน  ๒๕๔๗




คำนำ
[/size][/b][/color]

      หนังสือพระกรรมฐานตามแนวของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก  ไก่เถื่อน)  ออกมาเป็นเล่มที่ ๔  เทปม้วนที่ ๒๐-๓๐  ได้รับความร่วมมือร่วมใจของบรรดาศิษย์ทุก ๆ  คน   เริ่มตั้งแต่ผู้มีจิตศรัทธานำเทปมาแจกเป็นธรรมทาน  มีคุณชัชชัย  ธรรมสว่างสุข,  คุณสุนทร  เตชะศรีสุขโข,  คุณโสภณ  จิระภาพันธุ์  และพวกได้ร่วมใจกันสละทุนทรัพย์  นำเทปมาแจกกับญาติโยมผู้เลื่อมใสศรัทธา  ใรพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทานโดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ  ทั้งสิ้น
     บรรดาทุกศิษย์ทั้งหลายทุก ๆ  คนซาบซึ้งในคำสอนของพระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)  จึงได้นำคำสอนของท่านออกมาพิมพ์แจกอีกเป็นจำนวนมาก  เพราะเมื่อได้อ่านแล้วทำให้รู้ในด้านธรรมเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  สมกับที่ท่านได้เสียสละเวลามาพร่ำสอนลูกศิษย์  ย้ำแล้วย้ำเล่าให้เข้าใจในคำสอน  แม้บางคนจะดูแล้วว่าเหมือนคำสอนของท่านช้ำ  แต่อ่านไปแล้วเป็นคนละแบบที่ท่านสอนทุก ๆ  ครั้ง
      การเทศน์ทุกครั้งในวันพระ  ก่อนจะเทศน์ท่านจะต้องให้ลูกศิษย์ทุก ๆ  คนสวดมนต์  รับศีลเสียก่อนทุกครั้ง  เมื่อสวดมนต์จิตน้อมนำเป็นสมาธิแล้ว  ท่านจึงจะเทศน์ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตามแบบสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก  ไก่เถื่อน)  เพื่อให้ทุก ๆ  คนประพฤติตนให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม  และมีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยงทางใจ  เมื่อใจสงบนิ่งแน่วแน่เป็นสมาธิแล้วก็จะทำให้เกิดปัญญาตามต่อมาเป็นขั้นเป็นตอน 
     ดังนั้นผู้จัดทำหนังสือจึงเล็งเห็นประโยนช์ของคำสอนของพระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)  เป็นอย่างยิ่งจึงร่วมมือร่วมใจกันจัดทำหนังสือคำสอนพระกรรมฐานตามแนวของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก  ไก้เถื่อน)  ออกมาเพื่อให้สาธุชนทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังเทศน์ของพระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)  ได้ทราบถึงคำสอนของท่านเพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยนช์ต่อชีวิตของตนต่อไป
                                                                          คณะศิษย์
                                                                      ผู้จัดทำหนังสือ


คำอนุโมทนา
[/size][/color][/b]
 
     อาตมาภาพขออนุโมทนาในส่วนบุญกุศล  แก่ผู้จัดทำหนังสือ  ตลอดจนท่านผู้นำเทปมาแจกเป็นธรรมทาน  จนกระทั่งออกมาเป็นรูปเล่มด้วยแรงร่วมใจของทุก ๆ  ฝ่าย   เป็นเล่มที่ ๔   เพื่อนำมาแจกแก่ญาติธรรมในครั้งนี้
                  พระญาณรังษี (จวบ  สุภทฺโท)
                   วัดราชสิทธาราม   (วัดพลับ)
                     กรุงเทพมหานคร



สารบัญ
[/size][/color][/b]

เรื่อง
กุศล  และ  อกุศล
บาปจะเกิดขึ้นได้เพราะอินทรีย์ทั้งหก
อารมณ์ที่ควรระลึก  ๑๐  ประการ
การรักษาศีลมีโทษมีประโยนช์อย่างไร
การอบรมบ่มนิสัย
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจธรรม
คำสอนปฏิบัติธรรม  เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระญาณรังษี ๒๑ พ.ย. ๒๕๔๕
อิทธบาทสี่
จิตที่ฝึกแล้วกับจิตที่ยังไม่ได้ฝึกฝนต่างกัน
ผลของบุญและบาป
วันตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า



8  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / กิจกรรมศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 โดย สสส. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2013, 03:04:08 pm
กิจกรรมโยคะสร้างสุข 

 เพราะโยคะ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การออกกำลังกายอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการพัฒนากาย จิต อารมณ์ บุคลิกภาพ ฯลฯ ให้เกิดความสมดุล มาร่วมค้นหาองค์รวมของศาสตร์โยคะ ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนกับครูโยคะที่มากด้วยประสบการณ์ จากสถาบันโยคะวิชาการ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

พบกันทุกวันพฤหัสบดี เวลา 17.00-18.30 น. และวันเสาร์ เวลา 10.30-12.00 น. ณ ห้องอาศรมสุขภาวะ (เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 2 ก.พ. 56)

 รับจำนวนจำกัด ไม่เกิน 30 ท่าน  กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า

 เรียนฟรีตลอดเดือน ก.พ. 56 !!!

Book Talk "ผอมได้ ไม่ต้องอด"

 ร่วมพูดคุยกับ พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง) คุณหมอคนสวยอารมณ์ดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและ Anti-Aging Medicine โรงพยาบาลสมิติเวช และเจ้าของผลงานหนังสือขายดีหลายเล่ม อาทิ Anti-Aging สูตรลับชะลอวัย, Anti-Aging สวยปิ๊งสมองไบรท์, สิวโซลูชั่น, นวัตกรรมทำหน้าเด็ก และล่าสุดกับการค้นคว้างานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 50 ฉบับ จนคลอดออกมาเป็นหนังสือสุดฮิตของหนุ่มสาวชาวอวบ (ระยะสุดท้าย) "ผอมได้ ไม่ต้องอด" ร่วมเรียนรู้เคล็ดลับความรู้มากมาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ "คิดอย่างคนผอม อยู่อย่างคนผอม กินอย่างคนผอม คุณจะผอมได้โดยไม่ต้องอด" พร้อมโปรแกรมสู่เส้นทางแห่งคนผอมใน 28 วันที่รับประกันว่าทำได้จริง!

พบกันในวันเสาร์ที่ 9 ก.พ. 56  เวลา 14.00 - 15.30 น.

นิทรรศการเคลื่อนที่ สุขพอดี ชีวิตดีพอ เริ่มต้นวันนี้ที่ตัวคุณ

 สุขภาวะเป็นพื้นฐานของทุกเรื่องดีๆ ที่ทุกคนสามารถสร้างได้ หากเพียงรู้จักจัดสมดุลเรื่องต่างๆให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตน “สุขพอดี ชีวิตดีพอ เริ่มต้นวันนี้ที่ตัวคุณ...” นิทรรศการที่สร้างประสบการณ์เรียนรู้เรื่องสุขภาวะแบบมีส่วนร่วม บอกเล่าเรื่องราวการกิน การออกกำลังกาย การจัดสรรชีวิตทั้งเรื่องงาน เงิน เวลา อย่างสมดุล...เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนทำได้ ขอเพียงเริ่มต้น...วันนี้... 

มาร่วมประสบการณ์สร้างสุขภาวะได้ในวันที่ 16-17 ก.พ. 56 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ลานกิจกรรมวงกลม ชั้น G  ซีคอน สแควร์ สาขาบางแค

Healthy Workshop “Food Hero ยอดอาหารต้านโรค”

 วิตามินหรือยาบำรุงราคาแพง จำเป็นจริงหรือ? เพราะที่จริงแล้วในอาหารทุกชนิดโดยเฉพาะผัก ผลไม้ และธัญพืช ก็ล้วนมีคุณค่าเป็นยาต้านโรคทั้งนั้น เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกและทานให้เป็น สอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย คุณแว๋ว-แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ จะแนะนำให้รู้จักคุณค่าและความมหัศจรรย์ของพืชพันธุ์แต่ละชนิด พร้อมร่วมปรุงเมนูอาหารต้านโรคที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน

พบกันวันเสาร์ที่ 23 ก.พ. 56 เวลา 13.00 – 16.00 น.

 รับจำนวนจำกัด ไม่เกิน 25 ท่าน  กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า ก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556

สวน สุข ศิลป

 ร่วมสัมผัสบรรยากาศงานศิลป์ร่วมสมัย ภายใต้แนวคิด “ความรัก” ในมุมมองที่มีต่อตนเอง ครอบครัว และคนรอบข้าง และร่วมเสนอไอเดียกิจกรรมการส่งต่อความรัก (ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.thaihealthcenter.org)

ร่วมส่งต่อความรักได้ในวันเสาร์ที่ 23 ก.พ.56 เวลาประมาณ 16.00 น. เป็นต้นไป

หนังสือแนะนำ: เอาใจเรามาใส่ใจผัก

เขียน : พนิชา เอี่ยมสมบูรณ์

สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา

 หนังสือสำหรับคนรักผักและใส่ใจสุขภาพ ว่าด้วยโครงการตลาดนัดสีเขียวที่จะจัดขึ้นตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อสร้างสุขภาวะให้แก่ผู้ป่วยให้ได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัย ไร้สารพิษ

 นอกจากนั้นยังมีบทสัมภาษณ์เกษตรกรที่หันมาปลูกผักแบบไม่พึ่งพาสารเคมี และเผยแพร่ผลผลิตนี้ออกสู่ชุมชนให้คนทั่วไปได้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า

 หนังสือเล่มบางแต่เนื้อหาเข้าท่า ภาพประกอบน่ารัก แทรกด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับผักต่าง ๆ  และเมนูจากผักที่ชวนให้อยากเดินเข้าครัวเสียเดี๋ยวนั้น

 ทุกครั้งที่คุณตักอาหารเข้าปาก รู้หรือไม่ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในอาหารมื้อนั้นบ้าง??

 ร่วมเรียนรู้และสัมผัสวิถีการกินที่จะสร้างความสุขเล็กๆแต่ให้ผลที่ยิ่งใหญ่ต่อสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก

นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สุขภาวะ

“เส้นทางกินดี สู่ชีวีมีสุข”


 A JOURNEY to HEALTHY EATING, HEALTHY LIFESTYLE

 นิทรรศการที่จะพาคุณสำรวจเส้นทางของอาหารและพฤติกรรมการบริโภคของคนในสังคมยุคปัจจุบันอันเกิดจากความเคยชิน ขาดทางเลือก หรือคุณนั่นเองที่เป็นผู้ปฏิเสธทางเลือกนั้น แล้วร่วมค้นหาทางเลือกทางออกที่จะนำไปสู่เส้นทาง กินดี มีสุข

จัดแสดงนิทรรศการระหว่างวันที่ 5 ก.พ. - 12 เม.ย. 56

 -อังคาร-ศุกร์ เวลา 09.00-18.00 น.

 -เสาร์ เวลา 10.00-18.00 น.
 ปิดบริการ    
     
 อาทิตย์-จันทร์ และวันหยุดนขัตฤกษ์



สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ activity.thc@thaihealth.or.th หรือ 0-2343-1500 ต่อ 2

อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เลขที่ 99/8
ซอยงามดูพลี แขวงทุ่งมหาเมฆ
เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120


ที่มา : http://www.gotoknow.org/classified/ads/3877
9  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญชวนผู้ใหญ่มาสอนความรัก หมดเขต 28 กพ.นี้ 2,500 บาท 4 รางวัล เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2013, 02:59:35 pm
 :welcome:

ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/518407
10  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / 23-26กุมภาพันธ์2556 ถือศีลบวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมวันมาฆบูบา ณ วัดศรีโอภาสสุโขทัย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 05:27:17 pm
กราบสวัสดีญาติธรรมทั้งหลาย ศูนย์วิปัสสนากรรมฐานวัดศรีโอภาส หมู่ ๕ ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
http://www.facebook.com/watsriopas

ศูนย์วิปัสสนาวัดศรีโอภาส จัดงานถือศีล บวชพราหมณ์ ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน ช่วงเทศกาล วันมาฆบูชา ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นเวลา ๔ วัน เริ่มตั้งแต่ วันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖ และจัดทอดผ้าป่าสามัคคี ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ด้วย เพื่อหาทุนสร้างศาลาการเปรียญ และสร้างบ่อกักเก็บน้ำประปา

ศูนย์วิปัสสนาวัดศรีโอภาสขอกราบเรียนเชิญญาติธรรมทุกท่าน
ร่วมสร้างบุญสร้างกุศล

ติดต่อสอบถามและร่วมทำบุญได้ที่
พระอาจารย์พิทักษ์ กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดศรีโอภาส
หมายเลขโทรศัพท์ 087 211 9630

อาจารย์อ้อย นะโมพุทธายะ
หมายเลขโทรศัพท์ 089 110 0186; 083 855 8815
หรือโอนเงินเข้าบัญชีของวัด ธนาคารกรุงไทย สาขาสวรรคโลก
เลขที่บัญชี 617-0-16671-1

ศูนย์วิปัสสนาวัดศรีโอภาสขออนุโมทนาบุญกับผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน กราบสวัสดีค่ะ

                                                 แม่ชีแพรววา พุทธรักษา
11  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / แสวงเร่งปฏิบัติ (ส่วนตัว) เข้ากรรมฐาน หนึ่งในข้อวัตร ต้องปิดวาจา ที่วัดศรีโอภาส เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2013, 10:23:29 pm
เที่ยวนี้ ไปถึงสุโขทัย ที่ศรีสัชนาลัย รีบเข้ากรรมฐาน เรียนกรรมฐานต่อ โดยข้อวัตรห้ามคุย ปิดวาจา ส่วนตัวก็คิดว่าเป็นการดี ได้รับการฝึกอีกระดับหนึ่ง ต้องวางอุเบกขาให้ได้มาก ปล่อยให้โลกเป็นไป แต่เราสำรวจรุ้ทันอกุศลจิตของเราเองให้ทันระงับให้ทันไม่่ให้เิกิดอกุศลจิต

ล่าสุดที่วัดกำลังสร้างบ่อกักเก็บน้ำ ใครสนใจ ร่วมทำบุญได้

ส่วนรูปจะหาโอกาสมาลงให้ได้ชมกัน

วันนี้วันที่สี่แล้วที่ปิดว่าจา (เป็นครั้งแรกเลยนะเนื้ย)

เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน รีบ ๆ ปฏิบัติกันนะจ๊ะ (ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่)

 :welcome:
12  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมื่อมี ... ! ขึ้นกุฏิพระ ควรทำอย่างไรดี ? เมื่อ: มกราคม 31, 2013, 10:22:36 pm
ถ้ามีปลวกขึ้นกุฏิพระ เราควรจะทำอ่างไรดี ? (เราโยม โยม)

      ลองธรรมวิจารกันหน่อย (ที่เป็นเรื่องจริง ก็มี) ระวัง!! ไม่ปรามาทพระ นะ
13  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ : ญาณทัสสนะ เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 08:14:05 pm
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
เนื่องในงานพิธีเฉลิมพระเกียรติ ๘๕ พรรษา ใต้ร่มพระบารมี
ณ วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวง วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ปัญญาในธรรม
ปัญญาในธรรมคือสัมมาทิฏฐิ

     ปัญญาในธรรมนั้นเรียกได้ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เป็นความเห็นตรง สัมมาทิฏฐินี้เป็นข้อสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้เป็นข้อแรกในมรรคมีองค์ ๘ คือเป็นองค์แรกของมรรคมีองค์ ๘ นั้น. เพราะฉะนั้น การทำสมาธิดั่งที่ได้กล่าวว่าทำสมาธิในการฟัง ก็เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐินี้เอง. ถ้าหากว่าไม่ได้ปัญญาในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐินี้ ก็มิบรรลุถึงข้อที่ปฏิบัติและผลแห่งข้อที่ปฏิบัติ อันเป็นที่มุ่งในทางพุทธศาสนา.
     คำว่า พุทธศาสนา นั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า เป็นศาสนาทางปัญญา เพราะพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ก็คือทรงปัญญาตรัสรู้นั้นเอง. ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นข้อสำคัญและปัญญาที่มุ่งวังก็คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นตรงนี้เอง. เมื่อได้ความเห็นชอบ ได้ความเห็นตรง ก็ย่อมจะได้ ปสาทะคือความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม เป็นผู้มาสู่สัทธรรมนี้ ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าการมาสู่สัทธรรมนี้ ก็ต้องอาศัยความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไวในพระธรรมความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรมก็ต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบความเห็นตรงเป็นหลัก. ทุกคนย่อมมีความรู้ความเห็นซึ่งเป็นตัวปัญญาที่ได้มาแต่ชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ซึ่งแปลอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่มีใจสูงหรือผู้ที่มีความรู้สูง. ฉะนั้น จึงสามารถที่จะรู้สัจจะคือความจริงของสิ่งทั้งหลายได้ในขั้นธรรมดาสามัญทั่วไป. และเมื่อได้อบรมปัญญาที่ได้มาแต่ชาติกำเนิด อันเรียกว่า สชาติปัญญา ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้วก็จะได้ความรู้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ได้ความเห็นตรงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป.

รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล
     พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบไว้ทั่วไป ว่าคือความรู้ในอริยสัจทั้งสี่ รู้จักทุกข์ รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักนิโรธความดับทุกข์ รู้จักมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์. ท่านพระสารีบุตรเถระก็ได้อธิบายสัมมาทิฏฐิแก่ภิกษุทั้งหลายที่ท่านประมวลไว้ใน สัมมาทิฏฐิสูตร โดยที่ท่านได้อธิบายกว้างขวางออกไปขยายความออกไป จับตั้งแต่เบื้องต้น โดยที่ท่านได้กล่าวตั้งเป็นกระทู้ขึ้นว่า ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบนั้นเป็นอย่างไรท่านก็อธิบายว่าได้แก่ ความรู้จักอกุศล ความรู้จักอกุศลมูล มูลเหตุของอกุศล ความรู้จักกุศล ความรู้จักกุศลมูล มูลเหตุของกุศล. ท่านก็ได้แสดงอธิบายขยายความต่อไปอีกว่าอกุศลนั้นได้แก่อะไร. ท่านก็ยกเอา อกุศลกรรมบถ คือ ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล ขึ้นแสดง.
     ทางกายอันเรียกว่ากายกรรมอันเป็นอกุศล ๓ คือ การทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ๑    การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ๑    การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑   ทั้ง ๓ นี้เป็นทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางกาย.
     ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางวาจาคือวจีกรรมมี ๔ ก็ได้แก่ พูดเท็จ ๑    พูดส่อเสียด ๑    พูดคำหยาบ ๑    พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ๑.    ก็รวมทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางวาจาเป็น ๔.
     ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางใจ ๓ ก็คือ อภิชฌา โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น ๑    พยาบาทปองร้ายเขา ๑    มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากคลองธรรม เช่น เห็นว่าไม่มีบาป ไม่มีบุญ จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบุญ ไม่มีผลของบาปบุญ และไม่มีบิดามารดา ไม่มีกรรมดีกรรมชั่ว ผลของกรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีโลกนี้ไม่มีโลกหน้า ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบทั้งหลาย ปฏิเสธว่าไม่มีทั้งหมด. เหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากคลองธรรม ๑    ก็รวมเป็นทางกรรมที่เป็นอกุศลทางใจ ๓.
     รวมเป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐.  ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล ๑๐ นี้คือ อกุศล  สัมมาทิฏฐิก็คือ รู้จักทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้ว่าเป็นอกุศลจริง
     อกุศลมูล  มูลเหตุของอกุศล ก็ได้แก่ โลภะ คือความโลภอยากได้ อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม  โทสะ ความโกรธแค้นขัดเคือง อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม  โมหะ ความหลงอันนำให้ประกอบอกุศลกรรม.  สัมมาทิฏฐิก็คือความรู้จักอกุศลมูลเหล่านี้ว่า  โลภะ  โทสะ  โมหะ  เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมทั้งหลายตามเป็นจริง.

รู้จักกุศล  รู้จักกุศลมูล
     ส่วนกุศลและกุศลมูลนั้นก็ตรงกันข้าม.  กุศลก็ได้แก่ กุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ คือทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล เป็นกายกรรม ๓ วจี ๔ มโนกรรม ๓ .
     กายกรรม ๓ ก็คือ เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย.
     วจีกรรม ๔ ก็คือ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล.
     มโนกรรม ๓ ก็คือ ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของ ๆ ผู้อื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบตามคลองธรรม.
     ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ก็ตรงกันข้ามกับอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ . สัมมาทิฏฐิก็คือ รู้จักกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ นี้  ว่าแต่ละข้อเป็นกุศลจริง.
     ส่วน กุศลมูล มูลเหตุของกุศลนั้น ก็ได้แก่ อโลภะ ความไม่โลภ ไม่อยากได้ โดยมีความสันโดษความพอใจอยู่ในทรัพย์สมบัติเฉพาะที่เป็นของตนเท่านั้นเป็นต้น  อโทสะ ความไม่โกรธแค้นขัดเคือง ก็โดยที่มีเมตตากรุณาเป็นต้น อโมหะ ความไม่หลง ก็คือ ความที่มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงอันไม่ทำให้หลงใหล ไม่ให้ถือเอาผิด.

สุตะ จินตา ภาวนา
     สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักกุศลมูลเหล่านี้ว่า ทุก ๆ ข้อเป็นมูลเหตุของกุศลจริง สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดังนี้ เป็น ทิฏฐิ คือความเห็นเป็น ทัสสนะ คือความเห็น เป็น ญาณะ คือความรู้ หรือเป็นปัญญาคือความรู้ทั่วถึงที่จะต้องการเป็นขั้นต้นของทุก ๆ คนในโลก แต่ว่าจะได้สัมมาทิฏฐิคือ ความเห็นชอบดั่งนี้ได้ ก็ต้องอาศัยความที่ใช้ปัญญาที่มีอยู่เป็นพื้นในการประกอบปลูกปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     ด้วยการฟังการเรียน อันรวมในคำว่า สุตะ
     ด้วยการคิดพินิจพิจารณา อันรวมเรียกว่า จินตา และ
     ด้วยการปฏิบัติอบรมต่าง ๆ ในข้อที่พึ่งปฏิบัติอบรมนั้น ๆ อันเรียกว่า ภาวนา.
     และเมื่อได้ประกอบปฏิบัติปลูกปัญญา อบรมปัญญา เพิ่มพูนปัญญาในทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ ก็ย่อมจะได้ ปัญญาที่เป็นปัญญาถูกต้อง อันเรียกว่า สัมมัปปัญญา ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดังกล่าว.

กัลยาณมิตร และโยนิโสมนสิการ
     และข้อนี้ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า ก็ต้องอาศัย มิตตสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยมิตรอันหมายความว่าได้มิตรที่ดีงามอันเรียกว่ากัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าเป็นยอดของกัลยาณมิตร. มารดาบิดาครูอาจารย์ทั้งหลายก็เป็นกัลยาณมิตร เพื่อนมิตรทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ทรงปัญญาสามารถที่จะให้คำแนะนำอบรมอันถูกต้องได้เรียกว่า กัลยาณมิตร. ต้องอาศัยกัลยาณมิตรนี้ประการหนึ่ง.
     อีกประการหนึ่ง ก็คือ โยนิโสมนสิการ ที่แปลว่า การทำไว้ในใจ จับให้ถึงต้นเหตุ ดังเช่น เมื่อกำหนดเพื่อรู้จักอกุศล ก็ต้องจับให้ถึงต้นเหตุว่ามีมูลเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นอกุศลมูล และเมื่อกำหนดเพื่อรู้จักกุศล ก็ต้องจับให้ถึงต้นเหตุ ว่ามีต้นเหตุหรือมูลเหตุมาจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ดังกล่าว. ความใส่ใจคือความกำหนดใจพินิจพิจารณาจับเหตุของผลให้ได้ดังนี้คือ โยนิโสมนสิการก็ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการนี้อีกข้อหนึ่ง ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า กัลยาณมิตร และโยนิโสมนสิการนี้ย่อมเป็นเบื้องต้นของสัมมาปฏิบัติทุกอย่าง.
     ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นปัญญา หรือจะคลุมไปได้จนถึงศีลทั้งหมด ต้องอาศัยกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการมาตั้งแต่เบื้องต้น เหมือนอย่างอรุณเป็นเบื้องต้นของวัน.  กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการก็เปรียบเหมือนว่าเป็นอรุณเป็นเบื้องต้นของความสว่างของสัมมาปฏิบัติ คุณงามความดีทั้งสิ้นอันนับว่าเป็นความสว่างจึงต้องอาศัยกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการดั่งนี้. และในมวดธรรมบางหมวดก็ได้ตรัสอธิบายขยายความออกไปในทางปฏิบัติว่า ส้องเสพคบหาสัตบุรุษ คือคนดีก็ได้แก่กัลยาณมิตรนี้เอง.
     ฟังธรรมของคนดี มีโยนิโสมนสิการใส่ใจ คือนำเอาธรรมะที่ฟังมาใส่ไว้ในใจตั้งต้นแต่ตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณาจับเหตุจับผลและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.
     ข้อใดที่พึงละก็ละ.
     ข้อใดที่พึงปฏิบัติก็ปฏิบัติ.
     ข้อใดที่พึงปฏิบัติก่อนก็ปฏิบัติก่อน.
     ข้อใดที่ปฏิบัติภายหลังก็ปฏิบัติภายหลัง.
     ดั่งนี้เป็นต้นเรียกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และเมื่อมีทั้ง ๔ ข้อนี้ก็เป็นอันว่านำให้ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ความเห็นตรง นำให้ได้ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำเข้ามาสู่สัทธรรมของสัตบุรุษ หรือธรรมที่ดี คือถูกต้อง คือพระธรรมวินัยนี้ดั่งนี้.

สัมมาทิฏฐินำมาซึ่งความสิ้นทุกข์
   เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อให้ได้สัมมาทิฏฐิดังกล่าวนี้ พระสารีบุตรจึงได้นำมาอธิบายไว้เป็นประการแรก. และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า เมื่อได้สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล รู้จักกุศล รู้จักกุศลมูล อันนำให้ได้สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ ความเห็นตรง ก็ย่อมจะนำให้ได้ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรมนำเข้ามาสู่ธรรมวินัยนี้. ที่ท่านเรียกว่านำเข้ามาสู่สัทธรรมนี้ ก็คือนำเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา คำสังสอนของพระพุทธเจ้านี้นั่นเอง. และเมื่อเป็นดังนี้ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ปฏิบัติละกิเลสที่นอนจมหมักหมมดองจิตสันดานอันเรียกว่า อาสวะ หรือเรียกว่า อนุสัย อันยกขึ้นมาก็คือว่าเป็นเหตุให้ละราคานุสัย กิเลสที่นอนจมหมักหมมจิตสันดานคือราคะ บรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง อันเป็นเบื้องต้นของกิเลสกองโทสะ ถอนทิฏฐิมานานุสัย อนุสัยคือทิฏฐิมานะ ละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น จึงเป็นไปเพื่อการกระทำความสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ได้ดังนี้.


14  พระไตรปิฏก / พระธรรมตามพระไตรปิฏก / พระไตรปิฏกร่วมสมัย พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 10:30:02 pm

     รูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทาง สติปัญญา และความรู้ความสามารถ ตลอดถึงตำแหน่งหน้าที่การงาน ได้เข้ามาสร้างความแตกต่างทางสังคม ทั้งเชืืืื้อชาติ๓าษาและวัฒนธรรมประเพณีก็แยกมนุษย์ออกจากกันจนห่างไกลกลายเป็นความแตกแยก ประหนึ่งรอยร้าวที่ยากจะประสานสนิท มองมุมนี้ไม่เห็นทางที่มนุษย์จะรวมกันเป็นหนึ่งความเมตตาปรานีนับวันจะสูญหาย ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยมองว่าแม้มนุษย์จะแตกต่าง แต่ก็เหมือนกันตรงที่มีชีวิตจิตใจ มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกนึกคิด เขาก็มีจิต เราก็มีใจ ไม่ต่างกันเลย

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
        "มหาบพิตร องค์ของภิกษุผู้บำเพ็ญเพียรมี ๔ ประการ คือ
             ๑. มีศรัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่าพระองค์ตรัสรู้เองโดยชอบ
             ๒. มีสุขภาพแข็งแรงโรคาพาธน้อย ประกอบด้วยไฟธาตุย่อยอาหารพอเหมาะพอดี
             ๓. ไม่มีมารยาสาไถย ไม่โอ้อวด เป็นคนเปิดเผย
             ๔. มีความเพียรพยายามที่จะละอกุศลธรรม เจริญกุศลธรรมเป็นคนบากบั่นมั่นคง
             ๕. มีปัญญาพิจารณาเห็นความเกิดดับ ทำทุกข์ให้สิ้นไป

     มหาบพิตร วรรณะ ๔ เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ถ้าประกอบด้วยองค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน"

      พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่า
           "พระองค์ผู้เจริญ ถ้าวรรณะ ๔ เหล่านั้นประกอบด้วยองค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้จริง จะมีข้อแตกต่างกันบ้างไหม"

      พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
            "มหาบพิตร อาตมาภาพกล่าวว่าวรรณะ ๔ เหล่านี้ ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งเก็บไม้สักแห้งมาก่อไฟให้ไหม้ลุกโชน ต่อมาชายอีกคนหนึ่งเก็นไม้สาละแห้งมาก่อไฟให้ลุกโชน ต่อมาชายอีกคนหนึ่งเก็บไม้มะม่วงแห้งมาก่อไฟให้ลุกโชน และต่อมาก็มีชายอีกคนหนึ่งเก็บไม้มะเดื่อแห้งมาก่อไฟให้ลุกโชน
    มหาบพิตร พระองค์ทรงเข้าพระทัยเรื่องนั้นอย่างไร เปลวกับเปลว สีกับสี แสงกับแสงของไฟที่เกิดจากไม้ต่างๆ นั้นแตกต่างกันบ้างไหม"
            "ไม่แตกต่างกันเลย พระพุทธเจ้าข้า"
            "อย่างนั้นเหมือนกัน มหาบพิตร."

    ธรรมชาติคือสภาพความเป็นจริง ซึ่งดำเนินไปตามระบบกฏเกณฑ์ของมันสอดประสานสัมพันธ์ เช้า สาย บ่าย เย็น มืด สว่าง ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง และเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เรียบๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นให้เราตื่นตระหนก แต่ไม่นานวันมันก็ค่อยๆ เลือนลับไปกับสายลมแสงแดด ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงแตกดับปรากฏให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย นี้คือสัจจะอันเป็นนิรันดร์ สรรพชีวิตตกอยู่ในสภาพนี้มีความเสมอเหมือน ไม่มีใครเหนือใครในสัจธรรมชีวิต ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเราก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

    ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นความจริงขั้นมูลฐาน มันปรุงประกอบกันเองตามสัดส่วนที่เหมาะสม โดยมีเหตุปัจจัยต่างๆ มาสัมพันธ์เกื้อหนุนสำเร็จเป็นรูปนี้บ้าง รูปนั้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรูปใหญ่ เล็ก หยาบ ละเอียดเพียงใด ก็ล้วนมาจากธาตุทั้ง ๔ ครั้นสำเร็จเป็นรูปร่างแล้วก็ค่อยๆ โตเติญใหญ่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็แตกดับกลับไปสู่สภาพเดิม

    จากดิน น้ำ ลม ไฟ ค่อยใหญ่ยิ่ง
กลายเป็นสิ่งสดสวยด้วยสีสัน
แล้วเสื่อมสิ้นอินทรีย์ทุกชีวัน
สูงสุดคืนสู่สามัญ นั่นความจริง ฯ


    คือความจริงตามธรรมชาติที่ใครไม่อาจสั่งบังคับและต้านทานมันไม่ขึ้นกับใคร ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของใคร ทว่าเป็นไปตามปรกติธรรมดา

    บนผืนหล้าใต้ฟ้าครามนี้ สรรพชีวิตกำลังดำเนินไปสู่ความเป็นธรรมดาสามัญเราท่านก็เหมือนกันมิใช่หรือ.


    "...ธรรมชาติคือสภาพความจริง
ซึ่งดำเนินไปตามระบบกฏเกณฑ์ของมัน
สอดประสานสัมพันธ์ เช้า สาย บ่าย เย็น
มืด สว่าง ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่อย่าง
เที่ยงตรง และเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เรียบๆ
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด..."

15  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระพิมพ์ วัดพลับ เมื่อ: มกราคม 18, 2013, 06:10:49 pm
พระพิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ วัดพลับ หรือวัดราชสิทธาราม แบบขรัวตาจัน




ผงสมเด็จ สุก ไก่เถื่อน เป็นพิมพ์บาทฐาน ของพระกรรมฐาน ในห้องปีต



http://www.facebook.com/photo.php?fbid=521134767930738&set=a.248254268552124.66759.100001026573295&type=1&relevant_count=1&ref=nf
16  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / อดีตที่เคยรุ่งเรือง สุโขทัย ธรรมะสัญจร (แสวงธรรมส่วนตัว เก็บบุญข้ามปี) เมื่อ: มกราคม 14, 2013, 12:27:40 pm
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชวรวิหาร (วัดพระปรางค์)












[img ]http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/524798_470842659639114_1362043102_n.jpghttp://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/481162_470842869639093_965201642_n.jpg[/img]

[img ]http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/530295_470842856305761_1107536961_n.jpghttp://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/74971_470842906305756_1660540819_n.jpg :)[/img]

[img ]http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/407959_470842909639089_1335514793_n.jpg[/img]

























ใครจะรู้บ้างว่าเกี่ยวอะไร ยังไง กับกรรมฐานมัชฌิมา แต่ที่รู้ ๆ หลวงปู่มาเมืองลับแลที่นี่ จะเพราะอะไร ?
17  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมปฏิบัตธรรมข้ามปี 31 ธ.ค.-1 ม.ค.56 ณ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 03:09:54 pm
18  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ใครรู้บ้าง ว่า วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคมนี้ เป็นวันอะไร ? เมื่อ: ธันวาคม 07, 2012, 07:24:12 pm
ก็มีปัญหามาให้คบคิดกันอีกแล้ว  ;)

ใครรู้บ้าง ว่า วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคมนี้ เป็นวันอะไร ?
   :72:

 ???   :smiley_confused1:   :41:

คำใบจะมีอยู่ที่นี่ : http://www.madchima.org/madchima/radiomad.php
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ๑ ทศวรรษ ประชาชนได้อะไรจากกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 09:14:16 pm
๑ ทศวรรษ ประชาชนได้อะไรจากกระทรวงวัฒนธรรม


   “วัฒนธรรม” เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นชาติ และอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เปรียบเสมือน “รากแก้ว” ที่หยั่งรากลึกและหล่อหลอมความเป็นไทยให้คงอยู่ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ ที่นำพาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยอย่างมากมาย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่สำคัญของคนไทย ทุกคนที่จะต้องช่วยกันธำรงรักษา “วัฒนธรรมของไทย” ให้สืบทอดต่อไปและนั่นก็คือ ภารกิจหลักของกระทรวงวัฒนธรรม
 
           ด้วยเหตุผลดังกล่าว “กระทรวงวัฒนธรรม” จึงตั้งขึ้นมาตามนโยบายการปฏิรูประบบราชการตั้งแต่เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕ โดยปัจจุบัน มีหน่วยงานในสังกัดประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ซึ่งมีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดตั้งอยู่ในภูมิภาคทุกจังหวัด)  กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ นอกจากนี้ยังมีองค์การมหาชน ๓ หน่วยงาน คือ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หอภาพยนตร์ และศูนย์คุณธรรม
 
           เนื่องจากทุกวันนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้มีวัฒนธรรมต่างชาติแพร่หลายเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งในบางครั้งก็สวนทางกับขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย ดังนั้น งานด้านเฝ้าระวังของกระทรวงวัฒนธรรม จึงมีความสำคัญและมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้รองรับงานที่มากขึ้นนี้ จึงมีการยกฐานะกลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมให้เป็นสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มีศูนย์ฮอตไลน์ ๑๗๖๕ เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อรองรับการแจ้งเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
 
 “งานด้านเฝ้าระวัง” จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและเครือข่ายทางสังคมในการชี้เบาะแสและ ให้ข้อมูล ซึ่งจากการสรุปผลข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาที่อาจส่งผลทางวัฒนธรรม ในช่วงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ พบว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาของสื่อที่เป็นช่องทางสร้างความเบี่ยงเบนทาง วัฒนธรรม มีจำนวน ๗๙.๒% เช่นในกรณีที่ประชาชนร้องเรียนผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ ว่าเว็บไซต์แห่งหนึ่ง เผยแพร่ข้อความของภาพยนตร์เรื่องน้ำตาลแดงมีความไม่เหมาะสม และการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาด้านการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสมมีจำนวน ๒๐.๘๓% เช่น ในกรณีที่กลุ่มเชียงใหม่อารยะร้องเรียนเรื่องการให้สัมภาษณ์ของผู้หญิงไทย ที่ถ่ายภาพนู้ดในปฏิทินของบริษัทขายน้ำเมายี่ห้อหนึ่ง โดยระบุถึงการแก้ผ้าถ่ายนู้ด หลังจากที่ใช้ผ้าปิดบังของสงวนเพียงแค่ ๑๐ วินาทีเป็นต้น
 
 หรือ อย่างกรณีของความไม่เหมาะสมในการเล่นสงกรานต์ปี ๒๕๕๔ ซึ่งเกิดจากกรณีหญิงสาววัยรุ่นเต้นโชว์หน้าอกที่ถนนสีลม ก็เป็นเรื่องตัวอย่างหนึ่งของงานเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เพราะเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงและส่งผลให้เกิดการติติงจากสังคมอย่างมาก จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สั่งให้ “วัฒนธรรมจังหวัด” ไปตรวจตราและสอดส่องการเล่นสงกรานต์ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพบว่ามีจังหวัดที่มีการเล่นสงกรานต์ไม่เหมาะสมมากถึง ๘ จังหวัด

และ ยังมีกรณีที่เครือข่ายผู้ปกครองและประชาชนร้องเรียนผ่านสายด่วน ๑๗๖๕ ของกระทรวงวัฒนธรรม ถึงความไม่เหมาะสมของตัวละครในเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ สุดท้ายผู้จัดละครต้องตัดฉากที่ไม่เหมาะสมออกไป
 
 กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
 พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและพัฒนาภาพยนตร์ โดยเฉพาะรายการเกี่ยวกับเด็ก โดยภาครัฐจะเข้าไปสนับสนุนเงินทุนผ่านทางกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้าง สรรค์ ซึ่งในเบื้องต้นเงินมาจากกองทุนของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และในระยะต่อไปเงินที่นำมาสมทบในกองทุนฯ อาจจะนำมาจากการเก็บภาษีร้านคาราโอเกะ ร้านเกม และสื่อต่างประเทศ ๑%
 
 แต่สิ่งที่น่ากังวลใจมากสิ่งหนึ่งก็คือการที่เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ถูก “มอมเมา” หรือรับวัฒนธรรมจากนานาประเทศได้ง่าย ดังนั้น ในหลายโครงการของกระทรวงวัฒนธรรมจึงมีการใช้อายุเด็กและเยาวชนตั้งแต่ ๑๘ - ๒๐ ปี มาเป็นเกณฑ์กำหนดในการดูแลและดำเนินงาน อย่างเช่นการจัดเรตติ้ง (Rating) ของภาพยนตร์ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ชมแต่ละวัย ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดเรตติ้งภาพยนตร์ โดยแบ่งระดับเป็น ๗ ประเภท ประกอบด้วย ประเภทที่ส่งเสริมการเรียนรู้และควรส่งเสริมให้ดู ประเภทที่เหมาะสมกับผู้ดูทั่วไป ประเภทที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ ๑๓ ปี ๑๕ ปี ไปจนถึง ๑๘ ปีขึ้นไป ประเภทที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า ๒๐ ปีดู และ ประเภทที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร เนื่องจากมีเนื้อหาหมิ่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายความมั่นคงของประเทศ ก่อให้แตกความสามัคคี

ซึ่งเมื่อมีการจัดเรตติ้งภาพยนตร์แล้ว ทางกระทรวงวัฒนธรรมยังเห็นว่าควรจะมีการจัด “เรตติ้งเกม” ในหลักเกณฑ์เดียวกัน เพื่อสะดวกในการดูแลและตรวจสอบ โดยมีการกำหนด “เรตติ้งเกม” ทั้งหมด ๗ ประเภท ประกอบด้วย เกมที่เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกวัย เกมที่เหมาะสำหรับผู้เล่นในช่วงอายุ   ๓ - ๕ ปี และ ๖ - ๑๒ ปี เกมที่เหมาะสำหรับผู้เล่นอายุตั้งแต่ ๑๓ ปี ๑๕ ปี ไปจนถึง ๑๘ ปีขึ้นไป และเกมที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า ๒๐ ปีเล่น

และจากปัจจุบันที่ปัญหาร้านเกมกลายเป็นแหล่ง “มั่วสุม” ของเด็กและเยาวชน ทางกระทรวงวัฒนธรรมจึงได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยจัด “โครงการร้านเกมสีขาว” ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานร้านเกมโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดในการร่วมมือกับภาคเอกชนจัดโปรแกรมติวเตอร์ออนไลน์ ซึ่งเป็นโครงการที่ให้นักเรียนที่มาเข้าใช้ร้านเกมสีขาวสามารถเข้ารับการติว ฟรีผ่านระบบออนไลน์ ทำให้เกิดแรงจูงใจต่อผู้ประกอบการร้านเกมจำนวนมากยิ่งขึ้น
 
 นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังได้เล็งเห็นถึงการให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของ “คน”ในสังคม ซึ่งนำมาสู่การมอบ “รางวัล” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ “บุคคลสำคัญ” และสร้างขวัญและกำลังใจให้กับ “บุคคลที่ทำความดีให้แก่สังคม” ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ยึดถือและปฏิบัติมาช้านาน อาทิเช่น
 
 ·  กระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม  ได้ร่วมจัดพิธีการเฉลิมฉลองในโอกาส ๑๐๐ ปี ชาตกาล ตามที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่านศาสตราจารย์ (พิเศษ)  พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ๔ สาขา คือ การศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาล พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔
 
 ·  โครงการ คนดี คิดดี สังคมดี ที่เป็นการยกย่องและให้รางวัลแก่ผู้ทำความดี กล้าหาญ เสียสละ มีน้ำใจต่อสังคม และเพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นมีความกล้าที่จะทำความดี โครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ตำรวจและแท็กซี่พลเมืองดีจำนวน ๓ ราย จากเหตุการณ์คนร้ายคลั่งก่อเหตุจี้รถและขับรถชนตำรวจ ใช้อาวุธทำร้ายตำรวจ แท็กซี่พลเมืองดี และจับแพทย์หญิงเป็นตัวประกัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย
 
 กระทรวงวัฒนธรรม ยังได้จัดให้มีรางวัลแก่ศิลปินในสาขาต่าง ๆ ที่ร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะตลอดจนการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมไทย ให้สืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง อย่างเช่น
 
 ·  รางวัล “ศิลปินแห่งชาติ” ถือ เป็นรางวัลที่สร้างขวัญกำลังใจแก่ศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะของชาติ และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรม โดยมีการพิจารณาใน ๓ สาขา คือ สาขาทัศนศิลป์ สาขาวรรณศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง ทั้งนี้ รางวัล “ศิลปินแห่งชาติ” เกิดขึ้นในสมัยที่นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และด้วยความที่นายชวนเป็นผู้ก่อตั้งโครงการศิลปินแห่งชาติ จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “ฐาปนันดรศิลปิน” ในความรับผิดชอบของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เริ่มดำเนินการครั้งแรกในปี ๒๕๒๘

·  รางวัล “ศิลปาธร” มี วัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริม สนับสนุน และเชิดชูเกียรติศิลปิน ร่วมสมัย รุ่นกลางที่มีอายุระหว่าง ๓๐ - ๕๐ปี ใน ๙ สาขา ได้แก่ ทัศนศิลป์ วรรณศิลป์ ดนตรี ศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ สถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ เรขศิลป์ และการออกแบบ โดยรางวัล “ศิลปาธร” ในความรับผิดชอบของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เริ่มดำเนินการครั้งแรกในปี ๒๕๔๗

          การผลิตบุคลากรเฉพาะสาขาศิลปวัฒนธรรมรับใช้สังคมโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ซึ่ง จัดการศึกษาและส่งเสริมวิชาการตั้งแต่ระดับพื้นฐานวิชาชีพถึงวิชาชีพชั้นสูง ด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ คีตศิลป์ ช่างศิลป์ ทั้งไทยและสากล รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ทำการสอน ทำการแสดง ทำการวิจัยและให้บริการทางวิชาการ ตลอดจนส่งเสริม สืบสาน สร้างสรรค์ ทำนุบำรุง และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชนในท้องถิ่น โดยผลิตบุคลากรแบ่งเป็น  ๓ ระดับ

·       เป็นช่างฝีมือประณีตทางนาฏศิลป์ ดนตรี คีตศิลป์ ช่างศิลป์ระดับผู้ปฏิบัติ
 
 ·       เป็นครูระดับชำนาญที่สามารถถ่ายทอดศิลปะสาขาต่างๆ ได้
 
 ·       เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะ เป็นศิลปินในศิลปะสาขาต่างๆ และมีฝีมือเชี่ยวชาญเป็นระดับชาติ
 
          ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เป็นองค์การมหาชนในกระทรวงวัฒนธรรม ที่ดำเนินการศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนาข้อมูลทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลทางมานุษยวิทยาสำหรับการศึกษา ค้นคว้า และนำความรู้ทางมานุษยวิทยาขับเคลื่อนสังคมเพื่อฟื้นคุณค่าความเป็นมนุษย์  ให้มนุษย์เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษยชาติทั้งมวล มนุษย์จะได้เข้าใจตนเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นพื้นฐานให้เกิดความเข้าใจอันดีและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยให้บริการทางวิชาการด้านข้อมูลประเภทต่างๆ ผ่านสื่อผสม จัดทำสื่อวิชาการและสื่อโสตทัศนวัสดุ จัดแสดงนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน  และให้บริการห้องสมุดเพื่อการสืบค้นข้อมูล

การอนุรักษ์และบูรณะโบราณสถาน ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของกรมศิลปากร ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงโบราณสถานที่เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางภาคเหนือของไทยและประเทศพม่าเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งทางกรมศิลปากรพบว่ามีโบราณสถานที่เสียหายในจังหวัดน่าน พะเยา แพร่ ลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย โบราณสถานที่สำคัญเสียหายถึง ๔ แห่ง

การเสนอขึ้นทะเบียนโบราณสถาน/โบราณวัตถุให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของกรมศิลปากร ซึ่งล่าสุดกรมศิลปากรได้เตรียมเสนอภูมิทัศน์โบราณสถาน ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่ขึ้นบัญชีเบื้องต้น (Tentative List) ของมรดกโลก ต่อ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทาง วัฒนธรรมแล้ว ๓ แห่ง คือ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร  นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา  และแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง

ในส่วนของการปกป้อง คุ้มครอง และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เพื่อนำไปเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกนั้น กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องคุ้มครอง ส่งเสริม และสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ด้วยการจัดทำบัญชีรายชื่อ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” เพื่อขึ้นทะเบียนคุ้มครองโดยใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จำนวน ๒๕ รายการ ได้แก่

สาขาศิลปะการแสดง  ๖ รายการ  ได้แก่  ปี่พาทย์  ละครใน  หุ่นกระบอก  ลิเกทรงเครื่อง  รำเพลงช้า-เพลงเร็ว แม่ท่ายักษ์ - ลิง 
 
 สาขางานช่างฝีมือดั้งเดิม ๓ รายการ ได้แก่ ผ้ายก ผ้ามัดหมี่ การปั้นหล่อพระพุทธรูป 
 
 สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน ๑๕ รายการ เช่น นิทานศรีธนญชัย สังข์ทอง ขุนช้างขุนแผน ตำนานพระแก้วมรกต เป็นต้น

สาขากีฬาภูมิปัญญาไทย ๑ รายการ คือ มวยไทย
 
 การอนุรักษ์และสืบทอดพระราชพิธี  กระทรวง วัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รักษา อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงพระราชพิธีต่างๆ ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดพระราชพิธีที่สำคัญต่างๆ อาทิ โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ นอกจากนี้ ยังมีพระราชพิธีต่างๆ สำคัญประจำปี เช่น พระราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉัตรมงคล ฯลฯ  และพระราชพิธีที่สำคัญอื่นๆ เช่นกระบวนพยุหยาตราชลมารค และงานรำลึก ๑๐๐ ปี พระปิยะมหาราช เป็นต้น
 
 งานด้านการศาสนา  กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนา  ทำหน้าที่ในการรับสนองงานพระราชพิธี พระราชกุศล รัฐพิธี และศาสนพิธี เพื่อให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และเพื่อดำรงความเป็นเอกลักษณ์ของสังคมไทย   ตลอดจนส่งเสริมให้ศาสนามีบทบาทนำในการร่วมเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ  ศาสนา พระมหากษัตริย์    ให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองกิจการด้านศาสนา ส่งเสริมการเผยแพร่หลักธรรม   และพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม  รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจอันดีและสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา  เพื่อนำหลักธรรมทางศาสนามาใช้ส่งเสริมศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนได้นำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต  เพื่อ สร้างภูมิคุ้มกันและให้เกิดความเข้มแข็งต่อสถาบันครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าประสงค์สำคัญ เพื่อสร้างความมั่นคงในสถาบันหลักของชาติ  และนำทุนทางวัฒนธรรมของประเทศมาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางสังคม และเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ โดยมี “ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์”  “ ลานบุญ ลานปัญญา” “ศูนย์การเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรม”และองค์การทางศาสนา  เป็นแหล่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนซึ่งเป็นรากฐานของประเทศให้มีคุณธรรม จริยธรรม บนพื้นฐานแห่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทย  เพื่อสร้างความสุขและความสมานฉันท์ ตลอดจนเพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่อยู่ที่สบาย  เป็นสวรรค์แห่งเอเชีย ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงคงอยู่เป็นอัตลักษณ์ของไทยสืบไป
 
           นอกจากนี้  ศูนย์คุณธรรม องค์การมหาชนในกระทรวงวัฒนธรรม ยังทำ หน้าที่ในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนประสานงานและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายองค์กรด้านการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ให้มีพลังในการพัฒนาคุณภาพประชากรของชาติในด้านคุณธรรมจริยธรรม เพื่อรักษาดุลยภาพในการพัฒนาสังคมไทย โดยจัดกระบวนการสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ด้วยการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งจัดต่อเนื่องมาแล้ว ๖ ครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๔ เพื่อให้เกิดการยอมรับและมีความมุ่งมั่นในการยึดถือนำไปสู่การปฏิบัติ การวิจัยและจัดการความรู้ เพื่อสืบค้น แสวงหา        องค์ ความรู้และต้นแบบด้านคุณธรรมและจริยธรรม มากกว่า ๒๐๐ รายการ อาทิ ต้นแบบจิตอาสา แผนที่ความดี ที่นำไปสู่นโยบายบริหารราชการแผ่นดินตามมติคณะรัฐมนตรี การจัดงานเปิดขอบฟ้าคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนผู้สนใจ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการวิจัยด้านคุณธรรมจริยธรรม และการสื่อสาร รณรงค์ และเผยแพร่องค์ความรู้ อาทิ กิจกรรมทำดีไม่ต้องเดี๋ยว เครือข่ายศูนย์เรียนรู้เชิงคุณธรรม ที่สอดคล้องกับพื้นที่และบริบทแต่ละแห่ง จัดทำภาพยนตร์สารคดีสั้น ๓ นาที ชื่อ ดอกไม้บาน...สื่อสารความดี เพื่อเผยแพร่กิจกรรมและกระบวนการสร้างคุณธรรมความดีในสังคมเผยแพร่ทางสถานี โทรทัศน์ และมีผลผลิตด้านสื่อสาธารณะจำนวน ๒๐๔ เรื่อง
 
 นอกเหนือจากภารกิจทางด้านสังคมและวัฒนธรรมแล้ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีภารกิจในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยสามารถทำรายได้ให้กับประเทศกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท แอนิเมชั่น และเกมของไทยสร้างรายได้กว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท กระทรวงวัฒนธรรมจึงจัดทำโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์และวี ดิทัศน์แห่งชาติ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ผลิตภาพยนตร์ทุกประเภท รวมถึงเกมและแอนิเมชั่น โดยมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวิดีทัศน์เป็นผู้พิจารณาจัดสรรเงินสนับสนุน

นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ยัง ได้จัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิต เผยแพร่ ถ่ายทำ จัดจำหน่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่สำคัญในตลาดโลก รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเฉพาะการนำทุนมรดกทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งมีอยู่มากมายไปใช้ในการสร้างภาพยนตร์ เช่นเดียวกับประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น เป็นต้น

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจนั้น กรมศิลปากรได้จัดทำโครงการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์จากมรดกวัฒธรรมขึ้น เพื่อเผยแพร่ให้แก่ชุมชนหรือผู้สนใจได้ใช้เป็นแนวทางไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ตามความเหมาะสมกับเอกลักษณ์ของชุมชน โดยดำเนินการสร้างต้นแบบด้านศิลปกรรม จำนวน ๒๐ แบบ เช่นโคมไฟ ที่เสียบปากกา กระถางธูป ชุดถ้วยกาแฟ และแจกันรูปช้าง เป็นต้น
 
 อีกทั้ง ได้จัดทำเว็บไซต์ www.creativeculturethailand.com เพื่อเป็นฐานข้อมูลและเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานของผู้ผลิตไทย ตามโครงการวัฒนธรรมสรรค์สร้าง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศเข้าถึงสินค้าทางวัฒนธรรมได้ง่ายยิ่ง ขึ้น โดยมีฐานข้อมูลของผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมในท้องถิ่นทั้งประเทศกว่า ๒,๐๐๐ รายการ แบ่งเป็น ๔ กลุ่มสินค้า คือ  กลุ่มสืบทอดทางวัฒนธรรม เช่น งานหัตถกรรม ท่องเที่ยว แพทย์แผนไทย และอาหาร เป็นต้น  กลุ่มศิลปะ เช่น ศิลปะการแสดง และทัศนศิลป์  กลุ่มสื่อ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อกระจายเสียง และกลุ่มงานสร้างสรรค์ เช่น งานออกแบบแฟชั่น โฆษณา ดนตรี และซอฟแวร์ เป็นต้น
 
 สุดท้าย เพื่อให้การดำเนินงานด้านต่างๆ ของกระทรวงในอนาคต สอดรับกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมปรับบทบาทภารกิจในหลายๆ ด้าน อาทิ
 
 การถ่ายโอนงานการดูแลโบราณสถาน/พิพิธภัณฑ์ ไปให้ชุมชนหรือท้องถิ่น โดยกรมศิลปากรเองก็มีหน้าที่เสริมสร้างและส่งเสริมงานเครือข่ายการบูรณาการ เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาการอนุรักษ์แหล่งมรดกทางศิลปกรรมในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งการอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ จะต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในท้องถิ่นนั้นเป็นสำคัญ เพราะโบราณสถาน / พิพิธภัณฑ์ ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของชุมชนที่ประชาชนในท้องถิ่นจะต้องหวงแหน และร่วมกันรักษาให้ดีที่สุด โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมถ่ายโอนงานการดูแลโบราณสถาน/พิพิธภัณฑ์ ไปให้ชุมชนหรือท้องถิ่นดำเนินการ จำนวน ๑๔๐ แห่งในช่วงปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖

การปรับปรุงสถานที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) เพื่อใช้อนุรักษ์ฟิล์มภาพยนตร์ ซึ่งมีจำนวนมาก คือ ภาพยนตร์ไทยประมาณ ๑,๕๐๐ เรื่อง ภาพยนตร์สารคดีประมาณ ๘,๐๐๐ เรื่อง ภาพยนตร์ข่าวประมาณ ๕๐,๐๐๐ ข่าว จึงเห็นว่าควรมีการโอนย้ายภารกิจการส่งเสริมและสนับสนุนภาพยนตร์ในส่วนของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยไปไว้ที่หอภาพยนตร์ เนื่องจากหอภาพยนตร์เป็นองค์การมหาชนสามารถกำหนดหลักเกณฑ์และบริหารการส่ง เสริมภาพยนตร์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
 
  “วัฒนธรรม” เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติ เป็นรากฐานของการสร้างสรรค์ ความสามัคคี และความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น คนไทยทุกคนจะต้องหวงแหน ช่วยกันรักษาไว้ ซึ่งพลังที่สำคัญก็คือความร่วมมือของชุมชนและเครือข่ายของสังคม ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเพียงอีกกลไกหนึ่งทางสังคม  ที่ช่วยขับเคลื่อนในการอนุรักษ์ รักษาขนบธรรมเนียม และมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าให้ สืบทอดต่อไป

จาก:http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=3160
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เติมรัก เติมรสชีวิตให้สุข สดชื่น ด้วยพยัญชนะจาก ก ไก่ - ฮ นกฮูก เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 09:06:54 pm
เติมรัก เติมรสชีวิตให้สุข สดชื่น ด้วยพยัญชนะจาก ก ไก่ - ฮ นกฮูก

ในชีวิตที่สับสน วุ่นวาย และซับซ้อนเช่นปัจจุบัน แม้เราจะมีเครื่องอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ช่วยร่นทั้งเวลาและย่นระยะทางในการสื่อสารกับครอบครัว เพื่อนฝูง และคนใกล้ชิด แต่ก็น่าแปลกที่หลายๆคนก็ยังรู้สึกเหงาหงอย เศร้าซึม จนดูเหมือนอยู่คนเดียว ท่ามกลางผู้คนมากมาย นั่นคงเป็นเพราะว่าคนสมัยนี้ แม้จะอยู่ในบ้านเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน ทำงานด้วยกัน หรืออยู่ใกล้กันไม่ว่าแบบใด ก็อาจจะเป็นประเภท “ ใกล้ตัว ไกลใจ ” หรือบางคนก็ “ ไกลทั้งตัว ไกลทั้งใจ ” เพราะขาดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงทำให้ไม่อบอุ่นและไม่ผูกพันซึ่งกันและกัน ดังนั้น เพื่อเป็นการเติมรัก เติมรสชีวิต ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายของเราให้ดีขึ้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเสนอแนะสิ่งควรทำ และไม่ควรทำ จากพยัญชนะ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก (บางตัว) ดังต่อไปนี้

-ก ที่ควรทำ ได้แก่ กอด พ่อแม่ ลูก สามี หรือภริยา วันละครั้ง เพื่อแสดงความรัก ความห่วงใยกอดเพื่อนเพื่อแสดงความเห็นใจ หรือให้กำลังใจ และก่อนนอน อย่าลืม กราบ พระ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือเพื่อขอบคุณและขอพรสำหรับวันต่อไป ก ที่ไม่ควรทำ คือ ก้าวร้าว ไม่ว่ากับใคร เพราะจะทำให้เป็นคนน่าเบื่อ ไม่น่าอยู่ใกล้ ไม่มีใครอยากให้ไปไหนด้วย กลัวไปทะเลาะวิวาทกับเขา

-ข ที่ควรทำ ได้แก่ ขอบคุณ จงกล่าวทุกครั้งที่มีคนทำอะไรให้ ขำขัน คือ ให้เป็นคนมีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน ข.ที่ไม่ควรทำ คือ ขุดคุ้ย เอาเรื่องเก่ามาว่าไม่จบสิ้น หรือหาเรื่องมาประจานเขา

-ค ที่ควรทำ ได้แก่ ครุ่นคิด และ ใคร่ครวญ คือ คิดก่อนทำอะไรทุกครั้ง เพื่อมิให้ตัวเองและคนอื่นเสียใจภายหลัง ค ที่ไม่ควรทำ คือ คลั่งแค้น อย่าเป็นคนโกรธไม่รู้หาย อาฆาตไม่รู้จบ ทำให้คนอยู่ใกล้ไม่มีความสุข

-ง ที่ควรทำ ได้แก่ งดงาม ด้วยการทำตัวเราให้งดงามทั้งกาย วาจาและใจเสมอ ง้องอน เมื่อเราทำผิด หรือง้อเพื่อทำให้คนที่เรารักรู้สึกดีขึ้น และรู้จัก เงียบ ไม่โต้เถียงเสียบ้าง เพื่อให้เกิดความสงบสุข ง ที่ไม่ควรทำ คือ งก อยากได้เกินควร และไม่รู้จักแบ่งปัน

-จ ที่ควรทำ ได้แก่ รู้จัก จดจำ วันเกิด วันสำคัญของคนในครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก และทำอะไรเป็นพิเศษให้บ้าง ข้อสำคัญต้อง จริงใจ ไม่เสแสร้งหลอกลวง อันจะทำให้ต้องหวาดระแวงกันตลอดเวลา จ ที่ไม่ควรทำ คือ จู้จี้จุกจิก พิถีพิถันเกินเหตุ ใครทำอะไรให้ก็ไม่พอใจสักที และไม่เ จ้าชู้ ให้เกิดปัญหาในครอบครัว หรือที่ทำงาน

-ฉ ที่ควรทำ ได้แก่ ทำตัวให้ ฉลาดเฉลียว รู้ว่าอะไรควร ไม่ควร รู้กาลเทศะ รู้จักพูด รู้จักทำสิ่งต่างๆ ฉ ที่ไม่ควรทำ คือ เฉยเมย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว กับความรู้สึกของคนอื่นหรือ ฉุนเฉียว ให้คนหวาดผวา

-ช ที่ควรทำ ได้แก่ ชมเชย ชื่นชม คือ รู้จักกล่าวคำชม หรือแสดงความชื่นชมในความสำเร็จ หรือเรื่องดีๆของผู้อื่นบ้าง ช ที่ไม่ควรทำ คือ ช่วงชิง คือ อย่าไปแย่งของรัก ของหวงของผู้อื่น หรือ ชุบมือเปิบ ฉวยประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของเราโดยไม่ลงทุนลงแรง

-ซ ที่ควรทำ ได้แก่ ซื่อสัตย์ ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น ซ ที่ไม่ควรทำ คือ ซุบซิบนินทา หาเรื่องผู้อื่น หรือ เซ้าซี้ จนน่ารำคาญ และอย่าทำท่า เซ็ง จนคนอื่นไม่สนุกไปด้วย

-ฒ ที่ควรทำ ได้แก่ การเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ทรงความรู้ และทำตัวให้น่าเชื่อถือ ฒ ที่ไม่ควรทำ คือ อย่าทำตัวเป็น เฒ่าทารก ไม่รู้จักโต เฒ่าสารพัดพิษ ที่เจ้าเล่ห์ แสนกล และ เฒ่าหัวงู ที่เป็นอันตรายแก่เด็กสาว และกลายเป็นคนแก่ที่ไม่น่านับถือ

-ด ที่ควรทำ ได้แก่ ดี คือ การทำความดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีเหตุมีผล ด ที่ไม่ควรทำ คือ ดุด่า อย่าไปดุด่าว่าใคร หรือใช้อารมณ์จนเกินเหตุ และอย่า โดดร่ม หนีงานบ่อยเพราะเป็นการเอาเปรียบคนอื่น และอย่าเป็น ไดโนเสาร์เต่าล้านปี รุ่นโบราณคร่ำครึ แต่จงเป็นรุ่นจูราสิคปาร์คที่คุยกับเด็กๆสมัยใหม่รู้เรื่อง

-ต ที่ควรทำ ได้แก่ ตักเตือน เมื่อเห็นใครทำผิดหรือทำไม่ถูกต้อง ด้วยความหวังดี ต ที่ไม่ควรทำ คือ ตลบตะแลง ใช้เล่ห์กล หรือโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ

-ถ ที่ควรทำ ได้แก่ ไถ่ถาม ห่วงใยทุกข์สุขของเพื่อนฝูง คนรู้จัก และคนที่เรารัก ถ ที่ไม่ควรทำ คือ ถากถาง อันเป็นการพูดเหน็บ หรือค่อนว่าให้คนอื่นเขาเจ็บใจ

-ท ที่ควรทำ ได้แก่ ทะนุถนอม คือ การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ท ที่ไม่ควรทำ คือ ทิฐิมานะ คือ การโอ้อวดถือดี ถือตัว ไม่ยอมแพ้ จะเอาชนะให้ได้

-ธ ที่ควรทำ ได้แก่ ธรรมะ คือ มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ธ ที่ไม่ควรทำ คือ ธุระไม่ใช่ ด้วยการละเลย บอกปัด ไม่สนใจจะช่วยเหลือใครทั้งสิ้น

-น ที่ควรทำ ได้แก่ นอบน้อม เคารพคนที่ควรเคารพ มี น้ำใจ ให้กับทุกๆคน ช่วยเท่าที่ช่วยได้ น ที่ไม่ควรทำ คือ นอกลู่นอกทาง หรือ นอกคอก ด้วยการไม่ประพฤติตนตามที่ควรเป็น

-บ ที่ควรทำ ได้แก่ บุญ คือ การประกอบคุณงามความดีทุกรูปแบบ บ ที่ไม่ควรทำ คือ บัดสีบัดเถลิง อันจะทำให้ตัวเราและผู้เกี่ยวข้องอับอายขายหน้า เป็นที่รังเกียจ

-ป ที่ควรทำ ได้แก่ ปลอบโยน เห็นใครมีทุกข์ ก็ปลอบใจ /ให้คำปรึกษา และเห็นอกเห็นใจเขา ป ที่ไม่ควรทำ คือ โป้ปดมดเท็จ เป็นการกล่าวโกหก ครั้นต่อไปพูดอะไร คนเขาก็ไม่เชื่อ

-ผ ที่ควรทำ ได้แก่ ผัวเดียวเมียเดียว อันจะช่วยลดปัญหาครอบครัวและสังคม ทำให้เด็กๆอบอุ่น ผ ที่ไม่ควรทำ คือ ผรุสวาท (ผะรุสะวาด) กล่าวคำหยาบ เป็นที่ระคายเคืองหูต่อผู้ที่ได้ยิน

-ฝ ที่ควรทำ ได้แก่ ฝึกฝน คือ ทำอะไรด้วยความเพียร พยายามฝึก เช่น ฝึกฝนทำอาหารให้คนที่เรารักกิน ฝ ที่ไม่ควรทำ คือ ใฝ่ต่ำ ชอบทำอะไรในทางลบ ก่อความเสียหายแก่ตัวเองและครอบครัว

-พ ที่ควรทำ ได้แก่ พรหมวิหารสี่ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อคนรอบข้าง พ ที่ไม่ควรทำ คือ พนัน เพราะจะทำให้เสียเงิน เสียเวลา และนำไปสู่ความเดือดร้อนเรื่องอื่นๆ

-ฟ ที่ควรทำ ได้แก่ ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อใครง่ายๆ หรือไม่ฟังคำยุยงที่จะทำให้เกิดความแตกแยก ฟ ที่ไม่ควรทำ คือ ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เพราะจะทำให้เสียทรัพย์โดยใช่เหตุ และไม่จำเป็น

-ภ ที่ควรทำ ได้แก่ ภาคภูมิ คือ ทำตัวให้สง่า ผึ่งผาย ไม่ซอมซ่อ ทำให้คนที่รักภูมิใจในตัวเรา ภ ที่ไม่ควรทำ คือ ภาระ กล่าวคือ ทำตัวไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิด เป็นที่หนักใจแก่คนอื่นตลอดเวลา

- ม ที่ควรทำ ได้แก่ มัธยัสถ์ คือ รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด และเท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่เดือดร้อน ม ที่ไม่ควรทำ คือ โมหะ นั่นคือทำตัวมืดมน มัวเมาด้วยความหลงผิดต่างๆนานา

-ย ที่ควรทำ ได้แก่ ยกย่อง ให้เกียรติทุกคน ไม่ดูหมิ่น ดูแคลนไม่ว่ากับพ่อแม่ พี่น้องหรือเพื่อนฝูง ย ที่ไม่ควรทำ คือ เย้ยหยัน /เยาะเย้ย ทำให้เขาเจ็บใจ เสียใจและผูกใจเจ็บ หรือ ยุยง ให้แตกแยก

-ร ที่ควรทำ ได้แก่ รัก ตัวเองและรักผู้อื่นให้เป็น และมี ระเบียบ ในการปฏิบัติตนและการทำงาน ร ที่ไม่ควรทำ คือ รังควาน ด้วยการรบกวนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รำคาญทั้งกายและใจ หรือ แรด อันหมายถึง ดัดจริต จนคนเขาระอา และหมั่นไส้ไปทั่ว

-ล ที่ควรทำ ได้แก่ ละมุนละม่อม หรือ ละมุนละไม คือ ทำอะไรด้วยความอ่อนโยน นิ่มนวลต่อกัน ล ที่ไม่ควรทำ คือ ลวนลาม ล่วงเกิน แทะโลมผู้อื่นด้วยวาจาหรือการกระทำ จนเป็นที่ดูถูก

-ว ที่ควรทำ ได้แก่ วันทา คือ การไหว้ และแสดงอาการเคารพต่อบุคคล สถานที่ที่ควรเคารพ ว ที่ไม่ควรทำ คือ วู่วาม ไม่รู้จักเก็บอารมณ์ และทำให้เกิดเรื่องเกิดราวได้ง่าย

-ศ ที่ควรทำ ได้แก่ ศักดิ์ศรี คือ ทำตนให้มีเกียรติ และมี ศีล ทำให้เราน่าคบ และน่าเคารพนับถือ ศ ที่ไม่ควรทำ คือ ศัตรู อย่าก่อศัตรู หรือเป็นศัตรูกับผู้อื่น จะทำให้ชีวิตเราไม่สงบสุข และกลุ้มใจ

-ส ที่ควรทำ ได้แก่ สติ คือทำอะไรให้มีสติอยู่ตลอดเวลา และ เสียสละ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสบ้าง ส ที่ไม่ควรทำ คือ ส่อเสียด และ เสแสร้ง เพราะจะทำให้คนโกรธ และไม่อยากคบ เพราะไม่จริงใจ

-ห ที่ควรทำ ได้แก่ หอมแก้ม คนที่เรารักบ้างเป็นครั้งคราว อันจะทำให้ชีวิตรักสุข สดชื่น ห ที่ไม่ควรทำ คือ หงุดหงิด อารมณ์เสียอยู่เสมอ ทำให้คนอยู่ใกล้หมดความสุข

-อ ที่ควรทำ ได้แก่ อโหสิ และให้ อภัย แก่คนรอบข้าง และรู้จัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา อ ที่ไม่ควรทำ คือ เอาใจยาก หรือ เอาใจออกห่าง ล้วนทำให้เกิดปัญหาทั้งสิ้น

-ฮ ที่ควรทำ ได้แก่ แฮปปี้ ( Happy )คือ ทำตัวให้สบาย มีความสุขตลอดเวลา อย่าเป็นคนเจ้าทุกข์ ฮ ที่ไม่ควรทำ คือ โฮกฮาก ทำเสียงกระแทกเวลาพูด ทำให้เสียบุคลิกภาพ

ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติแบบง่ายๆ สบายๆ ซึ่งเชื่อว่าใครก็ตาม หากนำไปใช้กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูงรอบข้าง คนรักหรือคนใกล้ชิด ก็คงจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่ดีงามให้แก่กันและกันไม่มากก็น้อย และคงจะทำให้ชีวิตมีความสุข สดชื่นขึ้นแน่นอน

อมรรัตน์ เทพกำปนาท
 กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
จาก : http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=3107
 
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เที่ยววัดอย่างไรให้สนุก เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 09:04:13 pm
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ “กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงธรรมะ” หรือ “ทัวร์ไหว้พระ” ณ วัดสำคัญต่างๆ นับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวที่มาแรงและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในบ้านเรา ทั้งนี้เพราะตามคติความเชื่อที่ถือว่าการได้มาสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ร่วมทำบุญบริจาคทาน จะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ชีวิต และสร้างจิตใจที่ผ่องใส มาสู่ผู้ปฏิบัตินั่นเอง

วัด เป็น ศาสนสถานหรือสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งประกอบด้วยบริเวณ ๒ เขต คือ เขตพุทธาวาส อันเป็นที่ตั้งของพระวิหาร พระอุโบสถ เจดีย์และพระปรางค์ ฯลฯ โดยอาคารทั้งหมดจะอยู่ในกำแพงแก้ว ซึ่งเป็นกำแพงที่ไม่สูงนักกั้นไว้โดยรอบ ส่วน เขตสังฆาวาส จะเป็นที่ตั้งของกุฏิหรือที่อยู่ของพระสงฆ์ ศาลาการเปรียญ หอไตร หอฉัน หรือ หอสวดมนต์ ในสมัยโบราณวัดอาจไม่จำเป็นต้องมีอาคารถาวร แต่มักใช้สถานที่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรืออาคารที่มีอยู่แล้วตามความจำเป็น แต่เมื่อมีพระหรือนักบวชในศาสนามากขึ้น ทำให้ต้องมีศาสนสถาน ที่ก่อสร้างขึ้นอย่างถาวรเพื่อประกอบศาสนกิจและประเพณีต่างๆ ของท้องถิ่น และหากผู้สร้างมีอำนาจบารมีสูงในระดับผู้ปกครองประเทศ หรือพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมจะก่อสร้างอย่างประณีต ใหญ่โต และตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยวัสดุที่มีค่า และฝีมือช่างชั้นสูง

จะเห็นได้ว่า “วัด” นอกจากจะเป็นศาสนสถานแล้ว ยังนับเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สะท้อนอารยธรรมและวิถีชีวิตของท้องถิ่น อันเป็นแหล่งรวมข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ การศึกษา ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม รวมทั้งเชื่อมโยงความเป็นมาของวัฒนธรรมกับชุมชนและการตั้งถิ่นฐานของชุมชนด้วย

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้ไปวัดเมื่อไร สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ก็ขอเสนอแนะแนวทางเพื่อเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยววัดให้สนุก โดยการศึกษาเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานและโบราณวัตถุภายในบริเวณวัด ซึ่งมีศิลปะที่งดงาม และแฝงประวัติความเป็นมาที่สำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งไปด้วย

ศิลปะสำคัญที่น่าศึกษาเรียนรู้ภายในวัดโดยทั่วไป ได้แก่ ศิลปะทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม

สำหรับ ประติมากรรม ที่พบเห็นโดยทั่วไปจะมี ๓ ลักษณะ คือ รูปลอยตัว ที่สามารถมองเห็นได้รอบด้านในลักษณะสามมิติ เช่น พระพุทธรูป รูปปั้นยักษ์ ตุ๊กตาจีน ส่วนรูปนูนต่ำรูปนูนสูง คือรูปที่นูนออกมาค่อนข้างสูงจนเกือบลอยตัว แต่จะยังติดอยู่กับพื้นหลังของตำแหน่งที่ก่อสร้างอยู่ เช่น รูปปั้นตามกำแพง ลายจำหลักหน้าบันรูปต่างๆ เป็นต้น จะมีพื้นหลัง หรือ พื้นล่างรองรับ ส่วนรูปจะนูนออกมาตามสัดส่วนแต่ไม่มาก เช่น บัวหัวเสา พนักธรรมาสน์ และ

ในส่วนของ จิตรกรรม นั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพที่เขียนอยู่ที่ฝาผนังโบสถ์ วิหาร บานประตู หน้าต่าง ศาลาการเปรียญ ตามคติความเชื่อ เช่น พุทธประวัติและชาดกต่างๆ ภาพทวารบาลผู้รักษาทางเข้าออก หรือเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น

นอกจากภาพวาดที่มีเนื้อหาสาระแล้ว กรรมวิธีในการวาดภาพก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในหนังสือ วัดกับชีวิตไทย ของกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวไว้ว่า สีที่นิยมใช้ในสมัยโบราณจะมีลักษณะเฉพาะของที่เรียกว่าเบญจรงค์ เป็นสีฝุ่น ๕ สีหลัก คือ แดง เหลือง คราม ขาว ดำ ที่เมื่อนำมาผสมกันแล้วจะได้สีหลายหลากสี ส่วนการรักษาให้ภาพวาดมีความงดงามคงทนมีหลายวิธี แต่ที่นิยม คือ การใช้ทองเข้ามาประกอบกับงานจิตรกรรม โดยการนำแผ่นทองเปลวมาปิดลงบนภาพ หรือการใช้ทองประกอบไปกับการระบายสี นอกจากนี้ยังมีงานประณีตศิลป์ที่เรียกว่า ลายรดน้ำ ซึ่งเป็นการใช้ทองปิดภาพ ตัดเส้นด้วยรักสีดำและสีแดง วิธีนี้ใช้ตกแต่งผนัง บานประตู หน้าต่าง และเครื่องใช้บางชนิด เช่น ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น

สำหรับงานด้าน สถาปัตยกรรม การก่อสร้างอาคารสถานที่ในวัดนั้น หากเป็นวัดทั่วๆไป ซึ่งประชาชนเป็นผู้สร้างมักเป็นเครื่องไม้ แต่ถ้าเป็นวัดหลวงซึ่งสร้างโดยพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่มีอำนาจวาสนา หรือมีทรัพย์มาก ก็จะสร้างด้วยไม้และก่ออิฐสอปูนผสมกันไป การสอปูนหมายถึงวิธีการใช้ปูนประสานแผ่นอิฐให้ติดกันนั่นเอง ส่วนรูปทรงที่งดงามนั้นก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของศิลปะแต่ละสมัย และมีลักษณะเฉพาะตัวที่ได้รับอิทธิพลจากลักษณะของภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ เช่น ในการสร้างโบสถ์ วิหาร จะสร้างหลังคาสูง มีหน้าต่างประตูหลายบาน เพราะต้องการให้แสงสว่าง และอากาศถ่ายเทได้ดี ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเข้าไปนั่งในโบสถ์แล้วจะไม่รู้สึกร้อน มีลมพัดผ่านตลอด ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน

นอกจากนี้แล้วในวัดบางแห่งยังมีการตกแต่งรอบๆบริเวณไว้ให้เป็นแหล่งศึกษา เรียนรู้วิทยาการด้านต่างๆ เช่น รูปฤาษีดัดตนที่วัดโพธิ์ หรือวัดบางแห่งตั้งอยู่ ณ จุดที่มีทัศนียภาพงดงาม ร่มรื่น เช่น วัดอรุณฯ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นจึงขอยกตัวอย่าง การจะไปไหว้หลวงพ่อซำปอกง หรือ พระพุทธไตรรัตนนายก ณ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคลตามคติที่ว่า “เดินทางปลอดภัย มีมิตรไมตรีที่ดี” นอกเหนือจากการเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ สำหรับไหว้พระแล้ว ก็ควรจะมีการศึกษาหาข้อมูลของวัดเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนทัวร์ให้สนุก เพื่อให้ทราบถึงจุดสำคัญต่างๆในวัดที่ไม่ควรพลาดชม อีกทั้งทำให้มีเรื่องราวเล่าสู่กันฟังระหว่างเดินชมด้วย อันได้แก่

- ศึกษาประวัติความเป็นมาของวัด เช่น อ่านข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๔ เรื่องวัดสำคัญ กรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕ ซึ่งกล่าวถึงประวัติความเป็นมาไว้ว่า “...ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานิกรบดินทร (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่บ้านและซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีพระภิกษุจีนพำนักอยู่และเรียกกันต่อมาว่า หมู่บ้านกุฎีจีนเพิ่มเติมเข้าด้วยกัน แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “วัดกัลยาณมิตร”

จากความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายพระองค์ทรงมีต่อเจ้าพระยานิกรบดินทรผู้สร้างวัดนี้ จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่มาของคำว่า “กัลยาณมิตร” ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น หากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่างก็พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่วัดกัลยาณมิตรมาโดยตลอด คือ

เมื่อแรกสร้างวัดนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารหลวงพระราชทานช่วย พร้อมกับเสด็จพระราชดำเนินก่อพระฤกษ์ พระโต พระราชทานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑.๗๕ เมตร สูง ๑๕.๗๕ เมตร ด้วยพระราชประสงค์จะให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกับวัดพนัญเชิงที่กรุงเก่า (กรุงศรีอยุธยา)

ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ และพระราชทานนามพระโตว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก”

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นปราจิณกิติบดี ทรงเป็นมรรคนายกวัดนี้ก็ได้เอาพระทัยใส่ดูแลซ่อมแซมวัดนี้ตลอดมา

ศิลปะทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม สำคัญภายในวัดที่ควรจะได้ศึกษา คือ

พระวิหารหลวง ซึ่งมีขนาดมหึมาตั้งสูงเด่นตระหง่านตรงปากคลองบางกอกใหญ่ ทางฝั่งทิศใต้ หันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไตรรัตนนายก ซึ่งเป็นที่นิยมนับถือกันทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวจีน เรียกกันตามแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง ในวันสิ้นเดือน ๙ ของทุกปี บรรดาชาวจีนทั้งหลายจะร่วมกับวัดจัดงานนมัสการ มีการแสดงงิ้ว ทิ้งกระจาด และเสี่ยงทายเป็นประจำ ลักษณะการก่อสร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้าใบระกา หน้าบันสลักลายดอกไม้ประดับกระจก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายดอกไม้ปั้นปิดทองประดับกระจก ด้านในพระวิหารหลวงที่ผนังและเสาเป็นลายดอกไม้ซึ่งปัจจุบันเลือนมากแล้ว ด้านหน้ามีซุ้มประตูหิน เสาหิน และตุ๊กตาหินศิลปะจีนตั้งเรียงรายอยู่

พระอุโบสถ ตั้งอยู่ข้างพระวิหารหลวงด้านตะวันออก ฐานที่ตั้งพระอุโบสถเดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยานิกร บดินทร (โต) เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ลักษณะสถาปัตยกรรมจีน หน้าบันปั้นลายดอกไม้ ประดับกระเบื้องเคลือบสลับสีลายจีน ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นลายดอกไม้ประดับกระจก ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับเรื่องพุทธประวัติและรูปเครื่องบูชาม้าหมู่แบบไทยปนจีน ซึ่งเขียนตามแบบภาพฝาผนังพระอุโบสถวัดราชโอรสาราม เสาเขียนลายทรงข้าวบิณฑ์ ซึ่งปัจจุบันภาพเขียนส่วนใหญ่เลือนมากแล้ว และที่พระอุโบสถแห่งนี้มีพระพุทธรูปปางเลไลยก์ประดิษฐานเป็นพระประธานถือเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพระประธานปางนี้

หอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่างๆ เป็นอาคารสองชั้นก่ออิฐถือปูนมีระเบียงล้อมรอบ หลังคาประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันสลักลายเปลว ปิดทองประดับกระจก ตรงกลางสลักเป็นรูปเครื่องราชกกุธภัณฑ์ บานประตูหน้าต่างสลักลายดอกไม้ปั้นปิดทองประดับกระจก ซุ้มประตู

หน้าต่างปั้นลายดอกไม้ ตรงกลางสลักรูปพระมหามงกุฎประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้ทราบว่า รัชกาลที่ ๔ ทรงเป็นผู้สร้างนั่นเอง ด้วยว่าพระนามเดิมของพระองค์ คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ

พระวิหารน้อย ตั้งอยู่ด้านเหนือพระวิหารหลวง ขนาดรูปทรงเดียวกับพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนมาก

หอระฆัง ตั้งอยู่ด้านหลังพระวิหารหลวง และหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ อีกหอหนึ่งตั้งอยู่ด้านเหนือพระวิหารหลวง ซึ่งพระสุนทรสมาจารย์ (พรหม) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ เพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานระฆังซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๗๒ ซ.ม.

เจดีย์บรรจุอัฐิเจ้าพระยานิกรบดินทร (โต) เจ้าพระยารัตนบดินทร (รอด กัลยาณมิตร) เป็นเจดีย์เหลี่ยมมุมไม้ ๑๒ ตั้งบนฐาน ๘ เหลี่ยมประดับหินอ่อน มีกำแพงแก้วล้อมรอบบันไดขึ้นลง ๒ ข้าง และมีปรางค์หินแบบจีนตั้งอยู่ ๔ มุมกำแพง

นอกจากของสำคัญดังกล่าวแล้ว บริเวณวัดกัลยาณมิตรโดยรวมก็มีทัศนียภาพที่สวยงาม อากาศเย็นสบาย เนื่องจากตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะทำให้ผู้ไปเกิดความสงบ สบายใจ

การได้นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชื่นชมความงดงามของศิลปะ และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์สู่กันฟังไม่ว่าจะเป็น จากเพื่อนสู่เพื่อน จากคนในครอบครัว หรือแม้แต่กับชาวต่างชาติ ฯลฯ นับเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้การเที่ยววัดแต่ละครั้งมีรสชาติ และเพิ่มความสนุกสนานอย่างมีสาระมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ที่เล่าสู่กันฟังนี้ ย่อมส่งผลให้เกิดการซักถามและนำไปสู่การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วย และหากเราทำเช่นนี้กับที่อื่นๆที่ไปเที่ยว ก็จะเป็นการส่งเสริม และปลูกฝังนิสัยการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ข้อสำคัญจะช่วยให้เราเข้าใจในความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง จนเกิดความภาคภูมิใจในมรดกของชาติ และพร้อมที่จะดูแล รักษา ปกป้อง เพื่อสืบทอดสู่ลูกหลานของเราต่อไป

อย่างไรก็ดี การเล่าสู่กันฟังนี้ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวจะต้องศึกษาให้รู้จริง เพื่อถ่ายทอดได้อย่างถูกต้องด้วย มิฉะนั้นอาจเป็นอย่างเรื่องเล่าที่ว่า นาย ก พาเพื่อนชาวต่างชาติไปเที่ยว บังเอิญมีพิธีบายศรีสู่ขวัญพอดี หมอทำขวัญก็ร้องว่า “..ศรี ศรี วันนี้วันดี..." นาย ก ก็แปลให้เพื่อนชาวต่างชาติฟังทันทีว่า “...Color color today is a good day...” เช่นนี้คงได้เลอะกันไปด้วยสี แต่หา “ศรี” ที่เป็นมงคลไม่ ....

เยาวนิศ เต็งไตรรัตน์
 กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
จาก : http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=3125
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะข้อคิด คำสอน จากบทกลอนสุนทรภู่ ปรับใช้กับชีวิตปัจจุบัน เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 08:30:19 pm
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอแนวคิดที่ปรากฏในกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู ซึ่งมักจะสอดแทรกข้อคิด คำสอน คติพจน์ทั้งทางโลกและทางธรรม อันสะท้อนให้เราได้เห็นถึงสัจธรรมแห่งชีวิต  ซึ่งหลายๆเรื่องยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ด้วย  อยู่ที่ว่าท่านจะประยุกต์ให้เข้ากับเรื่องใด  ดังต่อไปนี้

หากท่านเป็นชายหนุ่มที่ต้องการปฏิบัติตนเป็นคนดี และต้องการความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ท่านอาจจะเลือกคำสอนบางอย่างจาก สวัสดิรักษา อันเป็นผลงานที่ท่านสุนทรภู่ได้ดัดแปลงจากคำฉันท์โบราณที่อ่านยากให้เป็นคำกลอนที่อ่านเข้าใจง่าย  ซึ่งแต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ เป็นข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติของชายไทยสมัยโบราณ  ได้แก่ 
 

-  ตื่นนอนแต่เช้า ห้ามโกรธ แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้  จากนั้นเสกน้ำล้างหน้าด้วยการสวดมนต์สามครั้ง แล้วให้พูดแต่วาจาดี เพื่อให้เป็นมงคล เพราะเชื่อว่าตอนเช้า ราศีอยู่ที่หน้า

 -  ห้ามภรรยานอนหลับทับมือและพาดเท้า  อย่านอนข้างซ้ายผู้หญิง มักจะมีภัย

 -  ให้ตัดเล็บวันจันทร์หรือวันพุธ กันจัญไร

 -  ให้เริ่มเรียนวิชาความรู้วันพฤหัสบดี จะเจริญรุ่งเรือง

 -  ก่อนนอนให้แสดงความเคารพด้วยการกราบหมอนและสรรเสริญคุณบิดามารดา อาจารย์ให้เป็นปกติสม่ำเสมอ 

 -  ห้ามร่วมเพศกับหญิงที่มีระดู เพราะอาจทำให้ตาย ตาบอด หรือเป็นฝีเป็นหนองได้ 

 -  ห้ามฆ่าสัตว์ในวันเกิดจะเสียราศี มีทุกข์โศกโรคภัย  และอายุจะสั้น  ฯลฯ 

 ซึ่งคำสอนเหล่านี้  แม้จะเป็นความเชื่อโบราณ หากจะพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้วจะพบว่า ล้วนแต่เป็นการสอนให้เป็นประพฤติปฏิบัติดีทั้งกาย วาจาและใจ อีกทั้งเป็นการสอนให้รู้จักรักษาสุขภาพอนามัย  และรู้จักระแวดระวังภัย ไม่ประมาท อย่างที่ว่า ห้ามนอนข้างซ้ายผู้หญิง เพราะสมัยก่อนผู้ชายต้องมีมีดดาบไว้ป้องกันตัว  ถ้านอนข้างซ้ายผู้หญิง หากมีขโมยหรือโจรบุก  มือขวาที่ติดกายผู้หญิงจะทำให้จับดาบไม่สะดวก และสู้โจรที่เข้ามาประชิดไม่ทันการ  เป็นต้น

นอกจากความเชื่อใน“สวัสดิรักษา” แล้ว ในเรื่องพระอภัยมณี  สุนทรภู่ยังสอนว่า   “อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที  ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน  ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา  เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล พระเวทมนตร์เสื่อมคลายทำลายยศฯ” และในเรื่องสิงหไกรภพ ยังบอกว่า   “พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย ถึงลูกเมียเสียไปแม้ไม่ตาย  ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร” ล้วนเป็นการสอนให้มีศีลมีสัตย์ และรู้จักกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณและพ่อแม่ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมทุกยุคทุกสมัย เพราะทำให้สังคมโดยส่วนรวมดีขึ้นได้ ข้อสำคัญความรักของพ่อแม่นั้นไม่มีที่เปรียบได้ดังคำกลอนที่ว่า ”แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก  คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน” จากขุนช้างขุนแผน

ปัจจุบันเวลาไปไหนมาไหน ดูจะมีอันตรายไปหมด จนทำให้ไม่อยากออกจากบ้านไปไหนๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องไป ก็ให้คิดถึงคำกลอนของท่านที่ว่า “เมื่อถึงกรรมจำตายวายชีวี  ถึงอยู่ที่ไหนไหนก็ไม่พ้น” จากสิงหไกรภพ และ”ไม่ถึงกรรมทำอย่างไรก็ไม่ตาย  ถ้าถึงกรรมทำลายต้องวายปราณ” จากพระอภัยมณี ซึ่งข้อเท็จจริงนี้อ่านแล้วคงจะช่วยให้เราคลายวิตก กลัวน้อยลง และเกิดความเชื่อมั่นขึ้นไม่มากก็น้อย

การดำรงชีวิตทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องให้เครียด ให้ทุกข์อยู่เสมอ  ดังที่ท่านว่า “อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก  สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่างสงสัย” หรือ”วิสัยโลกโศกสุขทุกข์ธุระ ย่อมพบปะไปกว่าจะอาสัญ หรือ  “อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์  ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน  เหมือนกงเกวียนำกเกวียนเวียนระไว  จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์” จากพระอภัยมณี  หรือในสภาขุนช้างขุนแผนที่ว่า “โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้  ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน  ที่ทุกข์โศกโรคภัยร้อนค่อยผ่อนปรน คงพ้นโทษทัณฑ์ไม่บรรลัย” อ่านแล้วคงจะช่วยปลอบใจเราให้ปลงตกได้บ้างว่า ในโลกนี้ไม่มีใครจะทุกข์ตลอดกาล และไม่มีใครจะสุขอยู่ตลอดชาติ 

สำหรับคำพูดนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างมิตรและก่อศัตรูให้เราได้  อีกทั้งยังเป็นเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หากเราจะรู้จักใช้ถ้อยคำ ดังคำกลอนจากนิราศภูเขาทองที่ว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์  มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร  จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทที่ว่า“อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย  แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย  เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ”  หรือจากพระอภัยมณีที่ว่า “อันลมปี่ดีแต่เพราะเสนาะหู  ที่จะสู้ลมปากยากนักหนา”  ทั้งหมดล้วนสอนให้ตระหนักถึงคำพูดที่จะนำมาซึ่งลาภหรือความเสื่อมลาภได้ทั้งสิ้น

ในเรื่อง“ความรัก”นับว่าคำกลอนของท่าน สามารถแจงแจงและอธิบายคำว่า”รัก”ได้อย่างชัดเจนยิ่ง เช่น“เขาย่อมเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก  แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน  ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน  แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล” และ “อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก  อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา  ไม่เห็นรักหนักสิ้นในวิญญา จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง”จากพระอภัยมณี หรือจากนิราศภูเขาทองที่ว่า“ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก  สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน  ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป  แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน” หรือจากนิราศพระประธมที่ว่า“สารพัดตัดขาดประหลาดใจ  ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ”  ซึ่งเป็นการบรรยายให้เราได้เห็นอาการของคนที่มีความรักว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะผู้อยู่ในอาการ “อันโศกอื่นหมื่นแสนในแดนโลก  มันไม่โศกลึกซึ้งเหมือนหึงผัว  ถึงเสียทองของรักสักเท่าตัว  ค่อยยังชั่วไม่เสียดายเท่าชายเชือน” จากพระอภัยมณี อันสะท้อนให้เห็นว่าพิษรักแรงหึงมีผลแค่ไหนต่อคนเรา

ส่วนคำสอนอื่นๆของท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอยังมีอีกมาก เช่น เรื่องวิชาความรู้ ท่านสอนไว้ว่า “มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร  ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี”หรือ “วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ์  ฤทธิรุทแรงร้ายกายสิทธิ์  แม้เพลิงกาฬผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา”จากพระอภัยมณี  ส่วนเสภาขุนช้างขุนแผน ก็กล่าวว่า “ลูกผู้ชายลายมือก็คือยศ  เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทก็ว่า “อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก  แม้นถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา  เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา  แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ” หรือ “อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ  ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก  สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก  จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย” เป็นการสอนให้เราเห็นความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ ที่มีผู้เปรียบว่า เป็นทรัพย์ที่ติดกายเราจนตาย  ใครก็ขโมยเอาไปไม่ได้

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งจากกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่ที่แม้จะประพันธ์ไว้เมื่อร่วม ๒๐๐ปีล่วงมาแล้ว  แต่ก็ยังทรงคุณค่าอยู่เสมอ  เพราะนอกจากถ้อยคำจะไพเราะสละสลวย คล้องจอง ง่ายต่อการจดจำแล้ว  ยังเป็นคำสอนที่ให้ข้อคิด และแสดงสัจธรรมของโลกที่เราสามารถนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยตลอดมา

อมรรัตน์ เทพกำปนาท
 กลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
จาก : http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=2904
23  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สังฆคุณ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 07:33:48 pm
       ก็ได้กล่าวถึงเรื่องของพระสารีบุตร พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ในช่วงเทศกาลลอยกระทงกันไปแล้ว ต่อจากนี้ก็จะขอขยายความ ในส่วนของพระสังฆรัตน หรือพระสังฆคุณ ๙

        ภควโต  สาวกสงฺโฆ   พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
๑.  สุปฏิปนฺโน                          เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒.  อุชุปฏิปนฺโน                        เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
๓.  ญายปฏิปนฺโน                      เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
๔.  สามีจิปฏิปนฺโน                     เป็นผู้ปฏิบัติสมควร
    ยทิทํ                                 นี้คือใคร
     จตฺตาริ  ปุริสยุคานิ                คู่แห่งบุรุษ  ๔
     อฏฺฐ  ปุริสปุคฺคาลา                บุรุษบุคคล  ๘
     เอส  ภควโต  สาวกสงฺโฆ         นี้พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
๕.  อาหุเนยฺโย                          เป็นผู้ควรของคำนับ
๖.  ปาหุเนยฺโย                          เป็นผู้ควรของต้อนรับ
๗.  ทกฺขิเณยฺโย                        เป็นผู้ควรของทำบุญ
๘.  อญฺชลีกรณีโย                      เป็นผู้ควรทำอัญชลี
๙.  อนุตฺตรํ  ปุญฺญกฺเขตตํ  โลกสฺส  เป็นนาบุญของโลก  ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า

        สังฆคุณ  คือคุณของพระสงฆ์  พระสงฆ์ในที่นี้หมายเอาพระอริยสงฆ์  คือพระสงฆ์ที่ได้บรรลุธรรมวิเศษ  มีโสดาปัตติผล  เป็นต้น
        ที่ชื่อว่า  สาวก  เพราะฟังโอวาทานุสาานีของพระผู้มีพระภาคโดยเคารพ  หมู่แห่งสาวกทั้งหลาย  ชื่อว่าสาวกสงฆ์  หมายความว่าประชุมสาวกผู้ถึงความเป็นกลุ่มก้อนกัน  โดยเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน

        ๑. สุปฏิปนฺโน  ปฏิบัติแล้ว  ปฏิบัติชอบ  ข้อนี้มีความหมายกว้าง  ท่านอธิบายไว้หลายนัย  เช่น  ปฏิบัติไม่ท้อถอย  ปฏิบัติสมควรแก่พระนิพพาน  ปฏิบัติไม่เป็นข้าศึกแก่ธรรมและบุคคล  ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม  รวมความแล้ว  ได้แก่การปฏิบัติในทางสายกลาง  คือมัชฌิมาปฏิปทา  ไม่ตึงนักไม่หย่อนนักในธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว

         ๒. อุชุปฏิปนฺโน  เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว  คือเป็นผู้ปฏิบัติจริง ๆ ไม่ลวงชาวโลก  ไม่มีมายาสาไถย  ปฏิบัติตรงต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกสงฆ์  มิปิดบังอำพรางความในใจแม้แต่อย่างเดียว

         ๓. ญายปฏิปนฺโน  เป็นผู้ปฏิบัติธรรม  ท่านสันนิษฐานว่า  ญาย  ออกจาก  ญา  ธาตุ  แปลว่า รู้  จึงอธิบายว่า  เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาเป็นเครื่องรู้  คือปฏิบัติเพื่อความรู้ธรรม  อักอย่างหนึ่ง  ญาย  แปลว่า  พระนิพพาน  แปลว่า  เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่พระนิพพาน

         ๔. สามีจิปฏิปนฺโน  เป็นผู้ปฏิบัติสมควร  เป็นผู้ปกฺบัติชอบ  คือปฏิบัติน่านับถือ  สมควรได้รับสามีจิกรรมจากเหล่าคนทุกจำพวก  ผู้ปฏิบัติเหล่านี้  คือใคร  คือถ้านับเป็นคู่  ได้บุรุษบุคคล  ๔  คู่  คือ

                       ๑. ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค
                           ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

                       ๒. ท่านผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค
                           ท่านผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล

                       ๓. ท่านผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค
                           ท่านผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล

                       ๔. ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค
                           ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล

         ถ้านับเรียงตัวบุคคล  ได้บุรุษบุคคล  ๘  คือ  ผู้ตั้งอยู่ในมรรค  ๔  ผล  ๔  นี้เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค

         ๕. อาหุเนยฺโย  เป็นผู้ควรของคำนับ  ได้แก่เป็นผู้ควรรับของที่เขานำมาบูชา  วัตถุที่เขานำมาบูชา  เรียกว่า  อาหุนะ  หมายความว่าของที่เขานำมาแต่ที่ไกลแล้วถวายในท่านผู้มีศีล  เพราะทำให้อาหุนะนั้น  มีอานิสงส์มาก  มีผลมาก

         ๖. ปาหุเนยฺโย  เป็นผู้ควรของต้อนรับ  อาคันตุกทานที่เขาจัดแจงไว้อย่างดี  เพื่อประโยชน์แก่ญาติและมิตรทั้งหลาย  ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจ  ซึ่งจะมาจากทิศใหญ่น้อย  เรียกว่าปาหุนะ  ถึงอาคันตุกทานเช่นนั้น  เว้นจากญาติมิตรที่รักที่ชอบใจเหล่านั้นเสีย  ก็ควรถวายแก่พระสงฆ์เท่านั้น  พระสงฆ์นั่นแหละเป็นผู้ควรรับอาคันตุกทานนั้น  เพราะแขกเช่นพระสงฆ์หามีไม่

         ๗. ทกฺขิเณยฺโย  เป็นผู้ควรของทำบุญ  ทานที่บุคคลเชื่อปรโลกแล้วจึงให้  ชื่อว่าทักขิณา  พระสงฆ์ควรแก่ทักขิณานั้น  หรือเกื้อกูลแก่ทักขิณานั้น  เพราะทำทักขิณานั้นให้มีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  พระสงฆ์จึงจัดว่าเป็นผู้ควรซึ่งทักขิณาหรือเกื้อกูลแก่ทักขิณา

         ๘. อญฺชลีกรณีโย  เป็นผู้ควรทำซึ่งอัญชลี (คืิอประนมมือไหว้) คือผู้ใดผู้หนึ่ง  นำเครื่องสักการะไปถวายถึงสำนักของท่าน  ท่านสามารถทำความเลื่อมใสให้เกิดได้  โดยไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง  และท่านก็เป็นปฏิคาหกที่สมควรแก่การทำบุญ  หรือผู้ใดผู้หนึ่งยกมือขึ้นไหว้ท่าน  ท่านก็มีความดีที่ทุกคนพอจะไหว้ได้  โดยไม่ต้องกระดากอาย

         ๙. อนุตฺตรํ  ปุญฺญกฺเขตตํ  โลกสฺส  เป็นนาบุญของชาวโลก  ไม่มีนาบุญอื่นที่ยิ่งกว่า  เพราะทักขิณาที่บุคคลเชื่อปรโลกแล้วถวายในพระสงฆ์  ผู้เป็นนาบุญอย่างยอดเยี่ยมของชาวโลก  ย่อมจะมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก ดุจพื้นที่นามีดินดี  พืชที่บุคคลหว่านลงไปในนานั้น  ย่อมมีผลอันไพบูลย์  ฉะนั้น  พระสงฆ์นั้น  เป็นผู้บริสุทธิ์  จึงเป็นนาบุญที่หว่านพืชคือของทำบุญของชาวโลก  ไม่มีนาบุญชนิดอื่นยิ่งกว่า

          นี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราท่านทั้งหลาย จะได้มีโอกาสเจริญ สังฆานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์  ในวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ วันที่พระสารีบุตรเถระ พระเอตทัคคะด้าน เป็นผู้มีปัญญามาก ปรินิพพาน  และก็เป็นวันลอยกระทงของชาวไทย
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / ประมวลภาพ ปฏิบัติธรรม คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 12:15:19 pm
เป็นภาพที่คณะ 5


25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ไม่เพียงแต่เป็น "วันลอยกระทง" แต่ยังเป็นวันที่พระสารีบุตรปรินิพพาน เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 09:53:46 am
ไม่เพียงแต่เป็นวันลอยกระทง ! แต่ยังเป็นวันอะไร ใครรู้มั่ง ?

ในวันนี้ เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ศิยษ์กรรมฐาน ควรรู้

ใครรู้ก็ช่วยกันอธิบายกันไปก่อน นะจ๊ะ !

หรือจะลองค้นหาคำตอบกัน ใบ้ให้นิดนึง

เป็นพระอาจารย์ ของพระอาจารย์ ของพระ ... ... ...![/color][/size]
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เผยชีวิตสุดทึ่งของโฮเซ มูจีกา ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 05:20:17 pm
เผยชีวิตสุดทึ่งของโฮเซ มูจีกา ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก



หากจะพูดถึงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว คนเกือบทุกคนบนโลกใบนี้คงจะคิดถึงผู้นำประเทศที่มีหน้ามีตาในสังคม มีบ้านพักหรูโอ่อ่าสมกับตำแหน่ง และไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนขับรถอารักขากันเป็นขบวน แต่หากใครได้เห็นวิถีชีวิตของประธานาธิบดีอุรุกวัยคนนี้แล้ว รับรองว่าต้องอึ้ง เพราะแม้ว่าตำแหน่งของเขาจะใหญ่โตที่สุดในประเทศ แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบชาวไร่ชาวนา อยู่ในบ้านหลังซอมซ่อ พอมีพอกินเฉกเช่นเกษตรกรคนหนึ่ง

 และนี่คือภาพวิถีชีวิตของ โฮเซ มูจีกา ประธานาธิบดีแห่งอุรุกวัยวัย 77 ปี ที่ได้รับการขนานนามว่า "ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก" จากการที่เขามีแนวคิดการใช้ชีวิตที่แปลก แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่น ๆ นั่นคือ ปฏิเสธบ้านพักหรูที่ทางการจัดให้ ปฏิเสธการใช้ชีวิตหรูหรา แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตกับภรรยาอย่างสมถะอยู่ในบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งในชนบทนอกเมืองมอนเตวิเดโอ อยู่อย่างพอเพียง ทำสวน สูบน้ำขึ้นมาใช้เอง โดยมีสุนัขพิการ 3 ขา เป็นคู่หู คอยติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเสมอ

 มูจีกาได้เปิดเผยว่า "แม้ว่าผมจะได้รับฉายาว่า ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองจนเลยนะ คนจนสำหรับผมน่ะ คือคนที่เอาแต่ทำงานงก ๆ เพื่อยกระดับชีวิตตัวเองให้ร่ำรวย และมีความต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ผมเป็นนี่แหละคืออิสรภาพอย่างแท้จริง ถ้าหากคนเราไม่มีความต้องการอะไรมาก เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานเยี่ยงทาสเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการเหล่านั้น และเราก็จะมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ผมอาจดูเป็นคนแก่ที่แปลกนะ แต่นี่คืออิสรภาพสำหรับผม"


 ขอขอบคุณภาพประกอบจาก izismile.com
 kapook.com

บทความจาก : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=549087581771740&set=a.211100928903742.65540.211072425573259&type=1&ref=nf
27  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เก็บข่าวมาเล่า เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 12:58:03 pm

เก็บข่าวมาเล่า 
หญิงรายหนึ่งคลอดลูกออกมาเป็นม้า สำนักข่าวไนจีเรีย เนชั่น รายงานว่า หญิงรายหนึ่งในเมือง เบนิน อ้างว่าทำการคลอดลูกออกมา ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง สิ่งที่พบก็คือ มีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับม้า ซึ่งหญิงดังกล่าวยังไม่มีการยืนยันชื่อ แต่รายงานระบุว่า ระหว่างที่เธอคลอดลูกออกมาเป็นม้า มีเลือดออกมาจากช่องคลอดเป็นจำนวนมาก มีวัตถุขนาดใหญ่ปิดกั้นช่องคลอดเอาไว้ และเมื่อคลอดออกมาเธอก็ถึงกับงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น



อีวานเจลิส เวลลท์ หัวหน้าโบสถ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ระหว่างที่ทำการสวดมนต์ ก็พบสิ่งผิดปกติกับช่องคลอดของหญิงดังกล่าว เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มีเลือดออกจำนวนมาก โดยร่างของสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากช่องคลอดมีลักษณะคล้ายกับม้า แต่ไม่ยืนยันว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ก็พบภายหลังว่า ร่างดังกล่าวเสียชีวิตแล้ว

 ผมไม่สามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากร่างของเธอ และก็ไม่เคยพบกรณีแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ระหว่างที่เธอคลอดก็ถึงกับช็อคกับสิ่งที่เห็น

 อย่างไรก็ตาม ภาพสิ่งมีชีวิตที่เผยแพร่ตามนั้น ยังคงมีการถกเถียงกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือ บางส่วนมองว่าเป็นการลงโทษของพระเจ้าที่ทำให้เธอต้องคลอดลูกออกมาเป็นสัตว์ แต่ขณะที่บางรายก็ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้

 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์อย่าง เวโรนิกา อีจิบอร์ (Veronica Egiebor) พยาบาลระบุว่าหญิงดังกล่าวเป็นแม่ค้าขายผักมากว่า 10 ปี ได้คบหากับแฟนหนุ่มคนหนึ่ง แต่ถูกกีดกันจากแม่ของฝ่ายชายจึงเลิกรากัน และเธอก็ได้แต่งงานกับสามีใหม่

 พยาบาลระบุว่า หญิงรายนี้มักบ่นเสมิว่า มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นคือ บางครั้งจะรู้สึกเหมือนตัวเองท้อง แต่ไม่ได้ท้องโตเหมือนคนท้องแต่อย่างใด จึงได้เข้าทำพิธีกรรมในโบสถ์มากกว่าจะไปที่โรงพยาบาล

 ศาสตราจารย์นายแพทย์Jerry Uwaifo กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะคลอดลูกออกมาเป็นม้า แต่จะมีลักษณะที่เด็กมีความพิการ จนร่างกายผิดปกติเท่านั้น แต่ไม่ใช่สัตว์


โพส์เมื่อ : 26 ก.ย. 2555 เวลา 11:00:00
ที่มา :  http://toptenthailand.com/2012/topten-news-info.php?cate_id=1&nid=567
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอความช่วยเหลือต้องเลือดกรุ๊ป โอ จำนวนมากภายในวันศุกร์นี้ เพื่อทำการผ่าตัด เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2012, 04:09:02 pm


มีเรื่องประชาสัมพันธ์ ขอความช่วยเหลือครับ หลานสาวผม น้องวุ้น ด.ญ.วรนิษฐา ภมรสูตร อายุ 13 ปี ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง นอนอยู่ รพ.ราชวิถี ต้องการรับบริจาคเลือด กรุ๊ป O โอ จำนวนมากภายในวันศุกร์นี้ เพื่อทำการผ่าตัด หากท่านใดมีเลือดกรุ๊ป โอ หรือกรุ๊ปใดก้ได้ครับทางรพ.ให้แลกกรุ๊ปเลือดได้ และสามารถบริจาคเลือดได้ ต้องการช่วยเหลือบริจาคได้ที่ รพ.ราชวิถี มุมอนุเสาวรีชัยสมรภูมิ ติดต่อ รพ.ราชวิถี อาคารสิรินธร ชั้น 7 แผนกธนาคารเลือด หรือติดต่อคุณพ่อน้องวุ้นที่เบอร์ 0874089456 หรือติดต่อที่ผม รุ่งโรจน์ 0863385215

ก็ได้เวลาชาวธรรม ที่จะได้มีโอกาศที่จะได้ช่วยเหลือกันแล้วนะจ๊ะ
ใครช่วยได้ก็รพกวนช่วยกันนะจ๊ะ ส่วนตัวผู้เขียน ได้ไปบริจากมาก่อนหน้านี้ไปแล้ว กรุ๊ป AB

งานนี้ได้บุญกันอย่างแรง  สาธุ ล่วงหน้าก่อนเลย สาธุ สาธุ


จาก : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=468307379886128&set=a.164571166926419.40707.100001206115757&type=1&ref=nf
29  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เจลลี่ พระราชทาน เป็นเงินส่วนพระองค์ของในหลวงทำออกมาแจกให้กับผู้ป่วย เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2012, 01:18:55 pm

ทราบเรื่องนี้ แล้วรู้สึกสำนึกในพระเมตตาของพระองค์ท่านอย่างยิ่ง  เลยขอกระจายให้คนไทยบางคนที่ไม่ทราบ
 เจลลี่ พระราชทาน เป็นเงินส่วนพระองค์ของในหลวงทำออกมาแจกให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในช่องปาก และผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤก อัมพาต ผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินอาหารได้ต้องให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบดเคี้ยวลิ้นแข็ง เบื่ออาหาร ทำให้ร่างกายผู้ป่วยผอม ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ลองไปขอรับเจลลี่ พระราชทาน มารับประทานดู มันจะเหมือนเต้าหู้นิ่มก้อนสี่เหลี่ยม มีรสชานม กับรสมะม่วงกินแทนข้าวมันจะอิ่ม หรือจะกินข้าว แล้วกินเจลลี่ พระราชทานคู่กันไปด้วยก็ได้ แต่ถ้ากินข้าวได้ก็ให้กินข้าว แต่ถ้ากินข้าวไม่ได้ก็ให้กินเจลลี่ พระราชทาน 1 มื้อ ต่อ 1 กล่อง
 ผลิตภัณฑ์ “นวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก” เป็นอาหารสำเร็จรูปรับประทานได้ทันที มีลักษณะกายภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำให้เคี้ยวและกลืนได้ง่าย แม้จะไม่มีฟันหรือเจ็บปากเจ็บคอ มีองค์ประกอบเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตประมาณ 50% โปรตีนประมาณ 20% และไขมันประมาณ 30% จึงถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง
 เจลลี่โภชนา 1 กล่อง มีปริมาตร 250 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 230-260 กิโลแคลอรี จึงเหมาะสำหรับรับประทานเสริมเพื่อให้ได้รับพลังงานจากอาหารเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาการบดเคี้ยวและการกลืน เช่น ผู้ป่วยมะเร็งช่องปากและคอหอย ซึ่งมีคุณภาพชีวิตไม่ดี เนื่องจากขาดสารอาหารและน้ำหนักลด ดังนั้น การรับประทานเจลลี่โภชนาจึงจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ ปัจจุบันเจลลี่โภชนาที่ผลิตสำเร็จแล้วมี 2 รสชาติ ได้แก่ รสชานมและรสมะม่วง
 หากต้องการเจลลี่โภชนาพระราชทานต้องทำอย่างไร?
 เจลลี่โภชนาพระราชทาน เป็นอาหารพระราชทาน ห้ามจำหน่าย จึงยังไม่สามารถหาซื้อได้ ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามมูลนิธิได้จัดทำโครงการอาหารพระราชทานสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ซึ่งจะแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก หรือ อื่นๆ ที่มีปัญหาการเคี้ยว การกลืน ตามสถานพยาบาล 10 แห่ง คือ
 • คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา กรุงเทพฯ 02-3087600 กด 9, 088-0223049
 • โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา 044-235582, 081-955-9002
 • สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรุงเทพฯ 02-3547025-35
 • ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 02-5461960-6
 • ศูนย์มะเร็งชลบุรี 038-784001-5
 • ศูนย์มะเร็งลพบุรี 036-621800
 • ศูนย์มะเร็งลำปาง 054-335262-8
 • ศูนย์มะเร็งอุดรธานี 042-207375-80
 • ศูนย์มะเร็งอุบลราชธานี 045-285610-5, 045-285637-40
 • ศูนย์มะเร็งสุราษฎร์ธานี 077-211625-8 ต่อ 1006
 ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สถานพยาบาล ดังกล่าว หรือ ติดต่อสอบถามมูลนิธิทันตนวัตกรรม ได้ที่
 คุณบัวขาว หงษาชุม โทรศัพท์ 089-664-4634, 02-218-9027
 หากต้องการมารับเจลลี่โภชนาพระราชทานที่มูลนิธิต้องทำอย่างไร?
 • ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่มูลนิธิ คุณบัวขาว หงษาชุม โทรศัพท์ 089-664-4634, 02-218-9027 เพื่อนัดหมาย
 • นำสำเนาบัตรประชาชนของผู้ป่วยมารับด้วย
 • นำรูปถ่ายผู้ป่วยมาด้วย (ถ้ามี)
 วิธีรับประทานต้องทำอย่างไร?
 • ใช้กรรไกรตัดปากกล่อง แล้วใช้ช้อนตักรับประทาน หรือ เทออกใส่จานเพื่อรับประทาน
 • หลังจากเปิดกล่องแล้ว ควรรับประทานให้หมด หรือเก็บในตู้เย็นไม่เกิน 7 วัน
 • แช่เย็น เพื่อความอร่อย
 • สามารถรับประทานได้ทั้งผู้บริโภคทั่วไป และผู้มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวและการกลืน
 • ผู้ที่มีปัญหาแพ้นม สามารถรับประทานได้
 เจลลี่โภชนาพระราชทาน ผ่านการทำปราศจากเชื้อด้วยระบบ UHT จึงเก็บได้ 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น


:25:  ทรงพระเจริญ   :25:   ทรงพระเจริญ    :25:   ทรงพระเจริญ    :25:[/b]
30  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงสาธยายมงคลสูตรกันเถิด เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2012, 11:20:02 am
มงคลสูตร (มงคล ๓๘ ประการ)

หันทะ  มะยัง  มังคะละสุตตะปาฐัง  ภะณามะ  เส
เชิญเถิด  เราทั้งหลาย  จงสาธยายมงคลสูตรกันเถิด

อะเสวะนา  จะ  พาลานัง         ปัณฑิตานัญจะ  เสวะนา
ปูชา  จะ  ปูชะนียานัง           เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๑. การไม่คบคนพาล  ๒. การคบหาสมาคมกับบัณฑิต  ๓. การยกย่อง
บูชาบุคคลที่ควรบูชา  นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


ปะฏิรูปะเทสะวาโส  จะ          ปุพเพ  จะ  กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ  จะ           เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๔. การอยู่ในประเทศถิ่นฐานอันสมควร  ๕. การได้ทำบุญไว้ในปางก่อน
๖. การตั้งตนไว้โดยชอบธรรม  นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


พาหุสัจจัญจะ  สิปปัญจะ       วินะโย  จะ  สุสิกขิโต.
สุภาสิตา  จะ  ยา  วาจา        เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๗. ความเป็นผู้สดับรับฟังมาก  ๘. การมีศิลปะวิชา  ๙. การมีวินัยที่ได้
สำเหนียกศึกษาดีแล้ว  ๑๐. การกล่าววาจาสุภาษิต นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


มาตาปิตุอุปัฏฐานัง              ปุตตะทารัสสะ  สังคะโห
อะนากุลา  จะ  กัมมันตา       เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๑๑. การบำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดา  ๑๒.-๑๓. การสงเคราะห์บุตรและภรรยา
๑๔. การเป็นผู้ทำงานไม่คั่งค้าง นี้เป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถึงความเจริญ


ทานัญจะ  ธัมมะจะริยา  จะ    ญาตะกานัญจะ  สังคะโห
อะนะวัชชานิ  กัมมานิ           เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๑๕. การให้ทาน  ๑๖. การประพฤติธรรม  ๑๗. การสงเคราะห์หมู่ญาติด้วยความเอื้อเฟื้อ
๑๘. การทำงานที่ไม่มีโทษ นี้เป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถึงความเจริญ


อาระตี  วิระตี  ปาปา           มัชชะปานา  จะ  สัญญะโม
อัปปะมาโท  จะ  ธัมเมุ          เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๑๙. การงดเว้นจากบาป  ๒๐. การไม่ดื่มน้ำเมา  ๒๑. ความไม่ประมาท
ในธรรมทั้งหลาย นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


คาระโว  จะ  นิวาโต  จะ      สันตุฏฐิ  จะ  กะตัญญุตา
กาเลนะ  ธัมมัสสะวะนัง        เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๒๒. การมีความเคารพ  ๒๓. การไม่เย่อหยิ่งจองหอง  ๒๔. ความสันโดษ
๒๕. ความกตัญญู  ๒๖. การฟังธรรมตามกาล นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


ขันตี  จะ  โสวะจัสสะตา       สะมะณานัญจะ  ทัสสะนัง
กาเลนะ  ธัมมะสากัจฉา        เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๒๗. การเป็นคนมีความอดทน  ๒๘. การเป็นคนว่าง่าย  ๒๙. การพบเห็นสมณะผู้สงบ
๓๐. การได้สนทนาธรรมตามกาล นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


ตะโป  จะ  พรัหมะจะริยัญจะ  อะริยะสัจจานะ  ทัสสะนัง
นิพพานะสัจฉิกิริยา  จะ         เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๓๑. ความเพียรเครื่องเผากิเลส  ๓๒. การประพฤติธรรมอันประเสริฐ
๓๓. การเห็นอริยสัจสี่  ๓๔. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี้เ็นอุดมมงคลคือเหตุใหเถึงความเจริญ


ผุฏฐัสสะ  โลกะธัมเมหิ         จิตตัง  ยัสสะ  นะ  กัมปะติ
อะโสกัง  วิระชัง  เขมัง        เอตัมมังคะละมุตตะมัง

๓๕. จิตของผู้ถูกโลกธรรมกระทบแล้วไม่หวั่นไหว  ๓๖. จิตไม่เศร้าโศก
๓๗. จิตปราศจากธุลี (คือราคาทิกิเลส) ๓๘. จิตเกษม นี้เป็นอุดมมงคลคือเหตุให้ถึงความเจริญ


เอตาทิสานิ  กัตวานะ           สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ  โสตถิง  คัจฉันติ   ตันเตสัง  มังคะละมุตตะมันติ

เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย  พากันทำมงคลเช่นนีเแล้ว  ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้
ข้าศึกทุกหมู่เหล่า  ย่อมถึงความสุขสวัสดีในที่ทุกสถาน  ข้อนั้นเป็นมงคล
คือเหตุให้ถึงความเจริญอันสูงสุด  ของเทพยดาและมนุษย์เหล่านั้น

ด้วยประการฉะนี้แล ฯ
31  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เมื่อนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่ จะรู้ได้อย่างไร ว่า ครบเวลาตามกำหนดแล้ว ! เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 12:19:13 pm
เมื่อนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่  เราจะไปรู้กันได้อย่างไรว่า ตอนนี้ เรานั่งปฏิบัติมาครบ 30 นาทีแล้ว หรือ 1 ชั่วโมงแล้ว  เพื่อที่หลังจากที่เรารู้เวลาแล้ว เราจะได้ทำการออกจากการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน  เพราะว่า ได้มีการระบุบอกว่า ให้นั่ง ปฏิบัติ 30 นาทีบ้าง 1 ชั่วโมงบ้าง  ก็ปกติเวลาที่เราจะรู้เวลาได้ก็ต่อเมื่อเราลืมตาหันไปมองที่นาฬิกา เราก็จะรู้เวลา  แต่นี้ นั่งหลับตาอยู่ จะรู้ได้อย่างไร!
32  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / “เจ้าเอ็กซ์” วีรบุรุษ 4 ขา...ยอดสุนัขตำรวจผู้พลีชีพเพื่อชาติ!! เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2012, 05:50:55 pm
เรื่องราวของเจ้าเอ็กซ์ได้เคยถูกถ่ายทอดผ่านภาพเหตุการณ์จำลอง และได้ออกอากาศในรายการ “นาทีฉุกเฉิน” ไปเมื่อวันพุธที่ 8 ก.ค. 2552 หรือกว่า 3 ปีก่อน แต่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เรื่องราวของเจ้าเอ็กซ์ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงกันอยู่อย่างต่อเนื่อง สุนัขตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่มีความกล้าหาญ เสียสละ และจงรักภักดีต่อชาติยิ่งกว่าชีพของตัวเอง



 เรื่องราวของเจ้าเอ๊กซ์ :

 เอ็กซ์ เป็นสุนัขพันธุ์เยอรมันเซฟเพอด เพศผู้สีดำเหลืองอายุประมาณ 6 ปี น้ำหนัก 33 กิโลกรัม (ในขณะนั้น) สุขภาพแข็งแรง นิสัยสุภาพเรียบร้อย ขึ้นประจำการเมื่อ พ.ศ. 2513 ได้ผ่านการฝึกเชื่่อฟังคำสั่ง ดมกลิ่น สะกดรอย ฝึกให้ต่อสู้ช่วยเหลือการจ้บกุม โดยมีผู้ควบคุมสุนัขคือ ส.ต.ท. ศักดา มาลา ผบ.หมู่งานสายตรวจ

 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2517 ร.ต.ต. ศักดา มาลา และสุนัขชื่อ เอ็กซ์ ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการปราบปรามขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.) ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในวันที่ 19 ตุลาคม 2517 ได้ออกปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ กก.ภ.จว.ยะลา พบที่พักแรมของ ขจก. ที่ถูกรื้อถอนออกไปใหม่ๆจึงให้ เอ็กซ์ ดมกลิ่นจากเสื้อผ้าของคนร้ายที่ทิ้งไว้แล้วเดินลาดตระเวนเข้าไปในป่าสวนยางเชิงเขาประมาณ 1 กิโลเมตร เอ็กซ์ก็หยุดเดินเงยหน้าขึ้นมีลักษณะอาการ หู หาง ตั้ง ปากหุบ ทำให้ ส.ต.ท. ศักดา มาลา รู้ว่าต้องมีคนร้ายอยู่ใกล้บริเวณนั้น จึงบอกให้เจ้าหน้าที่ทราบและหลบเข้าที่กำบัง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นและได้เกิดการยิงต่อสู้ปะทะกันประมาณ 5 นาทีผลปรากฎว่า เอ็กซ์ ตายในที่เกิดเหตุทันทีส่วน ขจก.หลบหนีได้

 ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น หากไม่ได้รับการบอกเหตุจาก เอ็กซ์ เจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติหน้าที่อาจหลบเข้าที่กำบังไม่ทันและอาจถูกยิงเสียชีวิตกันหมดทั้งชุดก็เป็นได้ กองกำกับการสุนัขตำรวจ(เดิม)จึงได้สร้างรูปปั้นไว้ที่หน้าที่ทำการตึกบัญชาการเพื่อเป็นการยกย่องในวีรกรรมของสุนัขตำรวจ "เอ็กซ์" (ปัจจุบันกองกำกับการสุนัขตำรวจ ได้เปลี่ยนเป็น กองกำกับการสุนัขและม้าตำรวจ)

 โพสจัง


จาก : DharmaTV สถานีความดี 24 ชม.
33  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เพลงธรรม ทะเลใจ ให้ข้อคิดดีๆ เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2012, 09:41:33 pm
เพลง... ทะเลใจ
ศิลปิน... คาราบาว

เหมือนชีวิตได้ผ่านเลยวัยแห่งความฝัน
วันที่ผ่านมาไร้จุดหมาย
ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่เพียงตัวและจิตใจ
เป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน

เหมือนชีวิตผันผ่านคืนวันอันเปลี่ยวเหงา
ตัวเป็นของเราใจของใคร
มีชีวิตเพื่อสู้คืนวันอันโหดร้าย
คืนที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน

คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว
คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ
ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์
อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น

คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก
ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก
พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ

ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกายกลับไม่เจอ
ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข

คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว
คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ
ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์
อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น

คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก
ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก
พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ

ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกายกลับไม่เจอ
ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข

ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข

!

   "ทะเลใจ" กับ หัวใจที่ยังแสวงหา
ผมเชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นเคยกับเพลง “ทะเลใจ” ของคาราบาว โดยส่วนตัวแล้ว, ผมคิดว่าทั้งเนื้อร้องและทำนองของเพลงนี้ขึ้นชั้นอมตะทางดนตรีไปเรียบร้อยแล้ว ปีนี้คาราบาวครบรอบ 25 ปีครับ อย่างไรก็ดีก็ถือว่าครบรอบ 15 ปี ของเพลงทะเลใจ ด้วย เพลงนี้แต่งเนื้อร้องและทำนองโดย ยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว ผมจำได้ว่าฟังเพลงนี้ครั้งแรกสมัยเรียน ม.5 ด้วยติดใจในท่วงทำนองมากกว่าเนื้อหาของเพลง

    อาจกล่าวได้ว่าทะเลใจเป็นเพลงที่มาพร้อมกับเหตุการณ์ทางการเมือง เพราะหลังพฤษภาทมิฬปี 2535 น้าแอ๊ดแกก็ออกอัลบั้มที่ชื่อ พฤษภา เพลงของคาราบาวในทุกยุคทุกสมัยจึงสะท้อนอะไรบางอย่างภายในสังคมของเรา ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่ชุดวณิพก ผมเริ่มฟังเพลงคาราบาวครั้งแรกเมื่อปี 2527 ในชุด Made in Thailand และทุกครั้งที่ผมฟังเพลงคาราบาวผมมักนึกถึงใครคนหนึ่งที่ได้จากผมไปแล้ว

   ตลอดระยะเวลาสิบห้าปี เพลงทะเลใจยังถูกนำมาร้องใหม่อยู่เสมอ เช่น งานของนรีกระจ่าง (2536) หรือ งานของป๊อด โมเดอร์นด๊อก (2550) ผมคิดว่า “ทะเลใจ” น่าจะเป็นตัวแทนของชีวิตช่วงหนึ่งที่กำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง

     ผมว่ามนต์เพลงคาราบาวมีเสน่ห์แบบบ้านๆ ดีครับ ด้วยท่วงทำนองที่ขึงขังแต่ละมุนละไมในบางครั้ง หรือ เนื้อหาที่ดุดันแต่แฝงไปด้วยสารบางอย่างที่ต้องการจะสื่อ ทำให้เพลง “บาว” คล้ายบทสวดมนต์ของนักแสวงหาไปโดยปริยาย และด้วยวัยที่โตขึ้น ผมค่อยๆศึกษาถ้อยคำบางคำที่ปรากฏในเนื้อเพลงทะเลใจ และสิ่งหนึ่งที่ผมพบ คือ ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการค้นหาตัวตนตลอดจนเป้าหมายบางอย่างของมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราๆ

    ใช่แล้วครับ ! ชีวิตเล็กๆของมนุษย์แต่มักคิดเรื่องราวใหญ่โตอยู่เสมอ และแทบจะเป็นสูตรสำเร็จเลยก็ว่าได้ที่เรามักผิดหวังหรือพ่ายแพ้ทางความรู้สึก ย้อนมองจากประวัติศาสตร์อันใกล้โดยมี “คนเดือนตุลา” เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในเรื่องของ “เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน” หรือแม้กระทั่งย้อนไปไกลเมื่อสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ภายใต้กลุ่มคนหนุ่มที่ขนานนามตัวเองว่า “คณะราษฎร” ก็ถือเป็นกรณีคลาสสิคของมนุษย์เล็กๆที่คิดการใหญ่โดยจะอยากเปลี่ยนแปลงสังคม อยากสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับแผ่นดินเกิด แต่ท้ายที่สุดคนหนุ่มเหล่านี้ล้วนต้องมาฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” เพียงอย่างเดียว ประวัติศาสตร์ได้สอนให้เรารู้ว่ามนุษย์มักพ่ายแพ้ต่ออำนาจ เงินตรา กิเลสตัณหา หรือแม้กระทั่งความรัก แต่ที่สำคัญคือ แพ้ใจของตนเอง ครับ และนี่เองที่น้าแอ๊ดแกสรุปได้ดีว่า “ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียงตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน”

    เนื้อหาใน “ทะเลใจ” กล่าวถึง การปรับสมดุลในการใช้ชีวิตด้วยการประนีประนอมอารมณ์ของโลกแห่งความฝันให้เข้ากับสภาพของความเป็นจริงที่เผชิญอยู่ สังเกตได้จากท่อนที่ว่า “คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสี ศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหนใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก พออับโชค ตกลงกลางทะเลใจ” ผมเคยตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้จากการอ่านหนังสือของอาจารย์เสก (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) ตั้งแต่ ฤดูกาล , ดอกไผ่ , มหาวิทยาลัยชีวิต , เดินป่าเสาะหาความจริง,เร่ร่อนหาปลา , เพลงเอกภพ มาจนกระทั่ง วันที่ถอดหมวก มีบางอย่างที่ผมสังเกตเห็นคือ เมื่อครั้งวัยหนุ่มสาว ,ความตั้งใจของมนุษย์มักต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมที่เป็นอยู่ให้เข้าสู่สังคมอุดมคติแต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นความตั้งใจเหล่านั้นกลับค่อยๆหดหายลดทอนไปพร้อมๆกับกำลังวังชาตามวัย หากแต่สิ่งที่ได้มาจากบาดแผลที่เจ็บปวด คือ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ โดยเฉพาะเป็นมิตรกับตัวเอง เลิกทะเลาะกับตนเองเสียทีรวมไปถึงรื่นรมย์ไปกับโลกที่มันเป็นอยู่

    ผมนึกถึงอีกท่อนหนึ่งที่ว่า “ทุกชีวิตดิ้นรน ค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำเพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข” เนื้อหาท่อนนี้มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องของ “เซน”

    ผมเชื่อเหลือเกินว่าเราทุกคนล้วนมีคำถามอยู่ในใจว่า "เราเกิดมาทำไม?" คำถามแบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของศาสนา ซึ่งปรัชญาตะวันตกอย่างกรีกได้ตั้งคำถามเรื่องของการมีอยู่ของชีวิตโดย อธิบายถึงเรื่อง “แบบ” ของสิ่งต่างๆ ดังนั้นปรัชญาตะวันตกจึงเชื่อในความสมบูรณ์ของ “แบบ” ขณะที่ปรัชญาตะวันออกกลับกล่าวถึงการละวางตัวตน โดยเน้นไปที่การทำลายอัตตาด้วยวิถีที่ต่างกัน ทั้งนี้การปล่อยวางของโลกตะวันออกนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “นิพพาน” ด้วยเหตุนี้เองที่วิธีคิดแบบสองโลกนี้จึงส่งผลต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ในแต่ละซีกโลกไม่ว่าจะเรื่องการสร้างสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ขนบจารีตและความเชื่อที่แตกต่างกัน

    คราวนี้ลองกลับมาย้อนดูที่ตัวเราเองบ้างสิครับ เราจะพบว่ายิ่งเติบใหญ่ ยิ่งพอกพูนอัตตาที่มากหลาย ด้วยเหตุนี้เองโลกตะวันออกจึงเชื่อว่าการสละอัตตาให้หลุดเหลือน้อยที่สุดนั้นเป็นมรรคาของการหลุดพ้นจากความทุกข์ของชีวิต หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของ “มิยาโมโต้ มูซาชิ” จอมดาบไร้สำนักผู้มีตัวตนอยู่จริงในญี่ปุ่นสมัยโชกุนโตกุงาว่า (ประมาณศตวรรษที่ 17) ซึ่ง โยชิคาวา เอญิ นักเขียนชาวญี่ปุ่นได้จับเรื่องราวของเขามาเรียงร้อยใหม่ในรูปแบบนิยายอิงชีวประวัติ ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อคนญี่ปุ่นอย่างมากในการหันกลับมาสร้างชาติอีกครั้งหลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2(หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย)จะเห็นได้ว่าสังคมตะวันออกให้ความสำคัญกับปล่อยวางและทำลายอัตตามากกว่าสังคมตะวันตกที่มุ่งหน้าสะสมอัตตา (Ego Accumulation) จึงไม่น่าแปลกใจที่โลกของทุนนิยมจะกลืนกินทุกอย่างแม้กระทั่งตัวและหัวใจของมนุษย์

     ทุกครั้งเมื่อรู้สึกพ่ายแพ้ เหนื่อยหน่าย หรือท้อแท้กับการใช้ชีวิต ลองนึกถึงเนื้อร้องที่ว่า “ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่เพียงตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดีตลอดกาล” ดูสิครับ ผมว่ามันน่าจะเป็นคาถาชั้นดีที่ทำให้เรารู้สึกปล่อยวางและมีความสุขกับชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

บทความโดยคุณ Hesse004 จาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=100175
[/size]
34  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / เชิญเถิด เราทั้งหลายจงกล่าวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมกันเถิด เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2012, 02:29:37 pm
ธัมมคารวาทิคาถา

หันทะ  มะยัง  ธัมมะคาระวาทิคาถาโย  ภะณามะ  เส
เชิญเถิด เราทั้งหลายจงกล่าวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมกันเถิด

เย  จะ  อะตีตา  สัมพุทธา       เย  จะ  พุทธา  อะนาคะตา,
โย  เจตะระหิ  สัมพุทโธ         พะหุนนัง  โสกะนาสะโน

พระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้วด้วย,  ที่ยังไม่มาตรัสรู้ด้วย,
และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของพหูชนในกาลบัดนี้ด้วย


สัพเพ  สัทธัมมะคะรุโน          วิหะริงสุ  วิหะรันติ  จะ,
อะถาปิ  วิหะริสสันติ             เอสา  พุทธานะ  ธัมมะตา

พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  ทรงเคารพพระธรรม,  ได้เป็นมาแล้วด้วย,
กำลังเป็นอยู่ด้วย,  และจักเป็นด้วย,  เพราะธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นนั้นเอง


ตัสมา  หิ  อัตตะกาเมนะ         มะหัตตะมะภิกังขะตา,
สัทธัมโม  คะรุกาตัพโพ          สะรัง  พุทธานะ  สาสะนัง

เพราะฉะนั้น,  บุคคลผู้รักตน,  หวังอยูเฉพาะคุญเบื้องสูง,  เมื่อระลึกได้ถึง
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,  จงทำความเคารพพระธรรมเถิด


นะ  หิ  ธัมโม  อะธัมโม  จะ     อุโภ  สะมะวิปากิโน
ธรรมและอธรรม  จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอย่าง  ก็หาไม่

อะธัมโม  นิระยัง  เนติ            ธัมโม  ปาเปติ  สุคะติง
อธรรมย่อมนำไปสู่นรก,  ธรรมย่อมนำให้ถึงสุคติ

ธัมโม  หะเว  รักขะติ  ธัมมะจาริง
ธรรมแล  ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นปรกติ

ธัมโม  สุจิณโณ  สุขะมาวะหาติ
ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้

เอสานิสังโส  ธัมเม  สุจิณเณ
นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ตนประพฤติดีแล้ว

นะ  ทุคคะติง  คัจฉะติ  ธัมมะจารี.
ผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นนิจ,  ย่อมไม่ไปสู่ทุคติเลย.

35  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงพระไตรลักษณ์ เป็นต้นเถิด เมื่อ: ตุลาคม 31, 2012, 03:15:56 pm
ติลักขณาทิคาถา
(หันทะ  มะยัง  ติลักขะณาทิคาถาโย  ภะณามะ  เส)

เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงพระไตรลักษณ์ เป็นต้นเถิด

สัพเพ  สังขารา  อะนิจจาติ     ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า,  สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

อะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข       เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา
เมื่อนั้น  ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,  นั่นแหละ
เป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด


สัพเพ  สังขารา  ทุกขาติ        ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคล  เห็นด้วยปัญญาว่า,  สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์

อะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข       เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา
เมื่อนั้น  ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง, นั่นแหละ
เป็นทางแห่งพระนิพพาน  อันเป็นธรรมหมดจด


สัพเพ  ธัมมา  อะนัตตาติ      ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า,  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข     เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา
เมื่อนั้น  ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,  นั่นแหละ
เป็นทางแห่งพระนิพพาน  อันเป็นธรรมหมดจด


อัปปะกา  เต  มะนุสเสสุ      เย  ชะนา  ปาระคามิโน
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย,  ผู้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก

อะถายัง  อิตะรา  ปะชา    ตีระเมวานุธาวะติ
หมู่มนุษย์นอกนั้น  ย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง

เย  จะ  โข  สัมมะทักขาเต   ธัมเม  ธัมมานุวัตติโน
ก็ชนเหล่าใดประพฤติสมควรแก่ธรรม  ในธรรมที่พระองค์
ตรัสบอกไว้ชอบแล้ว


เต  ชะนา  ปาระเมสสันติ     มัจจุเธยยัง  สุทุตตะรัง
ชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน,  ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุราช
ที่ข้ามได้ยากยิ่ง


กัณหัง  ธัมมัง  วิปปะหายะ     สุกกัง  ภาเวถะ  ปัณฑิโต
ผู้เป็นบัณฑิต  พึงละธรรมดำเสีย   แล้วเจริญธรรมขาวเถิด

โอกา  อะโนกะมาคัมมะ      วิเวเก  ยัตถะ  ทูระมัง,
ตัตราภิระติมิจเฉยยะ        หิตวา  กาเม  อะกิญจะโน

จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ  จากที่มีน้ำ,  จงละกามเสีย, 
เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล,  จงยินดีอย่างยิ่งต่อพระนิพพาน, 
อันเป็นธรรมสงัดซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยากเถิด


ปะริโยทะเปยยะ  อัตตานัง    จิตตะเกลเสหิ  ปัณฑิโต.
บัณฑิต  พึงชำระตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตทั้งหลายฯ

[/size]
36  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / RSS คืออะไร? เมื่อ: ตุลาคม 31, 2012, 02:04:24 pm
คืออะไร ใครรู้ช่วยบอกหน่อย เห็นที่เว็ปก็มีด้วย! :smiley_confused1:
37  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ธรรมวันนี้เสนอคำว่า " ปปัญจะ, ปปัญจธรรม ๓ " คือ .... เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 12:59:40 pm
คำว่า  " ปปัญจะ, ปปัญจธรรม ๓ "  คือ กิเลสเครื่องเนิ่นช้า, กิเลสที่เป็นตัวการทำให้คิดปรุงแต่งยืดเยื้อพิสดาร ทำให้เขวห่างออกไปจากความเป็นจริงที่ง่าย ๆ เปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริงหรือทำให้ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา — diversification; diffuseness; mental diffusion

๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาที่จะบำรุงบำเรอปรนเปรอตน, ความอยากได้อยากเอา — craving; selfish desire)

๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเชื่อถือ ลัทธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ยึดถือไว้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูว่าอย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จทั้งนั้น เป็นต้น ทำให้ปิดตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตัดโอกาสที่จะเจริญปัญญา หรือคิดเตลิดไปข้างเดียว ตลอดจนเป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนบีบคั้นผู้อื่นที่ไม่ถืออย่างตน, ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ ถือความคิดเห็นเป็นความจริง — view; dogma; speculation)

๓. มานะ (ความถือตัว, ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ถือสูงถือต่ำ ยิ่งใหญ่เท่าเทียมหรือด้อยกว่าผู้อื่น, ความอยากเด่นอยากยกชูตนให้ยิ่งใหญ่ — conceit)


 ขุ.ม.๒๙/๕๐๕/๓๓๗; อภิ.วิ.๓๕/๑๐๓๔/๕๓๐; เนตฺติ. ๕๖-๕๗


เครดิตจาก : dhammathai.org
38  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธทาส ได้กล่าวถึง เรื่องฤทธิเดชไว้บ้างไหม? ในพระไตรปิฏกมีเรื่องฤทธิเดชไหม? แล้วอะไรค เมื่อ: สิงหาคม 03, 2012, 11:30:17 pm
พระพุทธทาส ได้กล่าวถึง เรื่องฤทธิเดชไว้บ้างไหม?

             ทำไม เหมือนจะไม่เคยได้ยินลย หรือเราจะศึกษามาน้อย



ในพระไตรปิฏกมีเรื่องฤทธิเดชไหม?

             รู้สึกว่าจะมีกล่าวไว้อย่างมากมายเลยนะ เช่น ... (ใคร่รู้มั่ง)
             

แล้วอะไรคือโลกุตระที่ว่าเหนือโลก?

             เหนือโลกอย่างไร?
 
             แล้วการที่เราจะหลุดพ้นได้ ก็ต้องเป็นโลกุตระด้วยไหม?

   ทั้งหมดนี้ ต้องการให้คุณ  modtanoy  ตอบแต่เพียงผู้เดียว


เรามาเล่น ปุจฉา-วิสัจฉนา กันหน่อยดีไหม

   ใครที่มีคำถามเรื่องฤทธิเชิญทางนี้นะจ๊ะ

ว่าแต่ฝึกกสินนี้ ก็เป็นฤทธิด้วยเหมือนกันนิ ก็อยู่ในกรรมฐาน 40 กองใช่ไหม?

   ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์อนุนาติให้ปฏิบัติได้ใช่ไหม?

แล้วคุณ modtanoy 

         ปฏิบัติกรรมฐาน อะไรอยู่?

         ปฏิบัติมานานเท่าไหร่แล้ว? 

         ได้ถึงขั้นไหนแล้ว? 
39  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมคุณถึงไปขึ้นกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 03, 2012, 10:10:33 pm
ใครขึ้นกรรมฐานแล้ว ยกมือขึ้น  :72:

         หรือใครบ้างที่คิดจะขึ้นกรรมฐานบ้าง ยกมือขึ้น  :72:

                (สงครามจิตวิทยา :08:)
40  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ชวนกันไปสวดมนต์! สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสวดมนต์ จะมีการสวดบทแปลกๆด้วยนะจ๊ะ! ก็ขอเชิญจ้า! เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 01:47:39 pm
           เริ่มแรก  จะเริ่มสวดชินบัญชรนานาชาติก่อน  แล้วค่อยหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป  ส่วนจะเป็นสถานที่ใด  ก็ติดตามกันได้ที่นี้นะจ๊ะ  ส่วนวัน จะเน้นเป็นวันอาทิตย์นะจ๊ะ ช่วงเวลาตั้งแต่บ่ายเป็นต้นไป และที่แน่ๆ เป็นในกรุงเทพจ๊ะ ถ้าว่าไม่ได้ไปสวด จะถือว่าไปเที่ยวก็ได้นะจ๊ะ 

               สวดแล้วใครข้องใจตรงไหนส่วนไหน  ก็สามารถสอบถามพระอาจารย์ได้ ณ ตอนนั้นเลยจ๊ะ  ไม่ว่าจะเป็นตัวบาลีที่เราอ่านออกเสียงกันไม่ค่อยจะถูกต้องหนักเท่าไหร่  หรือความหมาย  ว่าแปลว่าอะไร  และอื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งหาเรียนรู้ที่ไหนไม่มี  นอกจากกลุ่มของเรา

               ก็ขอเชิญชวนให้เตรียมตัวกันก่อนเนินๆ สำหรับผู้ที่จะมาร่วมสวดมนต์กัน  จะได้พร้อมกัน
บทสวดที่จะสวดก็โหลดได้ที่นี้ : http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7579.0


 :25:               :25:            :25:              :25:                   :25:
หน้า: [1] 2