ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตายแล้ว (เอาตัว) ไปไหน (ดี) เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ การบริจาคร่างกาย  (อ่าน 913 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



การบริจาคร่างกาย ต้องทำอย่างไร.?…เรามีคำตอบ

เชื่อหรือไม่ว่า…เมื่อเราต้องจากโลกนี้ไปร่างกายของเรายังสามารถทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้อีกมากมายทีเดียว โดยเฉพาะ การบริจาคร่างกาย การบริจาคร่างกายมีประโยชน์อย่างยิ่งในทางการแพทย์ เพราะร่างของเราจะถูกนำไปให้นักศึกษาแพทย์การศึกษากายวิภาคศาสตร์ และให้แพทย์เฉพาะทางได้ฝึกหัตถการ ผ่าตัด ศึกษาเกี่ยวกับโครงกระดูกและเนื้อเยื่อเพื่อใช้ในการรักษาผู้อื่นต่อไปในอนาคต

 ans1 ans1 ans1 ans1

แบบที่ 1 : บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา

สมัครเป็น “อาจารย์ใหญ่” ต้องเตรียมอะไรบ้าง
     -สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ
     - รูปถ่ายหนึ่งนิ้ว หน้าตรง ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน
     - ตัวและหัวใจในการเดินทางไปสมัครบริจาคร่างกายตามสถานที่ที่ประกาศรับบริจาค อาทิเช่น สภากาชาดไทย โรงพยาบาลของรัฐที่มีหน่วยงานรับบริจาคเป็นต้น
     - แบบฟอร์มการบริจาคซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.md.chula.ac.th หรือ www.redcross.or.th

สิ่งที่ควรรู้…ก่อนเป็น “อาจารย์ใหญ่”
     - ผู้ที่ต้องการบริจาคร่างกายต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป เมื่อตกลงใจบริจาคแล้ว ควรแจ้งให้คนรอบตัวทราบด้วย
     - หลังจากผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรมทายาทผู้รับมรดก (พ่อแม่ ลูก ญาติ) มีสิทธิ์คัดค้านการมอบศพให้กับโรงพยาบาลได้โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย
     - หลังจากผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรมและทายาทผู้รับมรดกยินยอมมอบร่างให้แก่ผู้รับบริจาคแล้ว ญาติควรโทร.แจ้งหน่วยงานตามบัตรบริจาคร่างกายที่ผู้ป่วยแสดงความจำนงไว้ภายใน 24 ชั่วโมง
     - เมื่อไปรับร่างของผู้บริจาค เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะต้องแสดงบัตรประจำตัวพร้อมมอบเอกสารหนังสือสำคัญการมอบศพให้ญาติกรอกรายละเอียดและลงนามไว้เป็นหลักฐาน เมื่อโรงพยาบาลรับร่างมาแล้ว ร่างผู้อุทิศร่างกายนั้นถือเป็นมรดกที่มอบไว้ให้กับโรงพยาบาล
     - แพทย์จะใช้เวลาในการศึกษาร่างกายเป็นระยะเวลาทั้งหมด 2 ปีหลังจากนั้นทางโรงพยาบาลจะจัดให้มีพิธีบำเพ็ญกุศลอาจารย์ใหญ่ให้แก่ผู้ล่วงลับ

หลักฐานสำหรับบริจาคร่างกาย
1. สำเนาใบมรณบัตร จำนวน 3 ฉบับ
2. สำเนาบัตรประชาชนของทายาทผู้มอบร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา จำนวน 1 ฉบับ

เป็นอาจารย์ใหญ่…ก็มีข้อจำกัดเหมือนกันนะ!
โรงพยาบาลต่างๆ ไม่สามารถรับศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาได้หาก…
     - ผู้อุทิศร่างถึงแก่กรรมเกิน 20 ชั่วโมงยกเว้นได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาลแล้ว
     - ผู้อุทิศร่างเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่และสูญเสียอวัยวะสำคัญ ๆ หรือมีร่างกายที่ไม่เหมาะจะใช้ศึกษาได้ เช่น แขนขาคดงอจนเสียรูปร่าง
     - ผู้อุทิศร่างมีสาเหตุการตายจากโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง  หรือติดเชื้อโรคร้ายแรง เช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโรค หรือมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการผ่าพิสูจน์
     - ผู้อุทิศร่างมีน้ำหนักมากเกินกว่า 80 กิโลกรัม หรือผอมมากจนไม่มีกล้ามเนื้อ

อยากทำบุญเชิญทางนี้!
หากต้องการทำบุญเพื่อพัฒนาอาจารย์ใหญ่ สามารถบริจาคเงินสมทบเข้ากองทุนสภากาชาดไทยเพื่อการบริจาค ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาสภากาชาดไทย เลขที่บัญชี0452-88000-6 ชื่อบัญชี “เงินฝากเพื่อพัฒนาอาจารย์ใหญ่เพื่อการศึกษาด้านการแพทย์” ได้ตามศรัทธา

 :25: :25: :25: :25:

แบบที่ 2 : บริจาคร่างกายเพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด

    มีเงื่อนไขน้อยกว่าแบบแรก คือ
    1. ไม่เคยผ่าตัดบริเวณข้อต่างๆ
    2. เมื่อเสียชีวิตญาติต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ให้มารับศพทันที
    3. ให้ญาติตัดผมและเล็บของผู้เสียชีวิตใส่โลง เพื่อสวดทำบุญ
    4. ไม่ฉีดยารักษาศพ

 st12 st12 st12 st12

แบบที่ 3 : บริจาคร่างกายเพื่อเก็บโครงกระดูกใช้ในการศึกษา


1. ขณะเสียชีวิตต้องมีอายุไม่เกิน 55 ปี
2. ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดอง ไปทำพิธีทางศาสนาได้
3. ไม่ฉีดยารักษาศพเพราะจะทำให้ไม่สามารถเก็บโครงกระดูกของศพได้



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/
http://www.goodlifeupdate.com/11311/healthy-mind/bodydonation/2/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

intro

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 77
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การบริจาคร่างกาย นั้น ผมเคยฟังในรายการ ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า
 หากสังขาร ร่างกายของเรานั้น ยังไม่ผุกร่อน หรือ ถูกเผาทำลาย ธาตุทีเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้ง 4 ยังไม่แยก จิตของผู้ที่ตายไปแล้ว จะกำเนิดใหม่ไม่ได้ เพราะว่า ธาตุทั้งสี่มีใจครองแล้วนั้นเป็นธาตุ เฉพาะบุคคล และ จะเปลี่ยนไปตามสภาวะจิต ของผู้ภาวนา จนถึง วิสุทธิธาตุ

 ดังนั้น พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนให้ สละอวัยวะ ในขณะที่ ตายแล้ว แต่สอนให้สละ อวัวยะ ในขณะที่มีชีวิต หรือ สอนให้สละชีวิต ในขณะที่ต้องรักษาธรรม

 :49:
บันทึกการเข้า