ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมจักษุ จาก สาวกองค์ที่ 1 และ พระดำรัสรับรองพระสาวกครั้งแรก  (อ่าน 4005 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
      พระวินัยปิฎก  มหาวรรค  [๑.มหาขันธกะ]
                    ๖.ปัญจวัคคิยกถา

 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเวยยากรณ์นี้ อยู่    ธรรมจักษุ  อันปราศจากธุลีปราศ
จากมลทินได้เกิดแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า

      “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง    มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวง    มีความดับไปเป็นธรรมดา”



เวยยากรณ์  ในที่นี้หมายถึงพระสูตรที่ไม่มีคาถา  ประกอบด้วยคำถามคำตอบ  (สารตฺถ.ฏีกา  ๓/๑๖/๒๒๐)

ธรรมจักษุ  แปลว่า  ดวงตาเห็นธรรม  คือ  โสดาปัตติมรรคญาณ  (วิ.อ.  ๓/๕๖/๒๗)


บุพกรรมในอดีตชาติ

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.komcome.com

พระอัญญาโกณฑัญญะตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรคหบดีมหาศาลชาวหงสวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู (แปลว่า ผู้รู้ราตรีนาน หมายถึงได้บวชก่อนใครได้รู้ได้ฟังมาก) แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน 7 วัน วันสุดท้ายได้สั่งให้เปิดเรือนคลังเก็บผ้า นำผ้าเนื้อดีเลิศมาวางถวายไว้แทบยุคลบาทของพระพุทธเจ้าและถวายพระสาวกแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเหมือนภิกษุรูปที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเมื่อ 7 วันก่อนจากนี้ด้วยเถิด นั่นคือขอให้ได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วได้รู้แจ้งธรรมก่อนใครหมด” พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่จึงทรงพยากรณ์ว่า
   

    ในอีก 100,000 กับข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้รู้แจ้งธรรมก่อนใคร และจักได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bloggang.com
   

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่น ๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกำแพง แก้วล้อมพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ครั้นถึงวันประดิษฐานพระเจดีย์ ก็ได้สร้างเรือนแก้วไว้ภายในพระเจดีย์อีก จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี

ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นบุตรของกฎุมพีชาวเมืองพันธุมดี มีชื่อว่า “ มหากาล” มหากาลมีน้องชายชื่อ “ จูฬกาล” (ในชาติสุดท้ายคือสุภัททะปริพาชก) ทั้ง 2 มีอุปนิสัยแตกต่างกัน กล่าวคือ มหากาลเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าวิปัสสี แต่จูฬกาลกลับไม่เลื่อมใส ดังนั้น ทั้ง 2 จึงมีความเห็นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการทำบุญ




มหากาลได้แบ่งนาออกเป็น 2 ส่วน โดยให้ส่วนหนึ่งเป็นสมบัติของตน และอีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นสมบัติของจูฬกาล แล้วได้นำเอาผลิตผลที่เกิดจากนาส่วนของตนนั้นมาทำบุญ จนจวบสิ้นอายุขัย จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่าง ๆ
การได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะฝ่ายรัตตัญญู-ผู้รู้ราตรีนาน



เมื่อมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันท่านมาเกิดเป็น บุตรพราหมณ์มหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่ได้รู้แจ้งธรรมและบวชในพระพุทธศาสนาก่อนใคร พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู ดังกล่าวมาแล้ว ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสชิ ซึ่งมีอดีตชาติร่วมกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ตรงที่ตั้งจิตปรารถนาให้ได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก่อนใคร และปรารถนาจะบรรลุอรหัตผลพร้อมกัน ก็ได้สิ่งที่ปรารถนาไว้คือ ได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมก่อนใครและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันในที่สุด

เื้นื้อหาจาก วิกิพีเดีย th.wikipedia.org/wiki/พระอัญญาโกณฑัญญเถระ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 27, 2013, 06:36:50 pm โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เป็นพระโสดาบัน ควรเห็นธรรม ประโยคนี้ให้ชัดเจน มิใช่เป็นประโยคที่อ่านผ่าน ๆ
เพราะพระโสดาบัน ละธรรม เรียกว่า สังโยชน์ 3
   มี สักกายะทิฏฐิ 1  มีสีลัพพปรามาสอีก 1  มีวิจิกิจฉา อีก 1

  เืมื่อเห็นธรรมครั้งแรกนี้เรียกว่า ธรรมจักษุ เปิดแล้ว ต้องใช้เวลา อีก 7 วัน ในการทบทวน วิปัสสนาระดับ โสดาปัตติมรรค จนกระทั่งวันที่ 7 จึงจะเรียกว่า สำเร็จได้ โดยไม่เคลาดเคลื่อน

    วิหารธรรม ก็คือ ผลสมาบัติ ในการปัจจเวกขณญาณ ทั้ง 7 วันสลับกัน

    ท่านทังหลาย อย่าประมาท เพียงคิดว่าท่านเป็นพระโสดาบัน โดยไม่ได้ผ่านลำดับทั้งหลายที่กล่าวมา จะทำให้เสียการ ได้

    เตือนไว้ สำหรับท่านที่ พยายามบอกอาตมาว่าเป็น พระโสดาบัน แล้ว เพราะสำคัญว่าตนเอง เห็นนิมิต พระพุทธเจ้า ต่าง ๆ เป็นต้น อย่าได้หลงผิด หากท่านเข้าผลสมาบัติ ไม่ได้ถึง 24 ชั่วโมง ก็ยังเป็น พระโสดาบันไม่ได้ เพราะผลสมาบัติ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบัน สุกขวิปัสสก ถ้าเป็นฝ่าย เจโตวิมุตติ จะสามารถเข้าสมาบัติได้มากกว่า 3 วัน


 

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 27, 2013, 06:49:56 pm โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

Lux

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 113
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
อยากให้ทุกคนได้มีรอยยิ้ม มีความสุข แม้แบบชาวโลก
อยากให้ทุกคนไม่มีทุกข์ มีแต่สุข ในการภาวนา
อยากหนอ .... ก็ทุกข์หนอ ใช่หรือไม่จ๊ะ