ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ลูกคิด
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ช่วยแนะนำเรียน วิธีปฏิบัติ ใน หน้า เดียวหน่อยครับ เอาแบบที่ได้ผล ครับ เมื่อ: มีนาคม 15, 2013, 08:39:35 am
ช่วยแนะนำเรียน วิธีปฏิบัติ ใน หน้า เดียวหน่อยครับ เอาแบบที่ได้ผล ครับ

   คิดว่า ถ้าต้องอ่านกันหลายหน้า ในชีวิตจริง ที่ทำงาน ในออฟฟิส นี้ มันช่างทำได้ยากครับ อยากรู้ว่าเราควรภาวนาปฏิบัติอย่างไร เอาแบบที่ใช้งานได้จริง ๆ นะครับ ช่วยแนะนำให้หน่อยครับ

  st12 st12 st12
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สีกา จ๋า มาฟังหน่อย สงเคราะห์ เถิด ช่วยด้วย นะ เมื่อ: มีนาคม 03, 2013, 01:27:21 pm


ขอโทษที .. นะสีกา .. อย่าว่าบ่น
พระก็คน .. จากชาวบ้าน .. เหมือนกันหนา
ตอนนี้บวช .. ตามคำสอน .. พระศาสดา
ขอสีกา .. ให้ระวัง .. เรื่องแต่งกาย
เข้ามาวัด .. ต้องหัดแต่ง .. มิดชิดหน่อย
อย่าใส่น้อย .. แบบประหยัด .. ไม่เข้าท่า
น้ำหอมนั้น .. ไม่จำเป็น .. อย่าโปะมา
ถ้าจะทา .. ขอให้พอ .. ดับกลิ่นตัว
ชายกระโปรง .. จงให้ต่ำ .. กว่าหัวเข่า
คอเสื้อเว้า .. อย่ามากไป .. จนหวือหวา
พระเณรเห็น .. เดี๋ยวจะเกิด .. สะดุดตา
จนประหม่า .. พากันเดิน .. สะดุดตอ
เดินสะดุด .. นั้นคง .. ไม่เท่าไหร่
กลัวกลับไป .. พิจารณา .. ว่าขาวหนอ
ตั้งใจอยู่ .. เข้าพรรษา .. เลยไม่รอ
อาตมาขอ .. บิณฑบาต .. เถิดญาติโยม!
3  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / อาการะวัตตาสูตร...(บทสวดมนต์ที่มีอานุภาพ อานิสงส์มาก) เมื่อ: มีนาคม 03, 2013, 01:25:05 pm
อาการะวัตตาสูตร...(บทสวดมนต์ที่มีอานุภาพ อานิสงส์มาก)
ผู้ใดท่องได้ใช้สวดมนต์ในพระสูตรนี้เสมอ
ผู้ใดที่ป่วยไข้ไม่สบาย มีอายุขัยใกล้ถึงวาระ
ผู้ใดเป็นทหาร ตำรวจปกป้องประเทศชาติ
ผู้ใดมิพึงประสงค์บาปกรรมหยั่งช่องส่งถึง
ผู้ใดมิพึงประสงค์ก้าวลงสู่อบายภูมิ
ผู้ใดบ่งบอกผู้อื่นให้เลื่อมใส สวดมนต์ เขียนเอง
ส่งต่อย่อมปรารถนาสิ่งใดสมหวังนานาประการ

อานุภาพ อานิสงส์แห่งอาการะวัตตาสูตรนี้...
มาจากพระสารีบุตรสอบถามพระพุทธองค์ดังนี้

อันผู้ใดปฏิบัติได้เสมอ มีอานิสงส์มากยิ่งหนักหนา
แม้จะปรารถนาพระพุทธภูมิ พระปักเจกภูมิ พระอัครสาวกภูมิ พระสาวิกาภูมิ
จะปรารถนามนุษย์สมบัติ นิพพานสมบัติ ก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมความปรารถนาทั้งนั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้าปัญญามาก
เพราะเจริญพระพุทธมนต์บทนี้

ทั้งคุ้มครองภัยอันตราย 30 ประการได้ 4 เดือน

ผู้ใดเจริญพระสูตรนี้อยู่เป็นนิจ
บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงสู่อบายภูมิเว้นแต่กรรมเก่าตามทัน

ผู้ใดอุสาหะตั้งจิตตั้งใจเล่าเรียนได้สวดมนต์ก็ดี
บอกเล่าผู้อื่นให้เลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี
กระทำสักการบูชาเคารพนับถือ พร้อมทั้งไตรวาทก็ดี
ผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ

พระตถาคตพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ดี
มิได้สละละวางทิ้งร้างให้ห่างเลยสักพระองค์เดียว
ได้ทรงพระเจริญตามพระสูตรนี้มาทุกๆพระองค์
มีคุณานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสูตรอื่น

ทั้งปิดบังห้ามก้นไว้ไม่ให้ไปสู่ทุคติกำเนิดก่อนโดยกาลนาน 90 แสนกัลป์
สำเร็จไตรวิชชาและอภิญญา 6 ประการ
ยังทิพจักษุญาณให้บริสุทธิ์
ภัยอันตราย ศัตรู หมู่ปัจจามิตร ไม่อาจจะมาครอบงำย่ำยีได้
มีกำลังมากแรงขยันต่อยุทธนาข้าศึกศัตรูหมู่ไพรีไม่ย่อท้อในภพเบื้องหน้า
บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ
ทั้งจะมีฉวีวรรณผ่องใส
มีจักษุประสาทรุ่งเรืองงามไม่วิปริตแลเห็นทั่วทิศที่สรรพรูปทั้งปวง
มีปัญญาฉลาดเฉียบแหลมว่องไวสุขุมละเอียดลึกซึ้ง อาจรู้ทั่วถึงอรรถธรรมด้วยกำลังปรีชาญาณอวสานที่ชาติสุดท้ายก็จะได้บรรลุพระนิพพาน

บุคคลผู้นั้นเกิดในภพใดๆก็จะบริบูรณ์ในการบริจาคทานไม่เบื่อหน่าย
ไม่มีโรค-พยาธิเบียดเบียนสรรพอันตรายความจัญไร
ภัยพิบัติก็จะสงบระงับดับคลายลงด้วยคุณานิสงค์ผลที่ได้สวดมนต์

อันผู้ใดได้สดับฟังพระสูตรนี้ จะมีประสาทจิตผ่องใส ใกล้จะตายไม่หลงสติ จะดำรงสติไว้ทางสุคติ เสวยสุขสมบัติตามใจประสงค์..

4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บารมีของพระโพธิสัตว์ กับ บารมีพุทธสาวก แตกต่างกันอย่างไร ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2012, 08:19:53 am
การสร้างบารมี ของ พระโพธิสัตว์ กับพระพุทธสาวก นั้นมีการสร้างบารมีแตกต่างกันอย่างไรครับ
ถ้าเราสร้างบารมี เพื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ปรารถนา เป็นพุทธสาวก ได้หรือไม่ครับ

 ด้วยความเคารพต่อเพื่อสหธรรม ทุกท่านครับ
  :c017:
5  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เพื่อน ๆ มีความเห็นกันอย่างไร กับกรณ๊ ที่มีคลิป แอบถ่ายในโรงหนัง เมื่อ: มิถุนายน 26, 2012, 09:27:16 am
คือเรื่องของคลิป ที่ออกมานั้น ดูจะไม่เป็นการเหมาะสม ที่เด็กสองคนไปทำอะไรมิดีในโรงหนัง แต่ ว่าการที่โรงหนังสามารถถ่ายด้วยกล้อง อินฟาเรด ได้ชัดเจนอย่างนี้ ได้ทุกที่นั่งแสดงว่า ทุกวันนี้การที่เราเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจในโรงหนัง แบบเมื่อก่อนไม่เป็นการส่วนตัว เสียแล้ว เพราะว่าเราถูกแอบถ่ายไว้ทุกอิริยาบถ กันอย่างนี้นั่นหมายความว่า ความเป็นส่วนตัวของเรากับที่ บันเเทิง สาธารณะ นี้หายไปแล้ว
 
    ในทางธรรมอาจจะกล่าวว่า เราก็ไม่ต้องไปในที่อย่างนี้ สิ ใช่หรือไม่ครับ
     อันนี้ผมยกตัวอย่างแค่ สถานหย่อนใจของคนทั่วไป ยังไม่ได้เข้าไปในที่ปฏิบัติธรรม เพราะบางทีผมเห็นมีกล้องวงจรปิด ไว้แม้แต่ห้องน้ำ อย่างนี้
   
     ที่กำลังมากล่าวให้ท่านแสดงความเห็นคือ เรื่องการติดกล้องในที่ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าถูกแอบถ่ายกันอยู่ตลอดเวลา เหมือนห้องเรียน ที่ทำงาน ที่เที่ยวต่าง ๆ เราก็จะถูกจ้องมองอย่างนี้ตลอดเวลา

      :smiley_confused1: :67:
6  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / จิตใจ กังวลกับเรื่องอนาคต ครับ ทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: มิถุนายน 12, 2012, 07:11:40 am
ช่วงนี้รู้สึก จิตใจ มันสั่นระรัว อยู่ที่หน้าอกเลยครับ พอนึกถึงอนาคตที่จะเกิด ( เกิดขึ้นจริง ไม่รู้จะเวลาไหน )
ที่สำคัญเราอาจจะแก้ปัญหาได้ เพียง 10 เปอร์เซ็น แก้ไม่ได้ 90 เปอร์เซ็น พอนึกถึงแล้วรู้สึกเป็นกังวลมากครับ รู้สึกทุกข์ แต่พอนึกถึงธรรมแล้ว ก็คลายได้บ้าง แต่สุดท้ายจิตก็ยังพะวักพะวงอยู่้ตรงนั้น เหมือนรอประทุ และรอว่าเราจะทำอย่างไร

  อาการที่เกิดขึ้นก็คือ รู้สึกตรงกลางหน้าอก โหวง ๆ วังเวง อึดอัด พาลให้บางครั้งถ้าคุมอารมณ์ไม่ได้ก็จะรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ยังนอนหลับตามปกติ

   คือกำลัง ทำใจให้ยอมรับ กับสิ่งที่จะเกิดครับ

   อยากแลกประสบการณ์ กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ญาตธรรม ทุกท่านที่เคยผ่านเหตุอย่างนี้ ผ่านกันมาอย่างไรครับ ด้วยวิธีการปฏิบัติ ดูแลจิตใจอย่างไร ครับ


 สาธ ยามเช้า ครับ

  :25:
7  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / โดนกีดกัน เพราะฐานะผมยากจนกว่าเขา ( ไม่รู้ขอคำปรึกษาถูกที่ หรือ ไม่ ) เมื่อ: เมษายน 09, 2012, 07:20:25 pm
คือผมเป็นคนที่มีฐานะ พอเลี้ยงชีพได้ พ่อแม่ ทำกสิกรรมเป็นชาวนา หาเช้ามาิกินกันค่ำ ทุกวัน พ่อแม่ส่งผมเรียนจนจบ ป.ตรี แล้วผมก็พยายามหางานทำที่มีเงินเดือน แต่หาได้แล้วก็ต้องกลับมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะเป็นลูกชายคนเดียวครับ ซึ่งก็ได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่พอทำให้ ที่บ้านพออยู่ได้ไม่ลำบากแบบเมื่อก่อน เรื่องน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่พอผมกับมาอยู่ที่บ้านก็ไปชอบ ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเป็นคนมีฐานะมาก ๆ ในตำบล ก็จีบกันไป จีับกันมาก็รู้ว่าต่างคนต่างก็รักกัน จนกระทั่งผมให้พ่อแม่ไปสู่ขอ ซึ่งทางฝั่งผู้หญิงพ่อแม่เขาเรียกสินสอด แบบที่ผมเองก็จนปัญญาจริง ๆ ครับ เงิน 500000 บาท ทอง 10 บาท

  สุดท้ายผมก็คอตก พ่อแม่ ผมบอกว่าต่อรองได้ไหม เขาบอกว่า ลูกสาวเขา ไม่ใช่ผัก ไม่ใช่ปลา ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องเจียมตัว ซึ่งจากวันนั้นมา ผมก็ถูกกีดกันจากผู้ใหญฝั่งผู้หญิงไม่ให้เข้าพบ

   เล่าพอให้ พี่ ๆ ลุง ๆ ป้า ๆ ได้พอทราบเรื่องนะครับ

   ตอนนี้จิตผมเป็น ทุกข์ มากอยากจะหนีไปบวช แต่ก็ห่วงพ่อแม่ ว่าเรากำลังทดแทนคุณสร้างฐานะให้แก่ตัวเราและพ่อแม่ แต่ความรักนี่มันทุกข์มากครับ จะมีทางออกใดที่ผมจะฟันฝ่าไปได้ ครับขอพี่น้อง ชาวธรรมช่วยแจ้งทางสว่างให้ผมด้วย นะครับ

   นั่งกรรมฐานไม่ได้ครับ ตอนนี้ใจมันทุกข์ เบื่อข้าว เบื่อน้ำ ไม่มีเรีี่ยวแรงอยากจะทำอะไร ( จริง ๆ ผมตอนนี้ก็ไม่ทำอะไรเลยครับตอนนี้ เอาแต่นอนกระสับกระส่าย มา 3 วันแล้ว ครับ )

   :'( :'( :'(
8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การปฏิบัติ ภาวนา มีทางสายกลาง ได้อย่างไร สงสัยครับ เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 10:08:09 am
การปฏิบัติ ภาวนา มีทางสายกลาง ได้อย่างไร สงสัยครับ ในเมื่อเราปฏิบัติเป็นสมาธิ เท่านั้น ทำไมถึงจะเป็นการปฏิบัติ มรรค ทั้ง8 ได้ครับ เวลาเรากำหนด สมาธิ ก็เป็นเพียงแต่ สมาธิ ไม่ใช่ หรือ ครับ

   :smiley_confused1: :c017:
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัตนะ 7 ของพระจักรพรรดิ เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 10:53:52 am
พระยาจักรพรรดิราชเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวงคือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลกโดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก
พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มากเมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช

เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรมพระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วยได้แก่

1.จักรแก้วคือแก้วอย่างที่หนึ่งจักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000 โยชน์เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทรก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเลพุ่งขึ้นไปในอากาศเกิดเป็นแสงส่องอันงดงามมาน้อมนบ

เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้นทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราชปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแล้วจึงเสด็จกลับพระนคร

2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์)คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาวตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว

3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์)คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอกกีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่งเหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว

4.แก้วดวง (มณีรัตน์)คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่งดังเช่นเวลากลางวัน

แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัยจึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม

5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์)คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็นมเหสีคู่บารมีของพระยาจักรพรรดิราชนางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน

และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราชในตระกูลกษัตริย์นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วนจะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช

6.ขุนคลังแก้วคือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐีขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ

เพราะขุนคลังแก้วมีหูทิพย์ตาทิพย์ดังเทวดาในสวรรค์หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใดขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวายได้

7.ลูกแก้วคือแก้วประการสุดท้ายของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราชมีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการบางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ด๊อกเตอร์รากหญ้า มทส. คิด “แพลอยน้ำท่อพีวีซี” น้ำท่วมอีกทีก็ไม่หวั่น เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 10:48:13 am
น้ำท่วม ทีไรผู้ประสบภัยก็ร้องหาเรือจากทางการส่วนพ่อค้าหัวใสก็รีบซื้อเรือมาโก่ง ราคาขายต่อให้ชาวบ้านในมุมมองของนักวิจัยสาขาวิศวกรรม มทส. ผู้เรียกตนเองว่า "ด๊อกเตอร์รากหญ้า"จึงคิดค้นนวัตกรรมง่ายๆราคาถูกที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ผล จริงแถมยังหาอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ได้แสนง่าย นั่นคือ “แพลอยน้ำจากท่อพีวีซี”







11  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธรรมะ 4 เกลอ ช่วยจำไว้ให้ดีๆ มันจะช่วยได้ เมื่อ: สิงหาคม 10, 2011, 09:16:02 am



....ธรรมะอะไรที่ถูกต้องและเพียงพอ...??
...เป็นคนมีสติ มีสติระลึกได้ไวๆเหมือนกับความเร็วของ
ลูกศร บาลีมันไม่มีเรื่องอะไรที่จะเปรียบเทียบความเร็วยิ่ง
ไปกว่าความเร็วของลูกศร ความเร็วของลูกศรเรียกว่า
'สติ' ระลึกได้เร็ว มีสติระลึกได้เร็ว แล้วก็ไปเอาปัญญาที่
เรียนรู้ไว้มา เอามาแก้ไขสถานการณ์ ปัญญาก็จะกลายเป็น
สัมปชัญญะเฉพาะเรื่องนั้นๆ ต่อสู้กับสถานการณ์นั้นๆ

แล้วถ้ากำลังมันน้อยไปก็เพิ่มสมาธิมีกำลังสมาธิให้ เรื่อง
มันก็สำเร็จ คือ ตัดปัญหาไปได้...นี่เป็นเคล็ด หรือว่าจะเป็น
เทคนิคอะไรก็ได้ของการมีธรรมะ จะต้องมีธรรมะอย่าง
น้อยสี่เกลอ...

ธรรมะ 4 เกลอ ช่วยจำไว้ให้ดีๆ มันจะช่วยได้คือสติระลึก
ได้ ปัญญาที่ศึกษาไว้เอามาด้วยสติ เอาปัญญามาแล้วมาทำ
เป็นสัมปชัญญะเฉพาะเรื่อง เฉพาะเหตุการณ์ เป็นสัมปชัญญะ
แล้วต่อสู้กับสถานการณ์ และถ้ากำลังจิตมันอ่อนแอต้องมี
สมาธิ สมาธิเป็นน้ำหนักเพิ่มให้แก่ปัญญา ปัญญานี้มันต้อง
คู่กับสมาธิ เพราะปัญญานั้นมันเป็นแต่เพียงความคม

ความคมแม้จะคมยิ่งกว่ามีดโกน คมเท่าคมอย่างไรก็ตาม
เถอะ แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักแล้ว มันไม่ตัด ความคมไม่มีน้ำหนัก
มากด มันไม่ตัด ความคมต้องมีน้ำหนักมากด มันจึงจะตัด
ดังนั้น จึงต้องมีสมาธิ...ปัญญาคม สมาธิหนักตัดลงไปได้
แล้วสถานการณ์อันยุ่งยากก็จะหมดไป จะพ้นจากความเลว
ร้ายทุกอย่างทุกประการ....

สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ....
นี่ 4 เกลอ เพื่อนคู่ชีวิต ใครมีธรรมะ 4 เกลอนี้เป็นคู่ชีวิต
คนนั้นจะต่อสู้ จะชนะได้ทุกสถานการณ์ คือหมดปัญหาแห่ง
การมีชีวิต สตินั้นคือ ความเร็วในการระลึกไปเอาปัญญามา
ปัญญาเอามาแต่ไหน เอามาจากการศึกษา อย่าไปศึกษาบ้า
หอบฟาง ไม่มีแก่นสาร ศึกษาให้ถูกเรื่องถูกราวโดยเฉพาะ
ที่จะดับทุกข์ได้ นี้เรียกว่า...ปัญญาที่แท้จริง

ปัญญาที่แท้จริงสะสมไว้ สะสมไว้ให้ครบทุกแง่ทุกมุม เพราะ
ว่าปัญหาหรือความทุกข์นั้น มันมีหลายร้อยชนิด เราก็ศึกษา
ปัญญาไว้ให้ครบทุกชนิด ศึกษาเก็บไว้ๆ นี้เรียกว่าปัญญา...
พอมีเหตุการณ์มา สติก็เป็นผู้ไปเอาปัญญามาเผชิญหน้าเหตุ
การณ์ให้ตรงกับเรื่อง....

เหมือนกับว่า เรามีอาวุธไว้มากมายในบ้านในเรือน พอจะใช้
ก็ใช้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ทุกอย่าง...เหมือนกับเรามีหยูก
ยาไว้ในตู้ยาครบทุกอย่าง แต่พอเวลากินก็กินอย่างเดียว....
นี่ปัญญามันมีไว้ครบทุกอย่าง แต่พอจะใช้แก้สถานการณ์
มันเพียงอย่างเดียว มันจึงต้องทำไว้ให้ครบทุกอย่าง แล้ว
สติ จะไปเลือกเอามาใช้ให้เหมาะแก่เหตุการณ์ ปัญญาที่เลือก
เอามา เฉพาะเหตุการณ์โดยเหมาะเจาะนั้น เขาเรียกว่า....

สัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้าย
ที่เผชิญหน้าอยู่นี้ก็เรียกว่าสัมปชัญญะ...ต่อสู้กับสถานการณ์
นั้น จนกว่าจะมีชัยชนะ ถ้ากำลังมันอ่อนลงไปก็ให้เพิ่มสมาธิ
น้ำหนักมันก็จะมีมากขึ้น ปัญญามันก็จะตัดได้ดีขึ้น ก็ชนะเหตุ
การณ์นั้นๆ จะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายอะไรก็ตาม เข้ามาทาง
ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอะไรก็ตาม...

ปัญญาหรือสัมปชัญญะ ที่ตรงกับเหตุการณ์มันจะแก้ได้...
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพยายามฝึกฝนให้มีธรรมะ
4 เกลอเป็นของคู่ชีวิตประจำตัว แล้วจะใช้ต่อสู้แก้ไขสถาน
การณ์ได้ทุกอย่าง ไม่ยกเว้นอะไร...ฯ

~ธรรมเทศนา...ท่านพุทธทาสภิกขุ~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮากว่ายิ่งลักษณ์ ! พิษณุโลกมีสัปเหร่อหญิง หนึ่งเดียวในเมืองไทย เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 08:18:10 am
ฮือฮากว่ายิ่งลักษณ์ !

พิษณุโลกมีสัปเหร่อหญิง หนึ่งเดียวในเมืองไทย

 

ไม่ต้องเลือกตั้ง เพราะอาชีพนี้อย่าว่าแต่ผู้หญิงไม่ค่อยประสงค์เลย แม้แต่ผู้ชายเองก็เถอะ กลัวผีกันทั้งนั้น

 

 

เปิดตัว 'สวง ขันทิพย์' ผู้หญิงเก่ง ยึดอาชีพสัปเหร่อ หนึ่งเดียวในพิษณุโลก ทำงานกับศพมานานร่วม 20 ปี

 

ประเทศไทยพ.ศ.นี้เรียกได้ว่า เป็นยุคผู้หญิงเก่ง ประเทศไทยกำลังมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ส่วนที่พิษณุโลก นางเปรมฤดี ชามพูนท นักการเมืองหญิงเก่ง ก็เพิ่งนั่งตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลกสมัยที่ 5 ขณะที่วัดท่ามะปราง อ.เมืองพิษณุโลก ก็มีผู้หญิงเก่งอีกคนหนึ่ง ทำงานกับศพมานานาร่วม 20 ปี ในตำแหน่งสัปเหร่อประจำวัด เรียกได้ว่า เป็นสัปเหร่อหญิงหนึ่งเดียวในจังหวัดพิษณุโลก


นางสวง ขันทิพย์ หรือ ป้าเตือน อายุ 54 ปี เรือนแพเลขที่ 100/3 ถนนพุทธบูชา อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในจังหวัดพิษณุโลก ที่ยึดอาชีพสัปเหร่อ เป็นอาชีพหลัก ทั้งที่มีหลายอาชีพให้เลือกทำหลายอย่าง แต่ป้าเตือน กับบอกว่าชื่นชอบในอาชีพสัปเหร่อแบบนี้ ทำแล้วสบายใจดี

 

ป้าเตือน เล่าว่า ด้วยบ้านอยู่ใกล้วัดท่ามะปราง ถนนพุทธบูชา อ.เมือง จ.พิษณุโลก ทำให้คลุกคลีอยู่กับวัดตั้งแต่วัยเด็ก พอโตขึ้นก็ช่วยลุงๆ ป้าๆ ที่มาทำครัวที่วัด เวลามีงานศพ งานบวช หรืองานบุญต่างๆ ก็พอได้กับข้าว บางครั้งได้ค่าแรง 20-30 บาทด้วย

 

หลังจากนั้น ก็ยึดทำครัวช่วยพระสงฆ์มาตลอด ซึ่งวัดท่ามะปรางเดิมมีสัปเหร่อเป็นชาย แต่เป็นพวกชอบดื่มเหล้า คงดูถูกตัวเอง และมองว่า สัปเหร่อเป็นอาชีพต่ำต้อย เวลาเมาก็อาละวาดทำลายเมรุเผาศพจนเสียหาย กระทั่งสัปเหร่อชายเลิกไป ป้าเตือนจึงบอกว่า ไม่ต้องไปหาสัปเหร่อที่ไหนหรอก เธอนี่แหละจะทำหน้าที่นี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นการทำอาชีพสัปเหร่อ โดยยึดเป็นอาชีพมานานกว่า 20 ปี

 

สำหรับหน้าที่สัปเหร่อ ที่ป้าเตือนทำ เรียกว่า ทำทุกอย่างเกี่ยวกับงานศพ ตั้งแต่เตรียมโลงศพ มัดตราสังค์ อาบน้ำศพ บรรจุลงโลง การเตรียมดอกไม้หน้าศพ (กรณีเจ้าภาพต้องการให้จัดเตรียมให้) การสวดพระอภิธรรมทุกคืนก่อนทำพิธีเผาศพ ในวัดประกอบพิธีเผาศพ ก็จะเตรียมนำศพออกจากโลงเย็น นำมาเวียนรอบเมรุ 3 รอบ ต้องดันรถลางโลงศพเอง จัดเตรียมวางรูป ดอกไม้หน้าเมรุ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหน้าศพ

 

สุดท้ายเปิดฝาโลงให้ญาติกราบลาศพ ผ่าน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ก่อนยัดศพลงเตา ขั้นตอนเผาให้ลูกหลานญาติจุดธูปใส่โลงศพ พรมน้ำให้ความเย็นปิดโลง ซึ่งขั้นตอนการเผาสมัยนี้ใช้น้ำมัน สะดวกสบายกว่าในอดีตที่ต้องใช้ใส่ฟืนเผาศพ ซึ่งต้องคอยใส่ฟืนให้ลุกไหม้จนกว่าศพจะถูกเผาหมด จากนั้นทิ้งข้ามคืน รุ่งเช้าวันใหม่ เวลา 06.00 น. ก็เก็บกระดูก โดยนำกระดูกมาทำพิธีปั้นหุ่น ต่อแขนขาตัว โปรยดอกไม้ น้ำหอมน้ำปรุง นิมนต์พระมาสวดบังสุกุลอีกครั้ง จากนั้น เก็บกระดูกใส่โกฐ ให้ญาตินำไปบูชา ส่วนที่เหลือนำไปลอยอังคาร เป็นเสร็จพิธี 1 ศพ

 

สำหรับค่าแรงสัปเหร่อ ต่อการทำพิธีศพนั้น ขึ้นอยู่กับญาติผู้เสียชีวิต บางงานก็ได้ 500 บาท บางงานก็ได้ 2,000-3,000 บาท บางงานเป็นคนจน คนไร้ญาติ ก็ทำไป ถือว่าได้บุญ

 

"ทำงานแบบนี้ชอบ เราไม่คิดอะไร เราทำให้คนตายครั้งสุดท้ายได้บุญกุศลดี สัปเหร่อเป็นอาชีพไม่มั่นคง บางเดือนไม่มีศพเลย ก็ไม่ได้เงิน บางเดือนก็มีศพเป็นกว่า 10 -20 ศพ"

 

ป้าเตือนเล่าว่า เป็นผู้หญิงบางคนมองว่าขวัญอ่อนต้องกลัวผี แต่เรากับคิดตรงข้าม มองว่าผีไม่น่ากลัว กลัวคนมากกว่า ทีมงานของเธอก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด มีผู้ช่วยทำความสะอาดสองคนคือป้าแจ๊ว กับป้าเอียด

 

"ผู้ชายเรื่องมาก ขี้เมา ผู้หญิงดีกว่า บางวันต้องนอนเฝ้าศพ ทำงานอยู่ในวัดกลางดึกก็ไม่กลัว ไม่เคยเจอผี เราทำดีกับเขาเขาก็ไม่ทำอะไรเรา ก็จะยึดอาชีพนี้ตลอดไปจนตัวตาย" ป้าเตือน กล่าวในท้ายที่สุด

 

 

ข่าว : คมชัดลึก
13 กรกฎาคม 2554
13  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บุคคลผู้เปรียบเหมือน ม้าอาชาไนย ปโตทสูตร เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 09:03:57 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.etcband.net

ปโตทสูตร
        [๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำพวกเป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ พอเห็นเงาปะฏักเข้าก็ย่อมสลด ถึง
ความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัว
เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวชเลยทีเดียว แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้
นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอเราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้า
อาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลดไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วย
ปะฏักถึงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวชว่าวันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจัก
ตอบแทนแก่เขาอย่างไรดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี
นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯอีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักก็ไม่สลด ไม่ถึง
ความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักถึง
ผิวหนังก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสังเวช ถึงความสลด
ว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๔ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลกฉันนั้นเหมือน
กัน ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น
มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเขาย่อมสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้
สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วย
นามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญพอเห็นเงาปะฏักย่อมสลดถึงความ
สังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง เขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยวย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญาม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนย่อมสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใดเรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้
แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำ
กาลกิริยาเอง แต่ญาติหรือสาโลหิตของเขาถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา เขาจึงสลด ถึงความ
สังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทง
ผิว หนังจึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๓ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง ทั้งญาติหรือสาโลหิตของเขาก็ไม่ถึงทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเองทีเดียว อัน
ทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ถูก
ต้องแล้วเขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้วเริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย
มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสลดถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าว
บุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้
เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
               จบสูตรที่ ๓


14  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / แจ้งเรื่อง RDN เดี่ยวมีเสียง เดี๋ยวก็ไม่มีครับ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 03:14:08 pm
วันนี้ตั้งใจเปิดฟังครับ แต่ไม่มีสัญญาณ มาตั้งแต่ช่วงเช้าครับ พึ่งจะมีสัญญาณช่วย บ่าย 3 ครับ

 :25: :25: :25:
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / มีเหตุผล ดี ๆ ที่จะแนะนำให้เพื่อนปฏิบัติ สมาธิ กันบ้างหรือไม่ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 10:10:53 am
คือ ชักชวนเพื่อนให้นั่งสมาธิ

  เพื่อน ย้อนถามว่า มีเหตุผลดี ๆ สัก 10 ข้อ ของสมาธิบ้างหรือไม่ ?

  ผมก็ตอบไปตามเรื่อง แต่ รู้สึกว่า เพื่อน ๆ จะไม่สนใจกับคำตอบครับ

  ดังนั้น เพื่อมาเตรียมตัวในการซักซ้อมคำตอบ อยากได้คำแนะนำกับเพื่อน สมาชิกธรรม

  ช่วยแนะนำเหตุผล ในการชักชวนเพื่อนนั่งสมาธิกันหน่อยครับ

  :c017:
16  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อ: เมษายน 25, 2011, 08:11:21 am
วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

แสดงธรรมที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย  แสดงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๘

ณ สถานที่แห่งนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ภายหลังจากที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
มาทุกแบบทุกรูป และได้ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ สำนักอาจารย์ใด ฤาษีตนใด
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเก่งที่สุดในสมัยนั้น พระองค์ทรงไปศึกษาหมดทุกแห่ง
จนจบหลักสูตรของคณาจารย์นั้น ๆ สมัยนั้นนิยมการบำเพ็ญสมาธิเพื่อให้ได้ฌาน
ได้อภิญญา คือบำเพ็ญสมาธิแบบฌานสมาบัติมุ่งให้จิตสงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
อยู่ภายในจิตเพียงอย่างเดียว แล้วจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อสร้างชื่อเสียง
เป็นอันว่าคณาจารย์หรือนัก ปฎิบัติในสมัยนั้นยังถูกโลกธรรมหรือเอาโลกธรรม
เทิดไว้บนศีรษะเพราะยังติด อยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข การปฏิบัติก็มุ่งที่จะสร้างบารมี
ให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่นิยมนับถือของ ปวงชนในยุคสมัยนั้น จึงอยู่ในลักษณะ
การปฏิบัติเพื่อแสวงหาลาภ ผล แสวงหาบริวาร ไม่ได้มุ่งเพื่อความหลุดพ้นโดยตรง

แต่จะด้วยประการใดก็ตาม การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นก็เป็นการสร้างบารมี
เพราะความเข้าใจของคนในยุคนั้นความสำเร็จที่เขาพึงประสงค์อยู่ตรงที่ว่า
ในเมื่อปฏิบัติเคร่งครัด บำเพ็ญตบะแก่กล้า พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระเจ้า
ที่เขานับถือจะประทานพรให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งสุดแท้แต่เขาจะตั้งปณิธานความปรารถนา
ไว้อย่างไร ก็เป็นอันว่าการปฏิบัติก็เพื่อมุ่งลาภ ผล ชื่อเสียง ให้เป็นที่ประทับใจของคนในยุคนั้นสมัยนั้น
การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสร้างกิเลส เขาเอาโลกธรรมเทิดไว้บนศีรษะ

แต่เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ทรงศึกษาในสำนักของคณาจารย์นั้น ๆ
เข้าไปศึกษาในสำนักอาจารย์ใด อาจารย์นั้นก็หมดภูมิ คือหมดภูมิที่จะสอนพระองค์อีกต่อไป
เช่นอย่างไปศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็สอนพระองค์ได้เพียงฌาน ๔ คือ
ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เท่านั้น เมื่อถึงฌานขั้นนี้แล้ว อาจารย์ทั้งสอง
ก็บอกว่าหมดภูมิแล้ว ไม่มีอะไรจะสอนท่านอีกต่อไป ขอให้ท่านอยู่ในสำนัก
เพื่อช่วยสั่งสอนประชาชนอบรมศิษยานุศิษย์ต่อไปเถิด

เมื่อพระองค์ได้พิจารณาดูโดยรอบคอบแล้ว คือพระองค์สังเกตอย่างนี้ ในขณะที่จิตของพระองค์
อยู่ในสมาธิ ฌานขั้นที่ ๔ ร่างกายตัวตนหายไปหมด มีแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่าง ลอยเด่นอยู่
ในท่ามกลางแห่งความว่าง มีจิตอาศัยความสว่างเป็นอารมณ์ ความรู้สึกยินดีไม่มี
ความรู้สึกยินร้ายไม่มี คณาจารย์เหล่านั้นจึงถือว่าเขาหมดกิเลสแล้ว แต่เมื่อพระพุทธองค์
ได้ไปศึกษาจนจบหลักสูตรของอาจารย์ดังกล่าว ในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิ มองหากิเลสตัวใดไม่มี
เป็นจิตบริสุทธิ์สะอาดแท้จริง แต่ยังไม่เป็นอมตะ เพราะเมื่ออกจากสมาธิแล้ว
เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ความยินดียินร้ายมันยังมีปรากฏอยู่ในจิต พระองค์จึงพิจารณาอย่างรอบคอบว่า
มันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าหากว่าเราหมดกิเลสอย่างแท้จริง อยู่ในสมาธิเป็นอย่างไร กิเลสไม่มี
เมื่ออกจากสมาธิแล้ว กิเลสก็ต้องหมดไป สิ่งที่ส่อแสดงให้พระองค์รู้ว่าพระองค์ยังมีกิเลสอยู่ก็คือ
พระองค์ยังมีความยินดียินร้ายพอใจ ไม่พอใจ แล้วก็ยังยึดมั่นอยู่ในสังขารร่างกายว่าเป็นเรา เป็นเขา
เป็นของเรา ของเขา ดังนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ว่ายังทรงไม่สำเร็จ

ภายหลังจากที่พระองค์ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ของโสตถิยพราหมณ์ กุสะ แปลว่า หญ้าคา
คา แปลว่าข้อง ติด มาตอนนี้พระองค์ทรงเอาหญ้าคา ๘ กำ มาขดเป็นบรรลังก์ประทับนั่ง
มุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติ โดยไม่มุ่งผลประโยชน์อันใดในด้านวัตถุธรรม
มุ่งแต่เพียงจะดำเนินไปสู่การตรัสรู้ คือความหมดกิเลส สู่ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
จึงได้ชื่อว่าเอาโลกธรรม ๘ มารองนั่ง แทนที่จะเอาเทิดไว้บนศีรษะดังก่อน คราวนี้เอาโลกธรรมมารองนั่ง

พระองค์ประทับนั่งอย่างไร เราเคยเห็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอย่างไร พระองค์ก็ประทับนั่งอย่างนั้น
อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ทีนี้เมื่อพระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิเป็นที่เรียบร้อย พระองค์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
คือกำหนดรู้ที่จิตของพระองค์เพียงถ่ายเดียว ไม่ได้สนใจกับสิ่งใด ๆ แต่ในช่วงขณะจิตนั้นเอง
พอพระองค์มาวิตกว่าเราจะเริ่มกันที่จุดไหน อตีตารมณ์คืออารมณ์ในอดีตได้ผุดขึ้นมา
ในพระทัยของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงรำลึกถึงเมื่อสมัยยังเป็นพระกุมาร
พระบิดาทำพิธีแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงนางนมผูกพระอู่ให้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า
ในช่วงที่พี่เลี้ยงนางนมหรือคนทั้งหลายเขาเพลิดเพลินในการดูมหรสพ ดูพิธีแรกนาขวัญ
พระองค์ถูกปล่อยให้บรรทมในพระอู่ใต้ต้นหว้าแต่เดียวดาย

ณ โอกาสที่ว่างจากการคลุกคลีจากผู้คนนั้นเอง พระองค์ผู้เป็นพระกุมารน้อย ๆ ทรงวิตกถึงลมหายใจ
กำหนดรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์ นับว่าพระองค์ได้สำเร็จปฐมฌานตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อพระองค์มารำลึกถึงที่ตรงนี้ พระองค์ก็ได้ความรู้ตัวขึ้นมาว่า จุดเริ่มของการปฏิบัติอยู่ตรงนี้
คือการกำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์เพื่อกำหนดให้รู้ความเป็นจริงของร่างกาย
แล้วพระองค์ก็มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก

วิธีการของพระองค์นั้น เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้อยู่เท่านั้น แต่เพราะอาศัยที่
กายกับจิตของพระองค์ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เมื่อจิตอยู่ว่าง ๆ สิ่งที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือลมหายใจ
เพราะอาศัยที่พระองค์เคยบรรลุปฐมฌานมาแล้ว จิตของพระองค์จึงจับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
แต่พระองค์เพียงมีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจ ไม่ได้บังคับลมหายใจ ไม่ได้บังคับจิตให้สงบ
ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่พระองค์กำหนดเอาพระสติอย่างเดียวรู้ที่จิต
บางครั้งลมหายใจก็ปรากฏว่าหยาบ คือหายใจแรงขึ้น พระองค์ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ในบางครั้งลมหายใจค่อย ๆ ละเอียดขึ้น ๆ คล้าย ๆ กับจะหยุดหายใจ พระองค์กลัวว่ามันจะเลยเถิด
เมื่อกระตุ้นเตือนจิตให้มีความหยาบขึ้น ลมหายใจก็เด่นชัดชัดขึ้น เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจอย่างไม่ลดละ
แล้วพระองค์ไม่ได้นึกว่า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด
เพียงแต่กำหนดรู้เฉยอยู่เท่านั้น ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของจิต
เมื่อหนัก ๆ เข้า จิตยึดลมหายใจอย่างเหนียวแน่น ในบางครั้งพระองค์จะมองเห็นลมหายใจวิ่งออกวิ่งเข้า
เป็นท่อยาว สว่างเหมือนหลอดไฟนีออน หนัก ๆ เข้า พอจิตสงบละเอียดไปในระหว่างอุปจารสมาธิ
จิตของพระองค์วิ่งเข้าไปสว่างนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกายไปรวมตัวอยู่ใน
ท่ามกลางระหว่างทรวงอก ความสว่างไสวแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกาย พระองค์มีความรู้สึกประหนึ่งว่า
ความสว่างได้ครอบคลุมพระกายของพระองค์อยู่ ในช่วงนั้น พระองค์เกิดความรู้ความเห็น
เห็นอาการ ๓๒ ที่เรายึดมาเป็นบทสวดมนต์ในปัจจุบันนี้

อะยัง โข เม กาโย - กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย - มีอยู่ในกายนี้
เกสา - คือผมทั้งหลาย โลมา คือขนทั้งหลาย
นะขา - คือเล็บทั้งหลาย ทันตา คือฟันทั้งหลาย
ตะโจ - คือหนัง มังสัง คือ เนื้อ
นะหารู - คือเอ็นทั้งหลาย อัฏฐิ คือกระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง - เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง - ตับ
กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง - ไต
ปัปผาสัง ปอด อันตัง - ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง - อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า มัตถะเก มัตถะลุงคัง - เยื่อในสมอง
ปิตตัง น้ำดี เสมหัง - น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง - น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ เมโท - น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา วะสา - น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา - น้ำมูก
ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตัง - น้ำมูตร
เอวะมะยัง เม กาโย - กายของเรามีอย่างนี้
อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ อย่างนี้แล

ความรู้อันนี้พระพุทธองค์ได้รู้เห็นก่อนการตรัสรู้ แล้วกลายเป็นกายคตาสติสูตร
ที่เราผู้ปฏิบัติยึดเป็นแนวทางแห่งการพิจารณาอสุภกรรมฐาน
เมื่อจิตของพระพุทธองค์ไปสงบนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้พระองค์รู้ความเป็นจริง
ของร่างกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว คือพระองค์มองเห็นหัวใจกำลังเต้น ฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย มองเห็นปอดกำลังสูดอากาศเข้าไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับกำลังแยกเก็บ
อาหารส่วนละเอียดไว้ไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับอ่อนกำลังทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหาร
และนำเอากรดมาช่วยย่อยอาหาร ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
พระองค์รู้ทั่วถ้วนหมดทุกสิ่งทุกอย่างในขณะจิตเดียว แล้วพระจิตของพระองค์ก็วิตกอยู่กับสิ่งเหล่านี้
กำหนดรู้อยู่กับสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งจิตละเอียดลงไป ๆ กายจางหายไป ยังเหลือแต่จิต
นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในจักวาลนี้รู้สึกว่ามีแต่จิตของพระองค์ดวงเดียวเท่านั้น
สว่างไสวอยู่ ในตอนนี้จิตของพระองค์เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตเป็น อัตตาทีปะ
มีตนเป็นเกาะ เป็น อัตตสรณา มีตนเป็นที่ระลึก คือ ระลึกอยู่ที่ตน รู้อยู่ที่จิต
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ จิตมีตนเป็นตนของตน เมื่อจิตของพระองค์ไปดำรงอยู่ในสมาธิ
ขั้นจตุตถฌานนานพอสมควร

ต่อไปนี้จะได้ลำดับองค์ฌาน ปฐมฌาน มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
วิตก หมายถึง จิตไปรู้อยู่กับสิ่ง ๆ หนึ่ง หรือบางทีไปรู้เฉพาะในจิตเพียงอย่างเดียว
แล้วก็มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง คือจิตรู้อยู่ที่จิต อันนี้เป็นปฐมฌาน
ทุติยฌาน จิตไม่ได้ยึดสิ่งรู้ แต่รู้อยู่ที่ตัวเอง
แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีปีติ มีสุข แล้วก็มีเอกัคคตา
เมื่อจิตสงบละเอียดลงไป ปล่อยวางปีติ ยังเหลือแต่ความสุขก็อยู่ในฌานที่ ๓
ตอนนี้จะรู้สึกว่ากายละเอียด ค่อย ๆ จางไป แต่ยังปรากฏอยู่ จิตจะเสวยสุขในปีติอย่างล้นพ้น
ซึ่งจะหาความสุขใดเปรียบเทียบไม่ได้ แล้วในที่สุดกายก็หายไป ความสุขก็พลอยหายไปด้วย
ยังเหลือแต่จิตนิ่งสว่างไสวอยู่อย่างนั้น จิตเป็นหนึ่งคือ เอกัคคตา แล้วก็เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม
ซึ่งเรียกว่า อุเบกขา ขอย้ำอีกที่หนึ่งว่า

- ฌานที่ ๑ ประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
- ฌานที่ ๒ ประกอบไปด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
- ฌานที่ ๓ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ สุข กับเอกัคคตา
- ฌานที่ ๔ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ เอกัคคตา กับอุเบกขา

เป็นอันว่าในช่วงนั้นจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน เมื่อเข้าถึงจตุตถฌานแล้ว
แทนที่จะก้าวหน้าไปอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตะนะ อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่พอขยับจะเคลื่อนจากฌานที่ ๔ วกเข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ
คือเข้านิโรธสมาบัติ จิตอยู่ในนิโรธสมาบัติ ดับความสว่าง จิตรู้อยู่ในจิตอย่างละเอียด
สัญญาเวทนาดับไปหมด แต่ก็ยังมีเหลือรู้อยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นฐานสร้างพลังจิต คือพลังสมาธิ
พลังสติปัญญา
เพื่อเตรียมก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตตระ

เมื่อจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ สร้างพลังเพียงพอแล้ว
จิตเบ่งบานออกมาทีหนึ่งสามารถแผ่รัศมีสว่างไสวครอบคลุมจักวาลทั้งหมด
ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังจิตดวงนี้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ แม้จะส่องแสงลงมาสู่โลก
ก็ส่องไปได้เฉพาะที่ไม่มีสิ่งกำบัง แต่จิตของพระพุทธองค์นั้นส่องสว่างไปทั่วหมดทุกหนทุกแห่ง
ไม่มีสิ่งกำบัง ไม่มีอะไรที่จะปิดบังดวงจิตดวงนี้ได้ มองทะลุจนกระทั่งบาดาลถึงพิภพพญานาค
มองทะลุจนกระทั่งผืนแผ่นดิน พระองค์สามารถกำหนดความหนาของแผ่นดินได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
ในช่วงนั้นทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก

โลก ตามความหมายในทางธรรมะ มีอยู่ ๓ โลก
1. ยมโลก ได้แก่โลกเบื้องต่ำ คือต่ำกว่าภูมิมนุษย์และภูมิสัตว์เดรัจฉาน ลงไป
ได้แก่ภพของภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก อันนั้น เรียกว่า ยมโลก
2. มนุสสโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสัตว์ผู้มีกายมีใจ
3. เทวโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของเทวดา ตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุ ฯ สูงสุด
จนกระทั่งพรหมโลกชั้นอกนิษฐาพรหม

พระองค์รู้พร้อมในขณะจิตเดียว ทั้งยมโลก มนุสสโลก เทวโลก แล้วเกิดความรู้ต่อไปอีก
ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อันนี้พระองค์ยังไม่ได้คิดเช่นนั้น
เป็นแต่มองเห็นความแตกต่างของสัตว์และมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์
ภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกายทั้งหลายเท่านั้น แล้วก็รู้กฎของกรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ
รู้กิเลสคืออวิชชาที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม แต่ในขณะที่รู้นั้น
พระองค์รู้นิ่งอยู่เฉย ๆ ทรงรู้จนกระทั่งเหตุ รู้ทั้งปัจจัย รู้ความเป็นไปของมวลหมู่สัตว์ทั้งหลาย
ในจักวาลนี้ แต่จิตดวงนี้คิดไม่เป็น พูดไม่เป็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วก็สามารถ
บันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมดทั้งเรื่องของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
บันทึกไว้พร้อมไม่มีขาดตกบกพร่อง ตามนิสัยของพระสัพพัญญู

อันนี้เป็นการตรัสรู้ของพระองค์ พระองค์ตรัสรู้ในขณะที่จิตไม่มีร่างกายตัวตน
ซึ่งแม้ไม่มีร่างกายตัวตน จิตสามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ว่าพูดไม่เป็น คิดไม่เป็น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จิตของเรานี่จะคิดได้ต่อเมื่อยังสัมพันธ์อยู่กับร่างกาย
เมื่อแยกจากร่างกายออกไปแล้วไม่มีเครื่องมือจึงคิดไม่เป็น ความคิดมันเกิดจากประสาทสมอง
จิตไม่มีร่างกายตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีร่าง จึงไม่มีมันสมองที่จะใช้ความคิด
เพราะฉะนั้นรู้เห็นอะไรก็ได้แต่นิ่ง แต่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไว้พร้อมหมดไม่มีขาดตกบกพร่อง

เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นโลกวิทูละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว จิตของพระองค์ถอนจากสมาธิขั้นนี้มา
พอมารู้สึกว่ามีกาย ตอนนี้ได้เครื่องมือแล้ว จิตของพระองค์จึงมาพิจารณาทบทวน
ถึงสิ่งที่รู้เห็นนั้นซ้ำอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเจริญวิปัสสนา ทรงพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
การระลึกชาติหนหลังได้ ตั้งแต่ชาติหนึ่ง ชาติสอง ชาติร้อย ชาติพัน ชาติหมื่น ชาติแสน ชาติล้าน....
ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าพระองค์เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างกว่าจะได้มาถึงการตรัสรู้นี้ 

นอกจากพระองค์จะรู้เรื่องของพระองค์เองแล้ว ยังสามารถรู้เรื่องของคนอื่นสัตว์อื่นได้ด้วยว่า
มวลสัตว์ทั้งหลายในจักวาลนี้ได้เกิดมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง
อันนี้เป็นความรู้เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จิตของพระองค์คิดพิจารณา
เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม และในมัชฌิมยามพระองค์ได้พิจารณา
เรื่องการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย จุติก็คือตาย เกิดก็คือเกิดนั่นแหละ
ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
เพราะกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย จึงเป็นสุภาษิตขึ้นมาว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ กัน เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์มาสอนธรรมแก่มวลสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จึงสอนให้พิจารณากรรม
เป็นส่วนใหญ่ว่า เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กฎของกรรมนี่เกิดจากการทำ การพูด โดยอาศัยความคิดเป็นผู้ตั้งเจตนา
ว่าจะทำจะพูดจะคิด ในเมื่อทำอะไรลงไปโดยเจตนา สิ่งนั้นสำเร็จเป็นกรรม
เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในมัชฌิมยาม

แล้วก็ทรงคำนึงต่อไปอีกว่า อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม
ก็มาได้ความเป็นภาษาสมมติบัญญัติว่าอวิชชาความไม่รู้จริง ความรู้ไม่จริงนี่เป็นเหตุ
ให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมตามที่ตนเข้าใจว่ามันถูก ต้อง แต่สิ่งที่สัตว์เข้าใจและมีความเห็นว่าถูกต้องนั้น
บางอย่างมันก็ถูกต้องตามใจของตนเอง แต่ขัดกับกฎธรรมชาติ บางอย่างมันก็ถูกต้อง
ตามใจของตนเอง และถูกกับกฎธรรมชาติ ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายผู้รู้ไม่จริง
จึงทำกรรมดีทำกรรมชั่วคละเคล้ากันไป หมายถึงทำกรรมที่เป็นบาป ทำกรรมที่เป็นบุญ
ทำกรรมที่เป็นชั่ว ทำกรรมที่ดี ภาษาบาลีว่า กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรมคือกรรมชั่ว
ทำไปตามความเข้าใจของตนเอง ในเมื่อทำแล้วก็ย่อมได้รับผลของกรรม
ได้รับผลของกรรมแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดมาอีกก็ต้องอาศัยกิเลสคืออวิชชาตัวเดียวนั่นแหละ
ทำกรรมแล้วทำกรรมเล่า เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร
เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในปัจฉิมยาม

ในเมื่อพระองค์ได้พิจารณา ๓ เรื่อง ตามลำดับยามทั้ง ๓ จบลงแล้ว
จิตของพระองค์ยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตรัสรู้นี้
เป็นความจริงแท้ไม่แปรผัน ในช่วงขณะจิตนั้น อรหัตตมัคคญาณจึงบังเกิดขึ้น
ตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไปในปัจฉิมยาม จึงได้พระนามว่า อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ด้วยประการฉะนี้ อันนี้คือลักษณะการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมะบรรยายนี้ผมได้รับจากคุณ Li แห่งลานธรรม ขออนุโมทนาสาธุครับ
เห็นว่ามีประโยชน์แก่คนทั่วไปจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ

จากคุณ    : kaveebs
ที่มา http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/11/Y9945536/Y9945536.html
17  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เพื่อน ๆ มีวิธีการจัดการอย่างไร เวลาเราจะชักชวนเพื่อนให้มาภาวนากรรมฐาน ด้วยกัน เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 07:50:47 am
คือ ผมพยายามชักชวน พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ให้มาภาวนากรรมฐานกันบ้าง แต่ 1 ปี มานี้ไม่ว่า จะพยายามโน้มน้าวอย่างไรก็ตามก็ไม่ประสพความสำเร็จในการชักชวน ซ้ำยังถูกหาว่าบ้า ด้วย

เช่น ญาตผู้ใหญ่ ของผมคนหนึ่ง ประสพอุบัตเหตุ ถึงขั้น เอ็นขาด กระดูกหัก ทั้งตัว จนตอนนี้มีโรคประจำตัวเกิดขึ้นแก่กาย คือ่จะปวดกระดูกทั้งตัว ผมก็อยากให้ ญาติท่านนี้ได้ภาวนากรรมฐาน เพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดบ้าง แต่การชักชวนของผม ก็ยังไม่สำเร็จเลยครับ ในปัจจุบัน ผมก็ยังชักชวนต่อไป แต่ญาติท่านนี้ ท่านจะชอบทำบุญกันเป็นประจำ จะใส่บาตรทุกวันไม่ขาด

อยากทราบว่าเพื่อน ๆ สมาชิกใครมีวิธี โน้มน้าว ชักจูง คนได้สำเร็จ ช่วยแนะนำหน่อยครับ

 :c017:
18  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ขอคำปรึกษา เพื่อนสมาชิกธรรม เรื่อง วัตถุ หน่อยครับ เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 09:12:49 am
ไม่รู้โพสต์ถูกห้องหรือไม่ คือ ผมอยากจะซื้อ คอมสำหรับพกพา

  ระหว่าง เน็ตบุ๊ค  และ ไอแพด หรือ โน๊ตบุ๊ค ในราคาย่อมเยาว์ อันไหน น่าซื้อกว่ากันครับ

  และประโยชน์ ใช้สอย ที่ควรได้ครับ

  ในราคาไม่เกิน 30000 บาทครับ     

:c017:
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องเล่า น่าคิด แครอท ไข่ กาแฟ เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 10:50:24 am

เรื่องเล่า น่าคิด

 

วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบ่นถึงชีวิตอันแสนรำเค็ญให้พ่อฟังว่า . . .  เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการ ต่อสู้และการแข่งขัน

พ่อสอนให้ลูกสาวรู้คิดโดยการต้มน้ำให้เดือดในหม้อสามใบ ใบแรก ใส่แครอท ใบที่สอง ใส่ไข่ ใบที่สาม ใส่กาแฟ เมื่อผ่านไป 20 นาทีจึงยกลง พร้อมกับถามลูกว่า “เห็นอะไรบ้าง”

“แครอท ไข่ กาแฟ”  เธอตอบ

 

เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัส แครอท เธอจึงรู้ว่า มันนิ่ม  แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่ นั้นได้ต้มจน สุกแล้ว  ท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบ กาแฟ ดู เธอยิ้มและลิ้มรสอัน หอมกรุ่น นั้น

พ่ออธิบายว่า “เราได้กระทำต่อ 3 สิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิม  แครอท ดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก  ไข่…ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน  แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่ กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล  เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป . .."

ถ้าเป็น  “แครอท” แม้จะดูแข็งโป๊ก  แต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอ  และสูญเสียเรี่ยวแรง  และกำลังไป

หรือจะเป็น  “ไข่” ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรก  แต่หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการเลย์ออฟ . .แม้เปลือกภายนอกยังคงเดิม แต่หัวใจ และจิตวิญญาณของอาจปวดร้าว และแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นไปได้

หรือหากคุณเหมือน  “กาแฟ” เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด  แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว ยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย. ..


คุณเป็นคนแบบไหนคะ แครอท ไข่ หรือกาแฟ


Credit :  sakid//
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะหลัก 6 อ. สร้างสุขภาพคนไทย เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 01:42:00 pm
แนะหลัก 6 อ. สร้างสุขภาพคนไทย

สุขภาพ กายที่ดี หมายถึงกายที่ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราสามารถดูแลสุขภาพได้ดีตลอดไปได้ด้วยตนเองและสามารถป้องกันการเจ็บป่ายที่ เกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติตัวตามแนวทางสู่การมีสุขภาพดีเมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ เราก็ต้องดูแลตนเองให้ดีเพื่อให้หายป่วยเร็วขึ้น หรือเพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่และลดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนการมีสุขภาพจิตที่ดีก็ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่แข็งแรง หายจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้นได้เช่นกัน 

          การมีสุขภาพที่ดี ตามหลัก 6 อ.สร้างสุขภาพคนไทย ต้องปฏิบัติดังนี้
 
          1.อาหาร กินอาหารโดยยึดหลักการกินให้หลากหลายชนิดมากที่สุด ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันและแป้งในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวานได้ ควรเน้นอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้น
 
          2.ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดห์ละ 3  ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ
 
          3.อารมณ์ อารมณ์มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์มีผลต่อร่างกาย อารมณ์ดีส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น เมื่อมีความสุข ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟิน ส่งผลให้ร่างกายต้องตื่นตัวกระชุ่มกระชวย ผ่อนคลายการทำงานของสมองจะดี หายป่วยเร็วขึ้น อายุยืนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ไม่ดีจะส่งผลทำลายสุขภาพทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง กินอาหารได้น้อย นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด ก้าวร้าว ความดันโลหิตสูง ดังนั้น การรู้จักควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม มีผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจทำให้การดำรงชีวิตประจำวันมีความสุข
 
          4.อนามัยสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมในบ้านที่ดีเอื้อต่อการมีสุขภาพดีของคนในครอบครัว ขณะเดียวกันก็ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในชุมชนด้วย
 
          5.อโรคยา หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูง ลดการกินอาหารรสจัด ไม่กินอาหารที่สุก ๆดิบๆ หรืออาหารที่มีสารปนเปื้อน การจัดการกับความเครียด โดยทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ การคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถยนต์ สวมหมวกกันน็อกขณะขับขี่มอเตอร์ไซค์
 
          6.อบายมุข งดเว้นบุหรี่ สุรา ยาเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจ
 
          นอกจากการมีสุขภาพกายที่ดีแล้ว ยังต้องมีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพจิตที่ดี คือมีจิตใจที่พร้อมเผชิญความไม่แน่นอนในชีวิต ด้วยการเรียนรู้ที่จะอยู่กับบุคลคลอื่นด้วยความรักการแบ่งปัน รู้จักการแบ่งเวลาให้เหมาะสมและมองโลกในแง่ดี ปรับตัวปรับใจได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงได้
 
21  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 02:36:16 pm

ประวัติ  หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

นามเดิม :- คำคะนิง

เกิด :- ที่บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน ๔ ปีกุน พ.ศ ๒๔๓๗

โยมบิดา - มารดา :- ชื่อนายดิน ทะโนราช และนางนุ่น

(หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน ๑๕ ปี )

บรรพชา

เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี บวชได้ ๙ วัน เพื่อทดแทนคุณบิดามารดาที่ตายไป หลังจากนั้นพบครบก็ต้องลาสึก แม้ว่าอยากจะบวชต่อเพียงไรแต่เพราะมีหน้าที่ความจำเป็นต้องเลี้ยงดูครอบครัว (ท่านแต่งงานเมื่ออายุ ๑๘ ปี มีบุตร ๒ คน ) แต่ท่านก็ยังยึดมั่นในการปฏิบัติธรรมโดยการทำงานหาเงินให้เมียกับลูกตอนกลาง วัน พอกลางคืนท่านก็ไปนอนที่วัด ถือศีลปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนาไม่กลับไปอยู่ที่บ้าน เพียงดูแลลูกและเมียไม่ให้อดอยาก ทำเช่นนี้จนภรรยาทนไม่ได้ที่เห็นสามีปฏิบัติตัวแบบนี้ จึงอนุญาตให้หลวงปู่บวชได้ตามใจปรารถนา เมื่อเป็นดังนั้นท่านจึงกลับไปวัดที่ตนเคยบวชเณรอีกครั้ง เพื่อพักอาศัยปฏิบัติธรรม อยู่ต่อมาได้ไม่นานท่านก็ได้เพื่อนสหมิกธรรมร่วมอีกสองคน จึงมีความดำริที่คิดจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์

ก่อนจะบวชก็เคยออกสืบเสาะหาพระอาจารย์ด้านกรรมฐานเก่งๆ ได้มีสหาย ๒ คนร่วมเดินทางไปหาอาจารย์สีทัตถ์ เมืองท่าอุเทน แต่ก็ผิดหวัง เมื่ออาจารย์สีทัตถ์กล่าวปฏิเสธ แต่ก็แนะนำให้ไปหาอาจารย์เหม่ย ทั้งหมดรีบมุ่งไปหาอาจารย์เหม่ย เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์ อาจารย์เหม่ยนิ่งฟังแล้ว กล่าวด้วยเสียงห้วนๆ

“ถ้าจะมาเป็นศิษย์เรา ทั้งสามคนนี้จะมีคนตายหนึ่งคน มีใครกลัวตายบ้าง” อาจารย์เหม่ยชี้ถามรายตัว เพื่อนอีกสองคน ยอมรับว่ากลัวตาย ครั้นมาถึงนายคำคะนิง เขาได้ตอบอาจารย์ออกไปว่า “ไม่กลัวตาย”

อาจารย์เหม่ยเลยให้เพื่อนอีกสองคนที่กลัวตายกลับไป แล้วหันมาทางนายคำคะนิงแล้วพูดว่า “การเรียนวิชากับอาจารย์นั้น มีทางตายจริงๆ เพราะมันทุกข์ทรมานอย่างที่สุด” ให้นำเสื้อผ้าที่มีสีสันทิ้งไป ใส่ชุดขาวแทน เป็น “ปะขาว” ในฐานะศิษย์

ในสำนักมีแต่ข้าวตากแห้งกับน้ำเพียงประทังชีวิตพออยู่รอดไปวันๆเวลานอนก็ เอา มะพร้าวต่างหมอนนายคำคะนิงอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องการตายขึ้น ของชายผู้หนึ่งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ คนผู้นี้นั่งสมาธิจนตาย อาจารย์สั่งนายคำคะนิงให้แบกศพที่ตายเข้าป่า โดยมีอาจารย์เดินนำหน้า ข้ามเขาลูกหนึ่งไปสิบกว่ากิโลเมตรไปถึงต้นไม้ใหญ่สองคนโอบ แล้วสั่งให้เขามัดศพกับต้นไม้นั้น จากนั้นสั่งกำชับว่า “เจ้าจงเดินเพ่งศพนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน อย่าได้หยุด ให้พิจารณาอสุภกรรมฐานอย่างถ่องแท้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน” นายคำคะนิงจึงได้เริ่มพิจารณาศพตามที่อาจารย์เหม่ยสั่งไว้ ถึงรุ่งเช้านายคำคะนิงจึงกลับไปสำนักตามที่อาจารย์กำหนด อาจารย์เหม่ยถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเจอหน้า “เป็นอย่างไงบ้าง”“ศพนั้นก็เหมือนตัวศิษย์ครับอาจารย์ ไม่มีอะไรแตกต่างตรงไหนเลย” นายคำคะนิงบอก “กลัวไหม” อาจารย์ถาม “ไม่กลัวครับ เพราะเขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา” อาจารย์ไม่ถามอะไรอีก สั่งให้ไปเอามีดเล่มหนึ่งทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างเดินทางกลับไปหาศพ ณ ที่เดิมพอไปถึง ก็สั่งให้แก้มัดเอาศพออกมานอนราบกับพื้นดิน แล้วสั่งให้นายคำคะนิงผ่าท้องเอาศพออก จากนั้นอาจารย์ก็กล่าวว่า ให้หยิบอะไรออกมา ต้องอธิบายอวัยวะนั้นได้ และต้องบอกดังๆ เมื่อนายคำคะนิงชำแหละศพ ตัดหัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ และสิ่งต่างๆ ก็จะตะโกนบอกอาจารย์ด้วยเสียงอันดัง จนครบหมดถูกต้อง

“เอ๊า… คราวนี้ชำแหละเนื้อลอกออกให้เหลือแต่กระดูก” อาจารย์เหม่ยสั่งให้เขาทำต่อ และนั่งดูจนเสร็จเรียบร้อย จึงได้สั่งอีกเอากองเนื้อและเครื่องในไปเผาให้หมด เอากระดูกรวมไว้ต่างหาก แล้วเอาไปต้มล้างให้สะอาด เหลือแต่กระดูกล้วนๆ อย่าให้มีอะไรติดอยู่

นายคำคะนิงปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งทุกประการ เนื้อตัวของนายคำคะนิงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด, น้ำเหลือง และมีกลิ่นศพติดตัวเหม็นคละคลุ้ง อาจารย์เหม่ยยังไม่เลิกรา สั่งต่อไปให้เขานับกระดูกและเรียงให้ถูก เขาลงมือปฏิบัติตามทันที

“กระดูกมีสองร้อย แปดสิบท่อนครับ อาจารย์”

อาจารย์เหม่ยอธิบายอีกว่า คนที่จะบรรลุธรรมด้วยความเพียรบำเพ็ญ ต้องมีกระดูกครบสามร้อยท่อนกระดูก คือ พระวินัย เนื้อหนังมังสาเป็นพระวินอก ส่วนระเบียบคือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า หลังจากได้เรียนรู้วิชาจากอาจารย์เหม่ยหลายสิ่งหลายอย่าง อาจารย์ก็ไล่ให้ไปสืบเสาะหาความรู้เพิ่มเติมเอาเอง นายคำคะนิงจึงยึดเอาโยคี

เป็นรูปแบบภายนอก และถือศีลภาวนาอย่างพระภิกษุตั้งแต่บัดนั้นมา

พบหลวงพ่อปาน(พระครูวิหารกิจจานุการ)วัดบางนมโค

ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ในปีหนึ่ง เดินธุดงค์คราวนี้หลวงพ่อปานได้นำศิษย์เอก ๔ รูป ไปด้วยมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง) หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก และพระเขียน หลวงพ่อปานพาลูกศิษย์ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม มุ่งหน้าไปทางภาคเหนือ ข้ามเขตชายแดนลึกเข้าไป กระทั่งเข้าเขตเชียงตุง

วันหนึ่ง…คณะของหลวงพ่อปานได้ผ่านไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง และได้พบกับปะขาวคำคะนิง ขณะนั้นท่านปล่อยผมยาวรุงรังมาถึงเอว หนวดเครางอกยาวรุ่ยร่าย นุ่งห่มด้วยผ้าซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นผ้าสีอะไร เพราะปุปะและกระดำกระด่าง หลวงพ่อปานจึงเปรยขึ้นว่า

“นี่พระหรือคน ? ”

“ไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ? เฮ้ย ! พระมันอยู่ที่ไหนวะ ? ” พูดสวนด้วยน้ำเสียงขุ่นเหมือนไม่พอใจ

“อ้าว..ก็เห็นผมยาว ผ้าก็อีหรุปุปะ สีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครจะรู้ว่าเป็นคนหรือพระล่ะ ?”

“พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ?”

“ไม่ใช่” หลวงพ่อปานตอบยิ้มๆ

“แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า?”

“พระน่ะอยู่ที่ใจใสสะอาด”

“ถ้าอย่างนั้นละก้อ เสือกมาถามทำไมว่าเป็นพระหรือคน”

“เห็นผมเผ้ารุงรังอย่างนั้นนี่ ใครจะไปรู้เล่า?”

“ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูที่ใจคน ไอ้พระบ้านพระเมืองกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันต้องเห็นดีกันละ”

พูดจบ ปะขาวคำคะนิงก็หยิบเอาหวายยาวประมาณหนึ่งวาโยนผลุงไปตรงหน้า หวายเส้นนั้นกลายสภาพเป็นงูตัวใหญ่ยาวหลายวาน่ากลัว ชูคอร่าก่อนจะเลื้อยปราดๆ เข้ามาหาหลวงพ่อปานพระลูกศิษย์เห็นอย่างนั้นต่างถอยไปอยู่เบื้องหลังหลงพ่อ ปาน

หลวงพ่อปานไม่ได้แสดงอาการแปลกใจหรือตื่นกลัวท่านก้มลงหยิบใบไม้แห้งขึ้น มา ใบหนึ่งแล้วโยนไปข้างหน้า ใบไม้นั้นก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่คล้ายเหยี่ยวหรือนกอินทรี

นกซึ่งเกิดจากอิทธิฤทธิ์โผเข้าขยุ้มกรงเล็บจับลำตัวงูใหญ่เอาไว้ แล้วกระพือ ปีกลิ่วขึ้นไปเหนือทิวยอดไผ่ ต่อสู้กันเป็นสามารถงูฉกกัดและพยายามม้วนตัวขนดลำตัวรัด ขณะที่นกใหญ่จิกตีและจิกขยุ้มกรงเล็บไม่ยอมปล่อย แต่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแพ้ชนะ ตราบกระทั่งร่วงหล่นลงมาทั้งคู่พอกระทบพื้นดิน งูกลายเป็นช้างป่าตัวมหึมา งายาวงอนส่วนใบไม้แห้งแปรรูปเปลี่ยนเป็นเสือลายพาดกลอน แล้วสองสัตว์ร้ายก็โผนเข้าสู้กันใหม่ เสียงขู่คำรามของเสือเสียงโกญจนาทของพญาคชสารแผดผสานกึกก้องสะท้านป่า

นี่ไม่ใช่ภาพมายา แต่เกิดจากฤทธิ์อภิญญา! ครั้นสองตัวประจัญบานไม่รู้แพ้ชนะได้ครู่หนึ่งก็หายไป ปะขาวยาวหนวดยาวเครารุงรังได้บันดาลให้เกิดไฟลุกโชติช่วงประหนึ่งจะมีเจตนา จะให้ลามมาเผา แต่หลวงพ่อปานก็บันดาลพายุฝนสาดซัดลงมาดับไปเกิดฝุ่นตลบคลุ้งไปทั้งป่า

ลองฤทธิ์กันหลายครั้งหลายครา ปรากฏว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แทนที่ทั้งสองฝ่ายจะโกรธเกรี้ยว กลับทรุดลงนั่งหัวเราะด้วยความขบขัน

คณะศิษย์ของหลวงพ่อปานพากันประหลาดใจ หลวงพ่อปานจึงอธิบายว่า “เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน” พร้อมกันนั้นก็หันไปพูดกับปะขาวผมยาวหนวดเครารุงรังว่า ลูกศิษย์ของท่านนั้น “เอาจริง”

หมายถึงปรารถนาบรรลุสู่พระนิพพานกันจริงๆ ทุกรูป การที่ท่านและปะขาวผมยาวเล่นฤทธิ์ประลองกันก็เพื่อให้ศิษย์ทุกคนได้เห็น “ของจริง”

แล้วหลวงพ่อปานก็ให้คณะศิษย์ของท่านเข้าไปทำความเคารพ ซึ่งปะขาผมยาวก็ได้นอบน้อมถ่อมตนว่าท่านไม่ได้เก่งกาจเกินว่าหลวงพ่อปานเลย แม้แต่น้อย

หลวงพ่อปานและศิษย์ของท่านพักอยู่กับปะขาวผมยาวนานนับครึ่งเดือนเพื่อให้ ทุก รูปได้รับคำแนะนำสั่งสอนด้านอภิญญาเพิ่มเติม เมื่อพักอยู่ที่คูหาถ้ำพอสมควรแกเวลาแล้ว หลวงพ่อปานและคณะศิษย์ก็ออกธุดงค์ต่อไป ปะขาวผมยาวคนนั้นก็คือปะขาวคำคะนิง หรือหลวงปู่คำคะนิงนั้นเอง

หลังจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคและคณะศิษย์ของท่านจากไปแล้วปะขาวคำคะนิงก็ออกเดินทางต่อไป

โยคีคำคะนิง ดั้นด้นไปยังภูอีด่าง ซึ่งสมเด็จลุนพระอริยเจ้าแห่งราชอาณาจักรลาวจำพรรษาอยู่ พร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ของตนให้ท่านทราบ สมเด็จให้ความปราณีมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้โยคีคำคะนิงไปค้นคว้า ศึกษา ครั้นท่านโยคีคำคะนิงศึกษาธรรมจากพระคัมภีร์เรียบร้อยก็เอาเก็บไว้ที่เดิม มิได้นำมาเป็นสมบัติส่วนตัว โยคีคำคะนิงลงจากภูเขาได้พบชาวบ้าน และได้ทำการรักษาคนป่วยจนหายทุเลา ท่านเดินทางไปเรื่อย เจอใครก็รักษาโรคภัยให้หมด

อุปสมบท

เรื่องของโยคีตนนี้ ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าศรีสว่างวัฒนาเจ้ามหาชีวิตของประเทศลาวถึงกับสน พระทัย จึงได้โปรดให้โยคีคำคะนิงเข้าเฝ้าท่ามกลางพระญาติและเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงตรัสถาม “ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไม่”

“ไม่” โยคีคำคะนิงตอบสั้นๆ

“ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนจึงลือไปทั่วประเทศ” ตรัสถามอีก

“ใครเป็นคนพูด” โยคีคำคะนิงไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ประชาชนทั้งประเทศ” พระองค์บอก

“นั่นคนอื่นพูด อาตมาไม่เคยพูด” โยคีคำคะนิงตอบออกไป

พระเจ้าศรีสว่างวัฒนาทรงแย้มพระสรวล ในการตอบตรงๆ ของโยคีคำคะนิง จึงตรัสถามว่า

“ขอปลงผมท่านที่ยาวถึงเอวออกได้ไหม”

คำคะนิงถึงกับอึ้งชั่วครู่ จึงได้กราบทูลไปว่า “ถ้าปลงผม หนวดเคราก็ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ”

“ยินดีจะจัดอุปสมบทให้ท่านเป็นพระราชพิธี” เจ้ามหาชีวิตยื่นข้อเสนอให้ โยคีคำคะนิงจึงได้กล่าวตกลง และได้บวชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ณ วัดหอเก่าแขวงนครจำปาศักดิ์ คือศาสนสถาานที่กำหนดให้เป็นวัดอุปสมบทของปะขาวคำคะนิง มีประกาศป่าวร้องให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ถึงวันอุปสมบทปะขาวคำคะนิง โดยพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงมีพระบรมราชานุเคราะห์ให้จัดขึ้น

พอถึงวันอุปสมบท ประชาชนทุกชนชั้นทุกอาชีพ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่าต่างมาร่วมในงานพระราชพิธีแน่นขนัดเป็น ประวัติการณ์ แต่ละคนเตรียมผ้าไหมแพรทองมาด้วยเพื่อจะมาปูรองรับเส้นเกศาของปะขาวคำคะนิง ตอนแรกจะมีการแจกเส้นเกศาให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงกันหม ครั้นถึงเวลปลงผมจริงๆ ประชาชนกลัวจะไม่ได้เส้นเกศาจึงแออัดยัดเยียดเข้ายื้อแย่งกันอลหม่าน เกินกำลังเจ้าหน้าที่รักษาการจะห้ามปรามสกัดกั้นได้ ในที่สุดเหตุการณ์ก็สงบลงเมื่อเส้นเกศาถูกแย่งเอาไปจนหมด

จากนั้นพระราชพิธีอุปสมบทก็ดำเนินต่อไปโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์ ประธานฝ่ายสงฆ์ เจ้ามหาชีวิตพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธี ๒๘ รูป เมื่อพิธีการอปุสมบทเสร็จสิ้นปะขาคำคะนิงซึ่งครองเพศพรหมจรรย์ เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รับฉายาว่า “สนฺจิตฺโตภิกขุ” หรือ “พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต”

หลังจากเป็นพระภิกษุ พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็กลับขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำบนภูอีด่างเช่นเดิม ดำรงวัตรปฏิบัติตามแนวทางของพระป่าอย่างเคร่งครัด และนับตั้งแต่เป็นพระภิกษุคำคะนิง สนฺจิตฺโต ประชาชนก็ยิ่งหลั่งไหลไต่ภูเขาขึ้นไปกราบนมัสการ และขอความช่วยเหลือจากท่านจนไม่มีเวลาปฏิบัติภาวนาบำเพ็ญธรรม

วันหนึ่ง..พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็หายไปจากภูอีด่าง และไม่กลับมาอีกเลย ประชาชนลาวรู้แต่ว่าท่านออกธุดงค์สาบสูญไปแล้ว ต่างพากันร่ำไห้โศกเศร้าอย่างน่าสงสาร

หลวงปู่ชอบจารึกธุดงค์ฝั่งลาวเพราะหมู่บ้านยังไม่เยอะเท่าฝั่งไทย ป่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ และในช่วงปลายชีวิตท่านก็ตัดสินใจจำพรรษา วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี เป็นที่สุดท้ายของท่าน
มรณภาพ

หลวงปู่ป่วยเป็นโรคปอดบวม และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๑.๑๓ น. ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ ท่านได้อยู่ในเพศฤาษีได้ ๑๕ ปี และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ๓๒ พรรษา
ธรรมเทศนา

อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม

“อด” คือความอดทนวิริยะในธรรมอันบริสุทธิ์ เช่นหนาวก็ไม่ให้พูดว่าหนาว ร้อนก็ไม่ให้พูดว่าร้อน เจ็บก็ไม่ให้พูดว่าเจ็บ เพราะมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ทุกรูปทุกนาม ครบอาการ ๓๒ อย่างบริบูรณ์นั้นก็ด้วยธรรม ได้แต่งให้เกิด อันมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมจะรู้และเห็นอยู่ทุกวันว่า มีคนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เพราะเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ เมื่อเกิดมีขันธ์ ๕ ย่อมมีดับ

ทุกสิ่งในโลกมักจะมีคู่ เช่น หญิงกับชาย ดีกับชั่ว ในทำนองนี้ พระพุทธเจ้าเอง ปรารถนาอย่างยิ่งคือคำว่าหนึ่งไม่มีสอง ก็หมายความว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย เมื่อไม่มีตาย ย่อมไม่มีเกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ถึงการหลุดพ้นจากกิเลสหมดสิ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ให้รู้จักตัวเจ้าของเองให้มากที่สุด อย่าไปสนใจในสิ่งที่ห่างจากตัว ให้อ่านตัวเองให้ออก เพราะธรรมที่ทุกคนอยากได้ อยากเห็นนั้นมันอยู่ในตัวของแต่ละบุคคล แต่ที่เรามองไม่เห็น อ่านมันไม่ออกก็เพราะกิเลสมันบังอยู่ อุปมาดังตัวเรานี้เหมือนแก้วน้ำที่ใสสะอาดบรรจุไปด้วยน้ำสกปรกอันมีกิเลส ตัณหาความอยากโลภโมโทสัน ความอยากร่ำอยากรวย ความไม่รู้จักพอนี้ สะสมอยู่ในจิตก็ย่อมจะมีแต่ความมืดมน ถ้าทุกคนพยายามหยิบและตักตวงเอาสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาออกจากจิตออกจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสวแห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสว แห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างสะอาดไม่มีสิ่งใดบรรจุ นั่นคือ ตัวธรรมที่แท้จริง

ส่วน “อัด”คืออะไร ทุกคนที่เกิดมาในโลกย่อมจะรู้จะเห็นว่าอะไรเป็นเรื่องของทางโลก เช่น คนพูดกันหรือทะเลาะกัน คนฆ่ากัน รถชนกัน สิ่งเหล่านี้ เราไม่ต้องไปสนใจ ปิดหู ปิดปาก ปิดตา ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้เห็น ไม่ให้พูด ไม่ต้องรับรู้จากสิ่งที่จะทำให้เป็นตัวกั้นความดี ให้วางให้หมด ดูแต่ใจเจ้าของแต่ผู้เดียว รู้แต่ลมเข้าออกเท่านั้น จะทำอะไรก็ให้อยู่ในศีลธรรมให้ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา เราต้องอัดไม่ให้เสียงเข้ามาในหู ไม่ให้รูปเข้ามาทางตา ไม่พูดสิ่งที่ต่ำไป สูงไป ให้พูดแต่สิ่งที่พอดี นี่คือธรรมตัวจริง

“อุด” คืออะไร หมายถึงเมื่อเราอด เราอัด ปิดกั้นความเลวร้าย ความชั่ว ความวุ่นวายทั้งหลายไม่ให้เข้ามาทางตา หู ปาก ของเราแล้วก็อุดความดีเอาไว้ในตัวของเราไม่ให้มันไหลออกไป กาย วาจา ใจของเราก็จะบริสุทธิ์ในธรรม ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ ตาอย่าได้ดูในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม หูอย่าได้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ปากอย่าได้พูดในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม อุดความดีทั้งหลายเอาไว้ ให้เกิดความบริสุทธิ์ในธรรม ถ้าทุกคนพยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติก็จะพบแต่ความสำเร็จปรารถนาไว้ทุกประการ

อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม คือการปฏิบัติส่งเสริมคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้ซึ้งถึงธรรมของพระพุทธองค์ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นตัวธรรมะที่พาให้เห็นธรรมอันแม้จริง อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมคือการปฏิบัติที่ทำให้เราระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ อยู่ชอบ กินชอบ นั่งชอบ นอนชอบ ไปชอบ มาชอบ วาจาชอบ อด อัด อุด เป็นขันติบารมีธรรม คือความอดทนให้เกิดปัญญามีที่เป็นปรมัตถ์ มัดหูมัดตา มัดจิต มัดใจ มัดมือ มัดตีนให้เป็นธรรม อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมนี้ดีเลิศทำให้หน่ายในโลกจักรวาล มีจิตเบิกบาน ถ้าเข้าใจดีปฏิบัติด้วยจิตที่ตั้งมั่น จะหันหน้าเข้าสู่สวรรค์นิพพาน ไม่หนึ่งเกิด สองตาย อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมไม่มีตาย ไม่มีเฒ่า ไม่มีเข้าพยาธิ.

22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร' เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 04:34:58 pm
จาก วีรกร ตรีเศศ    มติชนรายสัปดาห์

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551    ปีที่ 28 ฉบับที่  1466

ได้อ่านเรื่องที่น่าประทับใจซึ่งส่งต่อๆกันมาจึงขอนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ต่อ

มันเป็นตอนเช้าเวลาประมาณ 08.30 น. ที่วุ่นวายเอาการ   เมื่อสุภาพบุรุษสูงอายุท่านหนึ่งในวัย  80 กว่ามารับ บริการแพทย์ตัดไหมจากแผลที่หัวแม่มือ  และบอกว่าขอให้รีบหน่อย  เพราะมีนัด ตอน  09.00 น.

เมื่อผมตรวจร่างกายตามปกติเสร็จ  ผมก็ขอให้นั่งรอ  โดยผมรู้ว่า  อย่างไร เสีย  ก็ไม่หนีหนึ่งชั่วโมงกว่า  ที่จะถึงคิว  ผมเห็นสุภาพบุรุษท่านนี้  ดู นาฬิกาหลายครั้งอย่างกระสับกระส่าย

ผมว่างอยู่พอดีจึงเข้าไปดูแผลให้  เมื่อตรวจดูก็เห็นเป็นปกติ ผมจึงเดินไปหารือกับหมอคนหนึ่งที่ให้บริการอยู่   เอายาและวัสดุมาทำแผลให้

ขณะที่ตัดไหมอยู่ผมก็ถามว่า  มีนัดกับหมออีกคนหรือจึงดูรีบร้อน

สุภาพบุรุษท่านนี้ตอบว่าไม่หรอก  แต่จำเป็นต้องรีบไปเนิร์ซซิ่งโฮมเพื่อกินอาหารเช้ากับภรรยา

ผมก็ถามถึงสุขภาพของภรรยา

ก็ตอบว่าภรรยาอยู่ที่นั่นมานานพอควรแล้ว  และเธอเป็นโรคAlzheimer's

ขณะที่คุยกันผมก็ลองถามดูว่า  เธอจะรู้สึกกังวลเป็นทุกข์ไหมถ้าไปสายสักหน่อย

สุภาพบุรุษท่านนี้ก็ตอบว่า  เธอไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร  เธอจำผมไม่ได้มา 5 ปีแล้ว

ผมรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า  'แล้วคุณก็ยังไปทุกเช้า  ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใครก็ตาม'

สุภาพบุรุษสูงอายุยิ้มและตบเบาๆ บนมือผมและพูดว่า 'ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร'

ผมต้องกลั้นน้ำตา  ขณะที่เดินจากไป  ขนบนแขนผมลุกชันและคิดว่า

'นั่นคือความรักอย่างที่ผมต้องการในชีวิต'ความรักที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของ กายภาพหรือโรแมนติก  ความรักที่แท้จริง  คือการยอมรับทุกสิ่งที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันได้เป็นมาตลอด  รวมทั้งที่จะเป็น และที่จะไม่เป็นด้วยคนที่มีความ สุขที่สุด  ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสิ่งดีที่สุดของทุกสิ่ง  เขาเพียงทำสิ่งที่ เขามีอยู่ให้ดีที่สุด  ผมขอบอกว่า 'ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการทำอย่างไรให้รอด จากพายุฝน  แต่เป็นเรื่องของการจะเล่นน้ำฝนอย่างไร'(Life  is not about how to survive the storm, but how to dance in  the rain)
23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การฟ้อนรำ ขับร้อง กับ การรำมวย ท่าออกกำลังกาย เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 10:40:46 am
บทว่าในศีล คือ เว้นจากขับร้อง ประโคมดนตรี เป็นต้นนั้น

กับ การออกกำลังเต้นแอโรบิก รำมวย เหล่านี้ ถือว่า เป็นการผิดศีลหรือป่าว ครับ

 :25:
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาชวนเพื่อน ฝึกสมาธิ มักได้รับคำปฏิเสธว่า กลัวเป็นบ้า จิตฝั่นเฟือน เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 01:14:05 pm
เวลาชวนเพื่อน ฝึกสมาธิ มักได้รับคำปฏิเสธว่า กลัวเป็นบ้า จิตฝั่นเฟือน

  อยากถามพระอาจารย์ ว่า

   1. คนฝึกสมาธิ นั้น จะเป็นโรคจิต นี้จริงหรือ ป่าวครับ

   2. เราจะอธิบายอย่างไร ให้เพื่อนทราบว่า การฝึกสมาธิ นั้นไม่ทำให้เป็นบ้า

   :25: :25:
25  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลานั่งสมาธิแล้ว มีอาการคล้ายกับจะหลับหรือหลับ? เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 09:20:30 am
ถาม   เวลานั่งสมาธิแล้ว มีอาการคล้ายกับจะหลับหรือหลับ?


ตอบ   พึง ทำความเข้าใจว่า การทำสมาธิคือการนอนหลับ เมื่อเราภาวนาแล้วจิตมันเคลิ้มๆลงไป บางทีใจลอยๆ นั่นคืออาการที่มันจะเกิดความหลับ เมื่อมันวูบ วูบ ลงไป อาการหลับวูบลงไปเป็นอาการที่จิตก้าวเข้าสู่ภวังค์ เมื่อจิตถึงที่สุดของภวังค์แล้ว จิตหยุดนิ่ง ถ้าพลังสมาธิยังไม่เพียงพอก็นอนหลับอย่างธรรมดาแต่ถ้าพลังของสมาธิเพียงพอ สติพร้อมจิตวูบลงไปนิ่งปั๊บ สว่างโพลงขึ้นมา กลายเป็นสมาธิ


โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก ... เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 11:16:56 am
ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก ...

การ สั่งจิตใต้สำนึกอยู่บนทฤษฎีที่ว่า จิตของเราเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของร่างกาย หรือเรียกว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" จิตของเราประกอบขึ้นด้วย 2 ส่วน ได้แก่จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก

**จิตสำนึก  เป็นตัวกำหนดกริยาท่าทาง การเข้าสังคม เดินเหิน ทำการงานในชีวิตประจำวัน มีพลังงานเพียง 10 % เท่านั้น

**ส่วนจิตใต้สำนึก  เป็น ตัวเก็บรับข้อมูลต่างๆ ทั้งหลายในชีวิตตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้นจนถึงปัจจุบัน สั่งจิตให้เพิ่ม-ลดน้ำหนักคน สั่งจิตใช้กระดาษตัดตะเกียบให้ขาด

ทั้งข้อมูลที่ดีและเลว จิตใต้สำนึกยังควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ทั้งหัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ตับม้าม ต่อมฮอร์โมนต่างๆ โดยระบบประสาทอัตโนมัติ จิตใต้สำนึกมีอำนาจถึง 90%



ถ้า จิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลดีๆ อวัยวะภายในของเราก็ทำงานสงบเรียบร้อย เป็นปกติ แต่ถ้าจิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลแย่ๆ ความเร่งรีบ เคร่งเครียด ผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนเราจะต้องมีสิ่งที่ไม่สมหวังในชีวิตบ้าง แต่ถ้า ไม่รู้จักวิธีที่จะระเหิดความกดดันเหล่านั้นออกไป ประสบการณ์และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้จะถูกสะสมอยู่ในจิตใต้สำนึก และรบกวนการทำงานของอวัยวะภายในได้ เช่นผู้ที่เครียดจัด มักอาหารไม่ย่อย ปวดกระเพาะ ใจเต้นสั่น หอบเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์แปร ปรวน น้ำตาลในเลือดสูง กระทั่งมีภาวะไขมันในเลือดสูงด้วย เนื่องจากการทำงานของตับ ของต่อมฮอร์โมนต่างๆ รวนเรไป ไม่สามารถหมุนใช่ไขมันในร่างกายให้เป็นปกติได้

ด้วย เหตุนี้ ถ้าเรามีวิธีผ่อนคลายความเครียดก็เท่ากับช่วยเปิดโอกาสให้อวัยวะในทำงานเข้า สู่ภาวะปกติ ซึ่งถ้าได้รับการปฎิบัติผ่อนคลายด้วยการสั่งจิตใต้สำนึกให้สงบ เช่น การฝึกสมาธิ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า - ออก หรืออาณาปานสติ ก็จะทำให้จิตสงบ สะอาด สว่าง และว่องไวในการทำงาน ช่วยลดความเครียดปรับสภาพร่างกายและจิตใจสู่ดุลยภาพ จึง ใช้วิธีนี้บำบัดโรคได้อีกหลายโรค เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคความดันเลือดสูง ภูมิแพ้ หอบ หืด เครียด ภาวะอาหารไม่ย่อย โรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มนุษย์ ที่ชอบหาเรื่อง จริง ๆ เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:18:04 am














..>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ชอบหาเรื่อง กันจริง ๆ เลย นะครับ

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลดน้ำหนักแบบ ชาวพุทธ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 04:53:51 pm
ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ


โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญ จึงเหลือสะสมเป็นไขมัน

แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง

พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม

คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา

พฤติกรรมดัง กล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็สะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่องและพบว่าพลังงาน ที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด

จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม การรักษา น้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็วทำให้หิว ง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง

จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ

แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน

การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรง มาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ

คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนักแต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้าและทุกตึกสูงเพื่อให้ ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออก ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ

การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง

การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถ ในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย

การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก  เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

- ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร
- ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
- รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว
- ไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้นซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ

ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหาร จะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนักป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ




ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Health Today
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นอนกรน แก้ไขได้ ฮับ เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:26:55 pm
นอนกรนแก้ไขได้

<



นอนกรน เป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการนอนที่ไม่ควรละเลย เพราะผลกระทบจากการนอนกรนสร้างปัญหาต่อการดำเนินชีวิตและปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพมากมาย การนอนกรนมีทั้งประเภทที่อันตรายและไม่อันตราย ซึ่งมีลักษณะดังนี้

๑. ประเภทที่ไม่อันตราย คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน ซึ่งจัดเป็นชนิดไม่อันตราย ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกลั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย
๒. ประเภทที่อันตราย เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนไม่สม่ำเสมอ เมื่อยังหลับไม่สนิทจะยังเป็นการกรนที่สม่ำเสมอ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ มีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจ
อันตรายจากการนอนกรนที่มีการหยุดหายใจขณะหลับ
๑. ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการเรียน การทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุในการขับรถหรือการควบคุมเครื่องจักรกล
๒. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการจดจำลดลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ
๓. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆมากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง เช่น อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย) ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
๔. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การรักษาการนอนกรน
๑. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์
๒. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง
๓. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยพยายามนอนในท่าตะแคงข้าง และนอนศีรษะสูงเล็กน้อย
๔. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาทก่อนนอน
๕. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย รักษาโดย
- เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องครอบจมูกขณะหลับ เพื่อทำให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัยและได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย
- จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง
- การผ่าตัวเอาส่วนที่ยืดยานออก

อาการนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสียงที่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่อันตรายจากการนอนกรนอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจและนำมาซึ่งการเสียชีวิต ได้ หากสังเกตุเห็นคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนกรนควรพบแพทย์เพื่อทำ การวินิจฉัยและเข้ารับการรักษา
   
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาวะจิตของคุณ อยู่ในภพภูมิใด เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:21:52 am
ภาวะจิตคุณ..อยู่ในภพภูมิใด


เอามาฝาก...เพื่อสำรวจจิตตัวเองนะคะว่า..ตอนนี้เราสั่งสมบุญมาอยู่ในระดับใด จะได้เป็นกำลังใจในการเร่งสร้างบารมีต่อไปค่ะ
ที่มา : “ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net

“ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ


มนุษย์สามารถจะพยากรณ์ชาติภพหน้าของตนเองได้จากกรรมที่กระทำเสมอในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากจิตของคนเรา ซึ่งมีระดับที่ค่อนข้างคงที่และตรวจวัดได้เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงน้อยลง และระดับจิตคงที่นี้เอง ที่ยังผลให้ไปเกิดภพต่างๆ อีกทั้งจิตนี่แหละ คือ ผู้ก่อสร้างภพชาติทุกขณะจิต หากจิตระลึกภาวนาถึงสิ่งใดอยู่เสมอก็จะสร้างภพสร้างชาติในสิ่งนั้นๆ เช่น การระลึกถึงตรึกแต่เรื่องเงินทอง จิตก็จะสร้างภพชาติแห่งความโลภ อันเป็นเหตุให้เกิดภพเปรตได้ หากจิตระลึกแต่พระพุทธเจ้า จิตก็จะสร้างภพแห่งความดีงาม ยังผลให้ไปเกิดถึงสวรรค์ชั้นดุสิตได้ แต่หากจิตระลึกถึงการสิ้นไปของชาติภพ ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดชาติภพต่อไป คือ นิพพาน การพิจารณาระดับจิตของตนจะช่วยให้เรารู้ตัว และพัฒนาระดับจิตให้สูงขึ้นได้ดีขึ้น จิตของคนเรามีระดับหลายระดับด้วยกัน สามารถพิจารณาได้ไม่ยากเป็น ๑๓ ประเภท เรียงจากต่ำสุดไป ดังนี้คือ

นรกภูมิ คือ จิตที่ก่อแต่กรรมเลว แล้วหลงผิดคิดว่าดีเพราะเชื่อคนเลวในคณะ

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดยัง “นรก” จะมีลักษณะทำความชั่วมากกว่าความดี ไม่เชื่อเรื่องกรรม ศีลบกพร่องถึงขั้นไม่มีเลย มีความเชื่อเดียวกันเองในกลุ่มย่อย ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมสากล คนที่ต้องตกนรกแน่นอน เช่น คนที่ติดสุราต้องกินทุกวันแม้มีคนทักท้วงห้ามก็จะโมโหใส่, คนที่มีมิจฉาอาชีวะ ต้องโกงกินหรือเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชีพ, คนที่คบชู้และทำร้ายจิตใจผู้ที่รักตนอย่างหนัก, คนที่ไม่สนใจทำบุญทำทาน รังแต่จะจับผิดนินทาคนที่ตั้งใจทำความดี เป็นต้น คนเหล่านี้ ไม่อาจหลุดพ้นนรกไปได้เลย

เปรตภูมิ คือ จิตที่ตระหนี่ เพราะหลงผิดคิดว่าไม่ทำร้ายใครก็ถือว่าตนดีแล้ว

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต แม้ไม่ถูกทรมานในนรก ก็จะต้องพบกับความหิวโหยทรมานอยู่เป็นนิตย์ จะมีลักษณะไม่ทำความดี ไม่ทำบุญทำทานเลย ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ตลอดเวลา ถือคติว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” และคิดว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วย นี่เป็นทรัพย์อันชอบธรรมของตนแล้ว สมควรเลี้ยงดูตนเอง ไม่สมควรแบ่งปันแก่ใคร แม้นไม่ทำร้ายใครมาก แต่ไม่มีบุญเลี้ยงตัวเลยเมื่อตายลง จึงเกิดเป็นเปรตที่หิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะของคนประเภทนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเปรตไปได้

เดรัจฉานภูมิ คือ จิตที่ทำดีต่อคนเลว แล้วทำเลวต่อผู้อ่อนแอกว่าเพราะความกลัว

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องหาอาหารด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เมื่อจะกินต้องล่าผู้อื่น เมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องถูกผู้อื่นล่ากิน และต้องตายอย่างทรมาน ชีวิตทั้งชีวิตลำบากลำบน แม้มีอาหารกินบ้าง แต่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ต้องแก่งแย่งอาหารกับเดรัจฉานอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นคนที่ทำดีแต่กับคนที่มีอำนาจเหนือตน หรือข่มตนได้ และตนเองจะข่มเหงผู้อื่นที่อ่อนแอหรืออำนาจน้อยกว่าตนต่อไป เช่น นายจ้างที่ยอมนักการเมือง แต่เบียดเบียนใช้แรงงานพนักงานอย่างหนัก จนพวกเขาไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกวันพระ คนเหล่านี้ เมื่อตายลงชดใช้กรรมในนรกแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อ มีจิตเป็น “เดรัจฉาน” คือ นิยมอำนาจและการกดขี่กันเป็นทอดๆ

มนุษย์ภูมิ คือ จิตที่พุ่งไปสู่ความหมดสิ้นไปแห่งกรรม เพราะความเบื่อการเกิด

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นคน มีความสุขอยู่บ้าง มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายที่สุด และมีโอกาสสะสมบุญบารมีมากที่สุดเหนือกว่าภพอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเกิดอีก เพราะเหนื่อยล้ากับการเกิด หรือกลัวการเกิด อยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้นไป หากเป็นมนุษย์ที่บรรลุโสดาบัน จะเกิดในภพที่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ หากเป็นเทวดาที่ไม่อยากเกิดอีก ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หากเป็นเทวดาที่อยากชดใช้กรรมก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นกัน หรือเป็นผู้ที่รอการเกิดเป็นมนุษย์มานานและได้ชดใช้กรรมในภพอื่นๆ หมดสิ้นแล้วจึงถึงคิวเกิด
 
จตุโลกภูมิ คือ จิตที่ทำความดีแบบมีเงื่อนไข เป็นบุญไม่สมบูรณ์เจือด้วยบาป

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “จตุมหาราชิกา” ซึ่งเป็นเทวดาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ มีความบกพร่องต่างๆ เช่น ยักษ์ จะมีรูปร่างไม่เหมือนเทวดา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว, นาค แม้ถอดกายทิพย์เป็นเทวดาสวยงาม แต่มีร่างเหมือนงูขนาดใหญ่, กุมภัณฑ์มีรูปร่างพิกลพิการในแบบต่างๆ, คนธรรพ์ ที่มีรูปกายแบบเทวดาสมบูรณ์แต่ไม่วายต้องได้รับผลกระทบจากการที่สถิตอยู่ ใกล้โลก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปกติเป็นคนชอบทำบุญ แต่เป็นบุญเจือบาป ทำดีแบบมีเงื่อนไขต้องการสิ่งตอบแทน เช่น ลาภสักการะ ทำบุญเจือกิเลสประเภทต่างๆ เช่น ช่วยคนไปด่าไป ทำให้เขาทุกข์ใจ เทวดาชั้นนี้จึงมีภาระเกี่ยวข้องกับโลกมาก ต้องสะสมบุญบารมีมาก จึงไปสู่ภพที่ดีขึ้นได้

ดาวดึงส์ภูมิ คือ จิตที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ แต่อาลัยอาวรณ์ห่วงหาญาติมิตร

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดาวดึงส์” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อันพ้นจากเขตของพื้นโลก สงบจากความวุ่นวายของมนุษย์ จัดเป็นสวรรค์ที่แท้จริงชั้นแรก แต่ยังคงต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลมนุษย์โลก ทำให้ต้องขึ้นๆ ลงๆ สวรรค์และโลกในยามที่ต้องไปช่วยเหลือมนุษย์ เห็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตยังอาลัยในโลกมนุษย์ พวกพ้องและญาติมิตรมาก แม้ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นบุญที่ไม่เจือด้วยบาปแบบเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาก็ตาม ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ มีจิตใจมั่นคงเชื่อในศาสนา แต่ยังมีความอาลัยในโลกมาก ห่วงญาติมิตรมาก ทำให้ไปไม่ไกล อยู่เพียงสวรรค์ชั้นต้น รอคอยเวลามาช่วยมนุษย์โลกเสมอ

ยามาภูมิ คือ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อให้พ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชน

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ยามา” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกอีก เพราะไม่ต้องรับหน้าที่หมุนเวียนกันดูแลโลกมนุษย์มากเหมือนเทวดาชั้น ดาวดึงส์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะได้ทำบุญใหญ่ไว้มาก หรือจิตไม่มีความห่วงหาอาลัยในโลก มีความยินดีในผลบุญและการเสวยสุขบนสวรรค์อันแท้จริง ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่มักทำบุญใหญ่และทำสม่ำเสมอ เช่น เป็นเจ้าภาพในงานสร้างอุโบสถ, การบวชพระทั้งชีวิต ดำรงตนในศีลไม่บกพร่อง แต่ไม่บรรลุธรรมหรือการฝึกจิตใดๆ มีจิตไม่อาลัยในโลก อยากหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายทางโลก บุคคลที่ดำรงตนเช่นนี้ ประพฤติตนเช่นนี้สม่ำเสมอ จึงมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ได้

ดุสิตภูมิ คือ จิตที่ทำความดีเพื่อมหาชน เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์โปรดผู้คน

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดุสิต” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกแล้วยังมีโอกาสได้พบกับพระ โพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรรอการจุติอยู่ที่ชั้นดุสิต ทำให้นอกจากไม่ต้องยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์อีกด้วย ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลบุญให้เป็นของตนเอง ทำเพราะเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิสัย เช่น เป็นผู้ชอบเก็บสุนัขจรจัดมาเลี้ยงเพราะสงสาร เป็นต้น

นิมานรดีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อแก่งแย่งแข่งขันเอาหน้าแต่จิตริษยาอาฆาต

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “นิมารดี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ มีฤทธิ์มีอำนาจเอาไว้เอาชนะคะคานกัน ดังนั้น จึงมาเกิดสวรรค์ชั้นสูงกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะจะอยู่นานกว่า และมีโอกาสได้เกิดเป็นคนไม่บ่อย ได้สะสมบุญบารมีน้อยกว่า เอาแต่ตีรันฟันแทงทำสงครามกันบนสวรรค์ ไม่มีผู้ใดสอนได้ เพราะมีจิตมิจฉาทิฐิ ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญไว้มากมายเพื่อให้ตนเหนือคนอื่น เช่น พวกคุณหญิงคุณนายที่ทำบุญมากๆ เอาหน้าเอาตา ให้เขาออกชื่อประกาศใหญ่โต เพื่ออวดดีอวดเด่นแข่งกัน แต่กลับมีจิตใจริษยากันเอง

เพิ่มเติมให้ครับ โดยผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม (ไปขอให้ผู้รู้ช่วยมาเติม กันเข้าใจผิด)

- นิมมานรดีภูมิ อยู่สูงขึ้นไปจากชั้นดุสิต ๓๓๖๐๐๐ โยชน์ มีทิพยสมบัติงดงามตระการตา เทวดาชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ด้วยฤทธิ์ของท่านเหล่านั้น

ผู้ที่จะมาเกิดชั้นนี้ได้นั้น ต้องบำเพ็ญทาน หรือทำสังฆทานอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด อีกทั้งเป็นผู้ที่สมาบัติ ๘ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๔ ) เมื่อครั้งยังมีชีวิต หรือเป็นชั้นของผู้ที่ชอบเล่นฤทธิ์ค่ะ

อีกประการหนึ่ง สวรรค์ชั้นนี้เป็นชั้นที่ ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา มาจุติเป็นพระมเหสีของท่านท้าวนิมมานเทวราช (หัวหน้าสวรรค์ชั้น ๕) นะคะ ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นผู้สร้างมหาทานบารมีตลอดชีวิต ความดีตลอดชีวิต และยังเป็นพุทธอุปฐากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วยค่ะ

ในพระไตรปิฎก ยังมีกล่าวถึงเพื่อนของท่านวิสาขาที่ไม่เคยทำทานเลย คอยโมทนาบุญของท่านอย่างเดียว ยังไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์ค่ะ

Numsai

จบในส่วนที่เพิ่มเติมครับ ขอขอบคุณ Komodo ผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม

ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อเป็นหนึ่งเหนือใคร มีจิตริษยาอาฆาต

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ปรนิมมิตวสวัสตี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ หลงผลบุญที่มากมาย ฟุ้งเฟ้อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์แต่หาความสุขไม่ได้ มีฤทธิ์มีอำนาจมาก บ้างฝึกจิตขั้นสูง แต่ยังไม่พ้นอวิชชา คิดอยากเป็นใหญ่เหนือผู้ใด คิดครองโลกครองสวรรค์ ก่อสงครามบนสวรรค์ไม่จบไม่สิ้น มีอายุยืนยาวนานที่สุด มีโอกาสเกิดเป็นคนเพื่อมาสะสมบุญบารมีได้น้อยครั้ง ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญใหญ่มามาก แต่มีจิตริษยาอาฆาต เช่น กอบกู้แผ่นดิน แต่มีจิตอาฆาตศัตรู แทนที่จะตกนรกเพราะทำสงคราม กลับดื้อด้านขึ้นสวรรค์ จึงต้องอยู่นานเป็นมารสวรรค์

เพิ่มเติมให้ครับ โดยผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม (ไปขอให้ผู้รู้ช่วยมาเติม กันเข้าใจผิด)

ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง เรื่องสวรรค์ชั้น ปรนิมิตเทวราช

สวรรค์ชั้น ๖ นี้แบ่งออกทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ก็คือ ฝ่าย “เทพ”กับฝ่าย “มาร” มีเขตแดนกั้นระหว่างกลาง ไม่มีการไปมาหาสู่กัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่บุกรุกล่วงล้ำดินแดนกัน

สำหรับฝ่ายเทพ เทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครองดูแลความเรียบร้อยและร่มเย็นเป็นสุข คือ ท้าวปรนิมิตเทวราช

ผู้ที่จะเกิดในชั้นนี้ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เคยทำความดีอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งการทำทาน ศีล และภาวนา การทำทานต้องเป็นมหาทาน สร้างประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ด้วยใจที่เลื่อมใสศรัทธา ตลอดชีวิต อาจจะเป็นการสร้างถาวรวัตถุ การสร้างโบสถ์วิหาร (อาจจะอยู่นอกเขตพระพุทธศาสนาก็ได้ ) อีกทั้งผุ้นั้นจะต้องทำสมาธิ จนได้สมาบัติ 8

ส่วนฝ่ายมาร ก็มีผู้ปกครอง คือ ท้าวปรนิมตรสวัตตีมาราธิราช มีกายขาวคล้ายก้อนเมฆ ส่วนพญามารชั้นรอง ๆลงไปนั้นมีกายหม่นเป็นลำดับจนกระทั่งสีดำในที่สุด ผลบุญจากที่ท่านเจ้ากระทู้กล่าวไว้ค่ะ

สภาพสวรรค์ชั้น ๖ ฝ่ายมารนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว มีแต่ความอึดอัด ไม่โปร่งโล่งสบาย เหมือนฝ่ายเทพค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ ท่านผู้อ่าน ท่านผู้โมทนาบุญทุกท่านค่ะ

Numsai

จบในส่วนที่เพิ่มเติมครับ ขอขอบคุณ Komodo ผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม

พรหมภูมิ จิตที่เสพติดในรสสุขแห่ง “ฌาน” และความสงบสุข ไร้กิเลสกามใดๆ

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “พรหม” ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีเพศ จึงไม่มีการเสพกาม ไม่มีคู่ครอง ต่างอยู่อาศัยอย่างสงบสงัดดุจฤษีต่างๆ ในป่า ในวิมานของตน ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะมีความยินดีในการเสพความสุขจากฌาน แต่ยังไม่แจ้งในธรรม ไม่รู้ว่าแท้แล้วการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร จิตยังมีความยินดีในฌาน จึงเกิดภพชาติใหม่ ต้องไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายและกิเลสทั้งปวง แต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงได้ คนที่ไปเกิดเป็นพรหมมักบำเพ็ญพรหมจรรย์นั่งสมาธิฝึกจิตจนได้ฌาน

อรหันตภูมิ จิตที่ปล่อยวางการยึดถือทั้งมวล เพราะมีดวงตาเห็นธรรม พบสุขแท้

ระดับจิตไร้กิเลส มีความสุขแท้ ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เมื่อตายลงสามารถไม่เกิดอีกได้ ซึ่ง ระดับจิตนี้พบเฉพาะผู้บรรลุอรหันต์เท่านั้น บุคคลที่จะพัฒนาภูมิจิตถึงระดับนี้ได้ จะต้องผ่านแต่ละขั้นก่อน คือ การละสักกายทิฐิ หรือความอวดดีถือตน หากบุคคลยังไม่ละ ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์กำราบให้ยอมจำนน บุคคลจะยังไม่บรรลุแม้โสดาบัน ไม่อาจบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ บุคคลจะบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ ก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระปัจเจก ซึ่งบารมีเต็มในชาติสุดท้ายเท่านั้น ในระหว่างชาติที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ จนถึง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกมาเกิดอีก

สุขาวดีภูมิ จิตที่บรรลุธรรมแล้วโปรดสรรพสัตว์ ยอมเกิดใหม่ช่วยสัตว์เรื่อยไป

ระดับจิตที่ไร้กิเลส บรรลุธรรม ดับสิ้นเชื้ออวิชชาแล้ว เมื่อตายลงสามารถเกิดได้อีก เพื่อลงมาช่วยมวลสรรพสัตว์ อันเกิดได้เพราะ “พระพุทธเจ้า” ในอดีต ที่ทรงมีมหาปณิธานไม่ยอมบรรลุนิพพาน เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ให้หมดก่อนตน บังเกิดภพใหม่ขึ้น ที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร” เป็นที่ๆ บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้ พบความสุขแท้ได้ พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ และยังสามารถกลับมาเกิดช่วยคนได้อีกตามแต่จิตปรารถนา ปกติ ภพนี้จะไม่แนะนำหรือแสดงให้คนทั่วไปได้รู้เห็น นอกจากจะเป็นผู้มีบุญบารมีมาก มีจิตเมตตาจริงๆ

การเกิดขึ้นของภพต่างๆ นั้น เช่น พรหมโลก ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๖ ชั้น พรหมโลกเองก็มีชั้นต่างๆ มากมายยิ่งกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้น เสมือนเป็นภพโลกอีกภพหนึ่ง อันเกิดจากดวงจิตที่พึงพอใจในการบำเพ็ญฌาน และรสชาติแห่งฌานมากกว่าการบรรลุธรรม พรหมโลก จึงเป็นโลกที่บริสุทธิ์สงบสงัดจากกิเลสชั่วคราว แต่ไม่แจ้งในธรรม ยังมีความยินดีในภพภูมิ และยังมีโอกาสลงมาเกิดในโลกได้อีก ในบรรดาฤษีมากมายที่ตายไปไม่บรรลุธรรม ก็ไปรวมกันที่พรหมโลก แต่ละดวงจิตก็เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ บางดวงจิตก็โปรดสัตว์ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่เพราะไม่บรรลุธรรม จึงไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้บรรลุธรรม ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และพบสุขที่แท้จริงได้ ดวงจิตที่โปรดสัตว์เหล่านี้ จะนำพลังอิทธิฤทธิ์มาให้แก่ผู้ที่นับถือศรัทธาตน เช่น มหาเทพต่างๆ ในฮินดู เป็นต้น

ภพบางภพก็เกิดขึ้นด้วยผลบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า, พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อันได้แก่ สุขาวดีพุทธเกษตร นั่นเอง
 
บทสรุปส่งท้าย

จิตของคนเรามีระดับที่ค่อนข้างคงที่แน่ชัด เรียกว่า “ภูมิจิต” ซึ่งภูมิจิตนี้สอดคล้องกับ “ภพภูมิ” ที่สัตว์จะไปเกิดต่อในชาติภพหน้า เพราะจิตนั้นมีความคงที่ระดับหนึ่งจนเกิดสภาวะเหมือน “ภพ” ซ้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่บนโลก ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเป็นเหมือนคนทั่วไป พอทำบุญครั้งแรกเกิดจิตที่เป็นกุศล มีปีติสุข จากนั้นจึงทำบุญบ่อยๆ จิตใจก็มีสุขสดชื่น ภูมิจิตก็เปลี่ยนจากความเป็นโลกีย์ กลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาทันที มองโลกก็เหมือนอยู่สวรรค์ มีความสุขในจิตของตนเทียบเท่ากันกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นจริงๆ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนโลก และเมื่อตายลงจิตก็ระลึกถึงแต่สิ่งเหล่านี้ ปกติแล้ว เมื่อสัตว์ตายลง จิตดวงสุดท้าย คือ “จุติจิต” จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากจิตระลึกถึงสิ่งใดมาก ก็จะส่งผลให้ไปเกิดยังภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ตายลง จึงมีโอกาสที่จิตจะส่งไปยังภพที่จิตเกี่ยวพันอยู่จึงเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลควรหลีกให้พ้นจากอบายภูมิทั้งสาม อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, เดรัจฉานภูมิ อันเป็นภพภูมิชั้นต่ำ ที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีความลำบากเป็นนิตย์

สำหรับผู้ที่ยึดถือหรือเชื่อถือแต่พวกพ้องกลุ่มย่อยของตนที่ดีแต่พูดเอาอก เอาใจ ตรงใจ ถูกใจ เพราะปล่อยตัวตามใจอยาก นั้น จะนำพาตนเองเข้าสู่ “นรกภูมิ” เป็นแน่แท้ การจะหลุดพ้นออกมาได้ จะต้องเลิกยึดมั่นในความเชื่อของกลุ่มย่อย ที่เชื่อกันเองในกลุ่มเล็กๆ อย่างผิดๆ เช่น พรรคพวกที่คุยสังสรรค์และสร้างความเชื่อกันว่า การข่มขืนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงสนุก และการที่ผู้หญิงร้อง เพราะมีความสุขมาก แท้แล้วเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นพฤติกรรมการเลียนแบบนายนิรบาล ที่ลงไปทรมานสัตว์ในนรก และตนก็อยากระบายลงในผู้อื่นบ้าง ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ในสรรพสัตว์ไม่ถูกทิ้งถูกเพียงกลุ่มเดียว จึงสร้างให้ได้พบเจอกับนายนิรบาล ซึ่งหากปรารถนาจะเป็นนายนิรบาล จำต้องเริ่มหัดทำบุญ แม้ว่าจะเป็นบุญเจือบาปก็ต้องเริ่มทำ ไม่ใช่ความเลว โดยการเลียนแบบนายนิรบาล บุคคลจะได้เป็นอย่างที่ตนปรารถนาก็ต่อเมื่อเขาประพฤติจนพร้อมที่จะเป็น จักรวาลจึงจะส่งพลังหนุนนำให้ แต่หากหักหาญเป็นเอง ใช้พลังอำนาจของตนเอง ก็จะถูกสมดุลจักรวาลตอบโต้กลับ ทำให้ตนเอง ต้องได้รับวิบากกรรมซ้ำซ้อน ต้องตกนรกซ้ำๆ

สำหรับผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ไม่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใคร จำต้องเลิกความยึดมั่นในความดีที่ไม่แท้จริงของตน การไม่ทำร้ายใครและไม่ช่วยเหลือใครนั้น ไม่ใช่ความดี เป็นแค่การไม่ทำเลวเพิ่มเท่านั้นเอง แต่บุคคลยังต้องพิจารณาว่าตนเองได้เกิดเป็นมนุษย์กินสัตว์ได้อื่นมากมาย เพราะอะไร สัตว์บางชนิดที่กินได้เฉพาะใบพืชชนิดเดียวเท่านั้นเพราะอะไร หรือนั่นเพราะการไม่ทำบุญ หรือทำบุญมาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ บุคคลหากยังเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องมีการทำบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว

สำหรับผู้นิยมกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และยอมก้มจำนนต่อผู้มีอำนาจมากกว่า มักยอมจำนนเป็นบริวารคนเลว แล้วทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าตน เป็น “เดรัจฉาน” มาเกิดโดยแท้ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็ก ข่มเหงเบียดเบียนกันเป็นทอดๆ หากต้องการหลุดพ้นจากภพนี้ จะต้องไม่ยอมก้มจำนนต่อคนเลว หลีกเลี่ยงคนเลว เลิกข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เลิกเลียนแบบรุ่นพี่ หรือผู้มีอำนาจ แล้วหันมาสนับสนุนคนดี และช่วยผู้อ่อนแอ จึงจะพ้นได้

เมื่อพ้นจากอบายภูมิทั้งสามนี้แล้ว ก็จะได้เกิดแต่ภพที่ยังมีความสุขอยู่บ้าง ซึ่งบางภพเป็นสวรรค์ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน และหลงลืมการทำสิ่งที่ดีงาม สุดท้ายหมดวาระบุญต้องมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ทำงานลำบากลำบน และตกต่ำกว่าสวรรค์เดิมที่ตนเคยอยู่ ดังนั้น บุคคลจึงควร “ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” เพราะความไม่แน่ไม่นอน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกขณะทีเดียว หากยังมีภพชาติใหม่อยู่เรื่อยๆ ก็จะยังต้องเสี่ยงเกิดเสี่ยงกรรมอีกเรื่อยๆ หากหมดสิ้นภพชาติได้ จึงหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม พบแต่ความสุขอย่างเดียว แต่หากมีกำลังบุญบารมีมาก คิดช่วยเข็ญสรรพสัตว์แล้ว พึงพัฒนาภูมิจิตให้ถึงสุขาวดี

กด 1900 222 200 ทำบุญให้ วัดพระบาทน้ำพุ กด 1 ครั้ง ทำบุญ 9 บาท
 

  ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ คลิก
ขอเชิญทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการบริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย คลิก
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้รู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดติดถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

--
"กลุ่มนิทานเพื่อนรัก" ต้องการติดต่องาน
แสดงละครนิทาน นิทานหุ่นมือ ละครมาสคอต จัดงานวันเกิดสำหรับเด็ก
วิทยากรเกี่ยวกับกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับครูอาจารย์
และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ โปรดโทรสอบถามได้ที่ http://friends.igetweb.com/index.php
--------------------------------------------------
มัมทูคิดส์เป็นร้านค้าออนไลน์สำหรับแม่และเด็ก จำหน่าย ของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กของใช้แม่และเด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท เตียง หนังสือเสริมพัฒนาการ  เสื้อผ้าเด็ก ฯลฯ  ร้านเราเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ายี่ห้อต่างๆ อย่างถูกต้องทุกรายการค่ะ
http://www.mom2kids.com/home.php?aff=surapar&lf=b
31  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มิจฉัตตะ คืออะไรครับ เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:09:58 am
เมื่อวานในข้อสอบวิชา พระพุทธศาสนา ถามว่า มิจฉันตะ คืออะไร มีจำนวนเท่าใด

คำตอบก็คล้ายคลึงกัน คือ มิจฉา แปลว่า ความผิด ไม่ถูก ผมคิดว่าตอบมั่วเพราะไม่รู้

เพื่อคลายความสงสัย ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงให้ทราบด้วยครับ
 :c017: :25:
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทุกข์เพียงกาย ใจไม่ทุกข์ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:39:54 pm
ทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือ

ชาติปิ ทุกฺขา
ความเกิดก็เป็นทุกข์

ชราปิ ทุกฺขา
ความแก่ก็เป็นทุกข์

มรณมฺปิ ทุกฺขํ
ความตายก็เป็นทุกข์

โสก ปริเทว ทุกฺข โทมนสฺ สุปายาสาปิ ทุกฺขา
ความโศก ความรำไรรำพัน ความทุกข์(ความไม่สบายกาย)
โทมนัส(ความไม่สบายใจ) และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์

อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข
ความประสบด้วยสิ่งที่ ไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์

ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข
ความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์

ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ
ปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์

สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา
โดยย่อแล้ว อุปาทานขันข์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์


****************************


รู้...ทุกขะ-อริยะ-สัจจะ แท้

รู้...เกิด แก่ เจ็บ ตาย รูปกายนี้

รู้...โศกเศร้า เหงาคร่ำครวญ ป่วนฤดี

รู้...ทุกข์มี เพราะขันธ์ห้า อุปาทาน


สัจจญาณ...รู้สังขาร ทุกข์จริงแท้

กิจจญาณ...รู้จักแก้ (ด้วย)กัมมัฏฐาน

กตญาณ.....รู้ทุกข์แล้ว ทุกข์ไม่นาน

ทุกข์นิพพาน สันติสุข ไม่ทุกข์ใจ.


เจริญในธรรมโดยทั่วกัน

ธัมโมชญา




ขอบคุณบทความจาก ธรรมะไทย
33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พี่ส่าว กับ น้องชาย ซึ้งของแท้ครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:34:41 pm
เรื่องซึ้งๆระหว่างพี่สาวกับน้องชาย
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้อง พรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า หันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน "ใครขโมยเงินไป"พ่อตวาด ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่น ล่ะ" พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้นน้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ" ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้ เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้แล้วพูดว่า "พี่ครับไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความ จริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของ จังหวัดเช่นกัน คืนนั้นพ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆพ่อ ได้พูดว่า "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" ทันใดนั้นน้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึง คิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆเอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบา กเช่นนี้ไปได้" แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะ เรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้....... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ.... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะ ส่งเงินมาให้พี่" ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี.....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ....... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี" ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่า ใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม" จากนั้นน้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่ม ของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะ พาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" แม่ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมา ทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ" ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของ เขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาด แผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ........" น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของ ฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป... เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง" สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" น้ำตาปริ่มดวงตา ของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย..... ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า " ใครคือคนที่คุณรักที่ สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"..... และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ....... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ" เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก....... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุดคือน้องชายของฉันค่ะ" ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคน คนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระอุปคุต ผู้มีฤทธิ์มาก เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 03:03:16 pm
พระอุปคุต" พระแห่ง...โชคลาภคุ้มกันภัยทั้งปวง

      พระอุปคุต เป็นรูปเคารพที่สร้างขึ้นแทนพระอรหันต์สาวกสำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับการยกย่องว่า มีความเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์ ในสมัยหลังพุทธกาล
เช่นเดียวกันกับที่ พระโมคคัลลาน์ ได้รับการยกย่องสมัยเมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ
พระอุปคุต เป็นภาษาบาลี ในขณะที่ภาษาสันสกฤตเขียนว่า "อุปคุปต์" ซึ่งตรงกับภาษาที่พี่น้องชาวไตยบางท้องถิ่น ขานนามท่านว่า "ส่างอุปคุป"
โดยมีความหมายว่า "ผู้คุ้มครองมั่นคง" ชาวล้านนารู้จักพระอุปคุต ในนามผู้ปกป้องคุ้มครองภัย โดยเฉพาะการมีปอยหลวง งานพิธีกรรมของส่วนรวม
จะมีการอาราธนาพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำ มาคุ้มครองการจัดงาน เพื่อมิให้เกิดเหตุเภทภัย และให้งานลุล่วงไปด้วยดี  นอกจากจะเรียกว่า "พระอุปคุต"
แล้วยังมีการเรียก "พระอุปคุตเถระ" หรือ "พระเถรอุปคุต" ชื่อนี้เรียกเป็นภาษาชาวบ้าน โดยนำเอาคำว่า เถระ อันเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้บอกถึงความมั่นคง
ในพระธรรมวินัย หรือบวชพระครองเพศสมณะมาแล้วตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป และยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก ดังเช่น พระนาคอุปคุต พระกีสนาคอุปคุต ฯลฯ
ในบางท้องถิ่นล้านนา เชื่อว่า พระอุปคุตจะตะแหลง (แปลงร่าง) เป็น สามเณรน้อย ขึ้นมาบิณฑบาตใน วันเป็งปุ๊ด หรือ เพ็ญพุธ (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธพอดี)
 เริ่มตั้งแต่ตีหนึ่งของวันพุธ ผู้คนจึงมักเห็นสามเณรน้อยเดินบิณฑบาตไปตามถนน ทางสี่แพร่งสามแพร่ง ตลอดจนถนนหนทางตามริมน้ำท่าน้ำต่างๆ จนกระทั่ง
 ตี๋นฟ้ายก หรือแสงเงินแสงทองออกมา จึงเนรมิตกายหายไป
        เชื่อกันว่า หากผู้ใดมีบุญบารมีได้ใส่บาตรพระอุปคุต มักทำให้ร่ำรวยเงินทอง ปราศจากภัยทั้งปวง มีสมาธิจิตดี ไม่หลงลืม ชีวิตเป็นสุข
ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้สร้าง พระอุปคุต ปางต่างๆ ที่นิยมกันมากได้แก่ ปางล้วงบาตร หมายถึง กิ๋นบ่เสี้ยง หรือกินไม่หมด ให้คุณทางทรัพย์สินเนืองนอง มากมาย ร่ำรวย   
พระอุปคุต ปางห้ามมาร ให้คุณในทางคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ ปางสมาธิ หรือ พระบัวเข็ม ให้คุณในด้านสติปัญญาดี จิตใจผ่องใส ดำเนินชีวิตเป็นสุข ด้วยปัญญาบารมี
ด้วยประวัติอันทรงฤทธิ์ดังกล่าว พุทธศาสนิกชนจึงสร้างรูปพระอุปคุตขึ้นบูชา โดยมีความเชื่อว่า จะสามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายต่างๆ อันอาจจะเกิดขึ้น
ดังจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบัน เมื่อจะจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ขึ้น มักจะมี พิธีอธิษฐานบูชาพระอุปคุต เป็นเบื้องต้น เพื่อให้ช่วยคุ้มครองให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
พระอุปคุต ผู้เป็นพระอรหันตสาวก ที่ทรงมหิทธานุภาพ ชอบความวิเวกวังเวง และอยู่ตามลำพังผู้เดียว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น เป็นพระอรหันต์หลังสมัยพุทธกาล
เพราะไม่พบประวัติของท่านในพระไตรปิฎก แต่ปรากฏอยู่ใน จารึกพระเจ้าอโศก ซึ่งเขียนขึ้น เมื่อร้อยกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน และยังปรากฏอยู่ใน พระปฐมสมโพธิกถา
ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส โดยอยู่ปริจเฉทที่ ๒๘ ที่มีชื่อว่า มารพันธ-ปริวรรต  ตามประวัติกล่าวว่า พระอุปคุต เกิดในตระกูลวานิช
บิดาประกอบอาชีพค้าเครื่องหอม อยู่ที่เมืองมถุรา มีพี่น้องทั้งหมดรวมทั้งตัวท่านเองสามคน  เดิมบิดาของท่านได้ให้คำสัญญากับ พระสาณวารี (สาณสัมภูติ) ไว้ว่า
หากมีบุตรชายจะให้อุปสมบทในพุทธศาสนา แต่ก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา โดยอ้างว่า จะต้องเอาไว้ช่วยกิจการของครอบครัว  จนกระทั่งมีบุตรคนที่สาม คือ ตัวท่าน
ซึ่งได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากพระสาณวารี จนเกิดดวงตาเห็นธรรม ประสงค์จะอุปสมบท บิดาท่านจึงต้องจำยอมอนุญาต  เมื่อพระอุปคุตบวชแล้ว
ก็ได้เจริญวิปัสสนาญาณโดยลำดับ จนบรรลุพระอรหันต์ผล และได้เป็นอาจารย์สั่งสอนทางสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด
 ในสมัยนั้น ดังปรากฏมี พระอรหันต์ที่เป็นศิษย์ของพระอุปคุตถึง ๑๘,๐๐๐ รูป  นอกจากนี้แล้ว พระอุปคุตยังสำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร
เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่า ท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล)
แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ
      คติความเชื่อเกี่ยวกับพุทธคุณ ของผู้ที่บูชา พระอุปคุต เชื่อว่า มีพุทธโดดเด่นด้านโชคลาภ และคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง วิธีสวดขอลาภ ให้จุดธูปเทียนบูชา
พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอม น้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระ ในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน
ลมพัดไปทางไหน ขอให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ  เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว
ให้สวดนะโม ๓ จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต ๑ จบ แล้วทำน้ำมนต์สวดด้วยคำบูชาขอลาภพระมหาอุปคุต อีก ๑ จบ เสร็จแล้ว เอาน้ำมนต์ประพรมร้านค้า
และสินค้าในร้านค้า หรือทำธุรกิจ ให้เอาน้ำมนต์ประพรมภายในสำนักงาน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ในการทำธุรกิจนั้นทั้งหมด
อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่  www.AUPAKUT.com
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บวชเพราะแม่ยาย เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 07:15:13 pm


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภแม่ยายหูหนวกคนหนึ่ง ...

     เรื่องมีอยู่ว่า ในเมืองสาวัตถีมีพ่อค้าคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา ถือศีลห้าเป็นประจำ วันหนึ่งเขาไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน ขณะนั้นแม่ยายได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา แต่แม่ยายคนนี้หูแกค่อนข้างตึง เมื่อไปถึงบ้านพบแต่ลูกสาวอยู่บ้านไม่พบลูกเขยจึงเอ่ยปากถามลูกสาวว่า
          "นี่ลูกผัวเอ็งนะยังรักเอ็งอยู่รึเปล่า มีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหม?"
          ลูกสาวตอบว่า "แม่..คนดีๆ อย่างลูกเขยแม่คนนี้นะ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก"
          ยายแกฟังคำพูดของลูกสาวไม่ชัดได้ยินแต่คำว่าบวชเท่านั้น จึงร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกว่า
          "อ้าว..ผัวเอ็งไปบวชแล้วหรือ"


     ชาวบ้านเรือนข้างเคียงกันได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดว่า "พ่อค้าไปบวชเสียแล้ว" คนที่เดินผ่านไปมาจึงพูดคุยกันแต่เรื่องพ่อค้าออกบวชแล้วฝ่ายพ่อค้าเจ้าของ เรื่องหลังจากฟังธรรมเสร็จก็เดินกลับบ้าน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งได้เดินตรงมาจับแขนเขาถามว่า "ข่าวว่าท่านบวชแล้ว ลูกและเมียของท่านพากันร้องไห้อยู่ที่บ้านมิใช่หรือ" พ่อค้าไม่พูดอะไรได้แต่คิดว่า เรายังไม่ได้บวชก็มีคนว่าเราบวชแล้ว ข่าวดีเช่นนี้ไม่ควรให้หายไปไหน ตกลงเราควรจะบวชในวันนี้ละ "จึงเดินกลับวัดเชตวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระองค์ หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...


     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าในเมืองพาราณสีมีแม่ยายหู ตึงเช่นกัน วันหนึ่งเขาเดินทางไปนอกเมืองด้วยราชกรณียกิจอย่างหนึ่งได้เกิดเรื่องทำนอง เดียวกันนี้ขึ้น เมื่อเขากลับเข้าเมืองมาทราบข่าวนั้น จึงไปทูลลาพระราชาออกบวชด้วยการกล่าวเป็นคาถาว่า

          "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ในกาลใด บุคคลได้รับสมัญญาว่าผู้มีกัลยาธรรมในโลก ในการนั้นนรชนผู้มีปัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลก ในกาลนั้นนรชนผู้มีปัญญาไม่ควรให้ตนเสื่อมจากสมัญญานั้นเป็นธุระสำคัญแม้ ด้วยหิริ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน สมัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลกข้าพระองค์ได้รับแล้วในวันนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นสมัญญานั้นอยู่ จักขอบวชในวันนี้ เพราะข้าพเจ้าองค์ไม่มีความพอใจในการบริโภคกามคุณในโลกนี้"
          เขาได้บวชเป็นฤาษีอยู่ป่าหิมพานต์จนตลอดชีพ ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  คำพูดของผู้คน สามารถชักจูงความคิดของคนให้กระทำความดีความชั่วได้


ขอขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.dhammathai.org
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ดลับเพิ่มความจำให้..สมอง เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 08:41:43 am
เคล็ดลับเพิ่มความจำให้..สมอง


ความจำ, สมอง, เคล็ดลับ
1. จิบน้ำบ่อย ๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ทำงานอยู่กับบ้าน

2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมอง คือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริง กับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่าง จึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
37  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การประกาศตนเป็นพุทธบริษัท ต้องทำอย่างไร ครับ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:08:59 pm
ผมก็ยังสงสัย อยู่ดีว่าตัวผมเอง ก็ไม่เคยพูดว่าเป็น พุทธศาสนิกชน

แต่ พ่อ และ แม่ ผมก็เหมาผมลงเป็นพุทธศาสนิกชน

คิดดังนี้แล้ว มีวิธีอย่างไรให้ผมเป็น พุทธศาสนิกชน ด้วยตัวผมเอง

วิธีประกาศตนเป็น พุทธมามกะ นั้น ที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไรครับ

 :17: :25:
38  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งกรรมฐาน จำเป็นต้องไปนั่งกรรมฐานที่ วัด หรือป่าวครับ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 05:23:00 pm
ตัวผมเอง บางทีก็มีความรู้สึก ว่าเวลานั่งกรรมฐาน แล้วทำที่บ้านไม่ค่อยได้

แต่พอไปวัด นั่งในวิหาร แล้วรู้สึกนั่งได้ดี เป็นเพราะอะไรครับ

การนั่งกรรมฐาน จำเป็นต้องนั่งกรรมฐาน ที่วัดทุกครั้งหรือป่าวครับ
 :17: :17:

หน้า: [1]