ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มาติกมารดา ผู้รู้วาระจิต  (อ่าน 428 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
มาติกมารดา ผู้รู้วาระจิต
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2018, 06:02:55 am »
0



มาติกมารดา ผู้รู้วาระจิต

ครั้งหนึ่งในอดีต ใกล้เชิงเขาในแคว้นโกศล มีหมู่บ้านชื่อ มาติกคาม วันหนึ่งมีภิกษุประมาณ 60 รูป เรียนกรรมฐานจากพระศาสดาแล้วจึงได้จาริกมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ โดยมีอุบาสิกาซึ่งเป็นมารดาของผู้ใหญ่บ้าน อุปถัมภ์ให้บำเพ็ญธรรมโดยสะดวก

ครั้งนั้น ภิกษุผู้เป็นหัวหน้าประชุมกับเพื่อนภิกษุว่า

“ท่านทั้งหลาย พวกเราไม่ควรประมาท ไม่อย่างนั้นคงได้ตกนรกกันแน่ เราเรียนกรรมฐานมาจากพระพุทธองค์แล้วพระองค์ไม่โปรดคนโอ้อวด มีมายา เกียจคร้าน แต่โปรดผู้มีอัธยาศัยงาม ขอให้พวกเราอยู่ด้วยความไม่ประมาท พวกเราไม่ควรอยู่ร่วมกัน 2 รูป นอกจากเวลาที่มาบำรุงพระเถระตอนเย็นและเวลาบิณฑบาตตอนเช้า ถ้าภิกษุรูปใดป่วย ให้มาตีระฆัง พวกเราจักช่วยกันทำยาให้”

ได้ยินดังนั้น ภิกษุทั้งหลายก็ทำตามกติกากันอย่างสม่ำเสมอ วันหนึ่งอุบาสิกามาหาภิกษุ นางให้คนรับใช้ถือเนยใสกับน้ำอ้อยมาด้วย ครั้นมาถึง นางไม่เห็นภิกษุเลยจึงถามคนที่นั่น และได้ทราบว่าภิกษุทั้งหลายอยู่ในที่พัก จะไม่ออกมาพลุกพล่าน นางจึงปรารภว่า “ทำอย่างไรหนอจึงจะพบพระคุณเจ้าได้”

คนผู้นั้นบอกว่า ถ้าตีระฆัง พระภิกษุจะออกมา นางจึงตีระฆัง


@@@@@@

เพียงชั่วครู่ ภิกษุต่างเดินมาลำพัง ไม่มาเป็น 2 รูป เห็นดังนั้น อุบาสิกาก็เข้าใจว่าพระทะเลาะกันจึงไม่เดินมาด้วยกัน เมื่อกราบเรียนถาม พระก็ตอบว่าได้ทำกติกากันไว้ว่า เวลาปฏิบัติธรรมให้แยกกันอยู่

“ปฏิบัติธรรมคืออะไรเล่าพระคุณเจ้า” อุบาสิกาถาม

พระตอบว่า “พวกอาตมาสาธยายอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ว่าเป็นของไม่สะอาด และพิจารณาความเสื่อมไปของร่างกาย”

“การพิจารณาอย่างนั้น สมควรแก่ภิกษุเท่านั้นหรือ ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้าหรือ”

“อุบาสิกา ธรรมนี้พระศาสดาไม่ได้ทรงห้ามผู้ใด ใครจะสาธยายก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นโปรดบอกแก่ข้าพเจ้าด้วย”

หลังจากนั้น ภิกษุจึงสอนอาการ 32 แก่นาง

@@@@@@

อุบาสิกาสาธยายอยู่ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุเป็นพระอนาคามีก่อนภิกษุเหล่านั้น

หลังเสวยสุขจากมรรคผลแล้ว นางตรวจดูด้วยตาทิพย์แล้วรำพึงออกมาว่า “เมื่อไรหนอพระคุณเจ้าทั้งหลายจะบรรลุธรรมนี้ พระคุณเจ้าทั้งหมดยังเป็นปุถุชน มีความโลภ โกรธ หลงอยู่ ท่านจะมีบุญได้บรรลุหรือไม่หนอ”

เมื่อตรวจดูต่อไป นางก็รู้ว่า “ภิกษุทั้งหมดจะได้บรรลุธรรม” จึงรำพึงต่อไปว่า “อะไรเป็นอุปสรรคอยู่” นางได้เห็นว่าภิกษุยังขาดอาหารอันสมควรแก่การทำความเพียร ตั้งแต่วันนั้นมา นางจึงสั่งให้จัดอาหารอันประณีตหลายอย่างไปถวายแล้วแต่จะเลือกฉัน

เมื่อภิกษุได้ฉันอาหารที่เหมาะสม ร่างกายกระปรี้กระเปร่า จิตก็ดิ่งลงสู่อารมณ์เดียว เจริญวิปัสสนาไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์ ภิกษุทั้งหลายระลึกถึงอุปการะของอุบาสิกาเป็นอันมาก


@@@@@@

เมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุได้ลาอุบาสิกาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่เชตวันมหาวิหาร เมื่อไปถึงได้เข้าเฝ้าแล้ว พระศาสดาก็ตรัสถามเรื่องต่างๆ ภิกษุทูลเล่าถึงอุปการะของอุบาสิกาว่า เป็นผู้ถวายอาหารอันประณีตและสามารถรู้วาระจิตของพวกตนว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เป็นต้น

ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่เฝ้า ได้ฟังคำบอกเล่าเหล่านั้นด้วยมีความประสงค์จะไปอยู่ที่บ้านนั้น จึงเรียนกรรมฐานจากพระศาสดาแล้วทูลลาไป เมื่อไปถึงวิหารในป่าก็คิดว่า “เขาเล่าลือกันว่าอุบาสิการู้วาระจิตของผู้อื่น ตอนนี้เราเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย นางจะให้คนมาปัดกวาดวิหารให้เราได้ไหมหนอ”

ส่วนอุบาสิกานั่งอยู่ในบ้าน ทราบความแล้วก็ส่งคนไปปัดกวาดวิหาร

ต่อจากนั้น ภิกษุคิดอยากดื่มน้ำหวาน วันรุ่งขึ้นอยากฉันข้าวต้มและแกงอย่างใด อุบาสิกาก็จัดมาถวายทุกอย่าง ที่สำคัญ เมื่อภิกษุคิดว่าอยากพบอุบาสิกา นางก็มาหา

@@@@@@

เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว ภิกษุถามว่า

“อุบาสิกา ท่านหรือชื่อ มาติกมารดา”

“ถูกแล้วท่าน” อุบาสิกาตอบ

“ท่านทราบวาระจิตของคนอื่นหรือ”

“ทำไมท่านจึงถามอย่างนั้น”

“ท่านทำทุกอย่างที่อาตมาคิด”

“ภิกษุที่รู้จิตคนอื่นก็มีอยู่มาก” อุบาสิกาตอบเลี่ยง

“อาตมาไม่ได้ถามถึงคนอื่น อาตมาถามถึงท่าน”

แต่กระนั้นอุบาสิกาก็ไม่ได้ตอบตรงๆ กลับพูดว่า

“ธรรมดาคนที่สามารถรู้วาระจิตของคนอื่นได้ ย่อมทำอย่างนั้น”


@@@@@@

หลังจากพูดคุยกันวันนั้นแล้ว ภิกษุเกิดความคิดว่า “เราทำกรรมหนักเสียแล้ว ธรรมดาปุถุชนย่อมคิดสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ชั่วบ้าง ถ้าเราคิดสิ่งที่ไม่สมควร อุบาสิกาจะพึงตำหนิเรา ทำให้เราละอาย อย่ากระนั้นเลย เราหนีไปจากที่นี่เสียดีกว่า” เมื่อคิดดังนี้แล้วจึงไปลาอุบาสิกา แล้วเดินทางกลับไปยังสำนักของพระศาสดา

เมื่อไปถึง พระศาสดาตรัสถามว่า ทำไมจึงรีบกลับมา ภิกษุทูลว่า อุบาสิการู้วาระจิตทุกอย่าง ธรรมดาปุถุชนย่อมคิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง

“เธอควรอยู่ที่นั่นแหละภิกษุ” พระศาสดาตรัสบอก

“ข้าพระองค์อยู่ไม่ได้แน่พระเจ้าข้า”

@@@@@@

พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า

“รักษาจิตของเธอที่ข่มได้ยาก จงข่มจิตไว้ให้ได้ อย่าให้คิดถึงอะไรอื่น ให้ดิ่งลงในอารมณ์อันควรแก่สมณะ จิตนี้ข่มได้ยากเกิดดับเร็ว มักตกไปในอารมณ์อันน่าใคร่ การฝึกจิตนั้นเป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกแล้วย่อมนำความสุขมาให้”

เมื่อภิกษุรับคำแนะนำของพระพุทธองค์แล้ว ก็เดินทางกลับไปมาติกคาม อุบาสิการู้พฤติการณ์ทั้งปวง จัดหาอาหารประณีตมาถวาย จนสองสามวันผ่านไป ภิกษุนั้นได้บรรลุอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์ ภิกษุรำพึงถึงอุปการะของอุบาสิกา และระลึกชาติในอดีตย้อนหลังไปถึง 99 ชาติ ได้เห็นว่าอุบาสิกานั้นเคยเป็นภรรยาของท่านมา 99 ชาติ แต่นางมีใจให้ชายอื่น จึงได้ฆ่าท่านเสียถึง 99 ชาติมาแล้ว รู้อย่างนั้นท่านก็ปลงธรรมสังเวชว่า

“น่าสังเวชจริงหนอ อุบาสิกาทำกรรมหนักมาแล้วเหลือหลาย”


@@@@@@

มหาอุบาสิกานั่งอยู่ในบ้าน รู้เหตุการณ์ทั้งปวงแล้ว นางจึงพิจารณาชาติที่ 100 ได้เห็นว่าในชาตินั้นตนได้สละชีวิตคือตายแทนภิกษุนั้น จึงส่งกระแสจิตไปยังภิกษุ เตือนว่า

“ขอท่านได้โปรดพิจารณาต่อไปถึงชาติที่ 100 เถิด”

ภิกษุได้ยินเสียงนางด้วยหูทิพย์จึงระลึกถึงชาติที่ 100 ได้เห็นความเสียสละของอุบาสิกาแล้วก็มีจิตเบิกบาน เข้าสู่ปรินิพพาน ณ ที่นั้นเอง


 

ที่มา : นิตยสาร Secret , เรื่อง : เก็บมาเล่าโดย ขวัญ เพียงหทัย
photo by DEZALB on pixabay , Secret Magazine (Thailand)
ขอบคุณเว็บไซต์ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/120607.html
By ying , 8 November 2018
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ