ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อดีตสะท้อนปัจจุบัน  (อ่าน 759 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อดีตสะท้อนปัจจุบัน
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 07:14:25 am »
0


อดีตสะท้อนปัจจุบัน

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ทุกอย่างหมุนเวียนตามกฎของธรรมชาติ เราไม่สามารถที่บังคับกฎของธรรมชาติได้ แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้ให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงได้

ต้องขอเจริญพรทุกๆ ท่าน ที่อาตมาเกริ่นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมคือ ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จากอดีตสะท้อนถึงปัจจุบัน ที่จริงอาตมาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนะโยม ละคงละคร ว่า แม่หญิงการะเกด จะกินมะม่วงน้ำปลาหวาน กินหมูกระทะ ทำเครื่องกรองน้ำ อาตมาไม่ได้ดูจริงๆ นะโยม ที่รู้เพราะเจ้าอาวาสเล่าให้ฟัง

อ่านนิยายเรื่อง "บุพเพสันนิวาส" ได้ที่นี่

@@@@@@

เคยมีโยมถามอาตมาว่า เป็นพระดูทีวีได้หรือครับ อาตมาก็ถามโยมคนนั้นว่า พระมีตาไหม โยมก็ตอบว่ามี แล้วพระจะดูได้ไหม โยมก็ตอบว่าได้ (ถ้าถามกันต่อไปโยมอาจจะถามว่า หลวงพี่เคยตาเขียวไหม) หลายคนบอกว่าเป็นพระไม่ควรดูทีวี อันนี้ก็ใช่โยม แต่เราก็มองว่าดูทีวีเพื่อความบันเทิงหรือดูเพื่ออะไร อย่างอาตมาต้องไปบรรยายธรรมะในสถานที่ต่างๆ เราต้องรู้ว่าโยมกำลังสนใจเรื่องอะไร เราจะได้เอาธรรมะไปประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ที่โยมกำลังสนใจ เรียกว่า ดูทีวีเพื่อให้รู้เท่าทันกิเลส จะได้เทศน์จะสกัดได้ทัน

อย่างละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส มันไม่ใช่แค่ให้ความบันเทิงแต่เป็นการสอนประวัติศาสตร์ ครูอาจารย์ที่สอนประวัติศาสตร์ก็สามารถเอาละครเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบได้ ทำให้นักเรียนนักศึกษาสนุกในการเรียน เอาล่ะโยมมาเข้าประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง

เราจะมาเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลง เพื่อยอมรับและทำใจให้รู้เท่าทัน
เราจะมาเรียนรู้ความพลัดพรากความเสียใจ เพื่อเข้าใจถึงการปล่อยวาง
เราจะมาเรียนรู้ความคิดต่าง เพื่อความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
เราจะมาเรียนรู้ความเหินห่าง เพื่อรู้ถึงคุณค่าของเวลา และการรอคอย


@@@@@@

โยมอย่ากลัวเลยกับการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่จะเลวร้ายเสมอไป บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นมากกว่าเดิมก็ได้ ให้เรามาเรียนรู้อย่างเท่าทัน เราก็จะมีความสุขกับปัจจุบันขณะได้

โยมทั้งหลายมีคนถามองค์ดาไลลามะว่า พระองค์จะบอกได้ไหมว่าช่วงเวลาไหนมีความสุขมากที่สุดในชีวิต พระองค์ทรงใคร่ครวญสักพักก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า “อาตมาคิดว่า ช่วงเวลานั้นก็คือตอนนี้ไงล่ะ”

โยมทั้งหลาย กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่จะเจอเฉพาะเรา ใครทุกคนในโลกนี้ก็ต้องเจอด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเรามีการเกิด เราก็ต้องอยู่ในกฎอนิจจัง คือจากเด็กก็เป็นผู้ใหญ่ และต้องอยู่ในกฎทุกขัง คือ สิ่งต่างๆ คงสภาพเดิมไม่ได้ หนังตึงๆ หน้าใส ๆ สุดท้ายก็ต้องเหี่ยว ต้องยาน ที่หนีไม่พ้นอีกอย่างคือ กฎอนัตตา ทุกอย่างในร่างกายเราไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เป็นเพียงการรวมกันของธาตุ 4 ขันธ์ 5 สุดท้ายก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา

ดังนั้นเราอยู่เสียเวลากับการยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ ดวงอาทิตย์มันขึ้นสุดท้ายมันก็ตก กลางวันอีกไม่กี่ชั่วโมง มันก็เป็นกลางคืน หากเรามีทุกข์ ให้เรารู้เท่าทันอีกไม่นานทุกข์มันเบาบางลงสุดท้ายมันก็ดับไป

@@@@@@

ความเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ และอยู่กับมันอย่างเท่าทันเพียงแค่นี้เราก็จะมีความสุขในชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราเข้าใจในกฎของธรรมะคือกฎของธรรมดา

เรื่องความเปลี่ยนแปลง ในมุมมองของพระก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามุมมองของโยมบางคนนี้ไม่ได้เลยยิ่งผู้หญิงบางคน ยอมเสียเงินเป็นแสนเป็นล้านเพื่อที่จะทำให้ตนเองสวย ไม่ให้ตนเองแก่ สุดท้ายมีเงินมากเท่าไหมันก็ยื้อความแก่ไม่ได้หรอกโยม แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย มันจะแก่ก็แก่ไป ทำใจได้ไม่ทุกข์ใจเท่าผู้หญิง

พูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลง โยมลองมาฟังเรื่องดูแล้วกันว่าความเปลี่ยนแปลงของสังขารมันทำให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิต มีครอบครัวหนึ่งอยู่กินกันมาหลายปี จนมีพยานรักตัวน้อยมาให้ชื่นใจ ลูกชายอยู่ในวัยที่น่ารักน่าชังช่างพูดช่างคุย


@@@@@@

เช้าวันหนึ่งหนูน้อยในวัยอยากรู้อยากเห็น นั่งดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ของคุณพ่อและคุณแม่อยู่ เขาก็หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู พร้อมกับถามคุณแม่ว่า

คุณแม่ครับ...ผู้ชายผมยาว ๆ กล้ามเป็นมัด ๆ ที่ยืนอยู่กับคุณแม่ที่ชายหาดนี่ใครละครับ
คุณแม่เมื่อได้ยินคำถามของลูกก็หัวเราะคิก ๆ แล้วก็ตอบว่า...เอ้า...ก็คุณพ่อของหนูไงลูก

หนูน้อยเกาหัวแกรกๆ แล้วถามต่อว่า.... อ้าว...ถ้ายังงั้น....แล้วผู้ชายหัวล้านๆ ที่นั่งลงพุงดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกตอนนี้เป็นใครล่ะครับคุณแม่

อนิจจาสังขารา สังขารไม่เที่ยง ผู้ใหญ่นั้นเข้าใจ แต่เด็กบางครั้งก็แยกไม่ออก ไม่เข้าใจ ขนาดผู้ใหญ่บางคนยังไม่เข้าใจ และเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

@@@@@@

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารู้ว่า "เราต้องถอนตัวออกจากความยึดมั่นถือมั่น มิเช่นนั้น เราก็จะต้องทุกข์ถาวร แบบถอนตัวไม่ขึ้น"   เจริญพร

       พระมหาสมปอง

ขอบคุณภาพและบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/1232071
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ