ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สัพพทาฐิชาดก(ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้)  (อ่าน 2837 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
สัพพทาฐิชาดก(ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้)
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 05:08:44 pm »
สัพพทาฐิชาดก(ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้)


ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระองค์ เป็นผู้จบไตรเพทและศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ รอบรู้ปฐวีวิชัยมนต์ ที่เรียกว่า ปฐวีวิชัยมนต์นั้น คือมนต์กลับใจให้หลง

   
                   อยู่มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์คิดว่าจักสาธยายมนต์นั้น จึงนั่งทำการสาธยายมนต์บนหินดาดที่เนินผาแห่งหนึ่ง นัยว่ามนต์นั้นผู้มีใจวอกแวกความทรงจำไม่ดี ไม่สามารถจะให้สำเร็จได้ เพราะฉะนั้นปุโรหิตนั้นจึงสาธยายในที่เช่นนั้น ในเวลาที่ท่านปุโรหิตทำการสาธยาย มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งนอนอยู่ในโพรงแห่งหนึ่ง ได้ยินมนต์นั้นเหมือนกัน ได้ท่องจำจนแคล่วคล่อง นัยว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นในอัตภาพอดีตก่อนหน้านั้น ได้เป็นพราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งแสดงแคล่วคล่องปฐวีวิชัยมนต์
   
                   พระโพธิสัตว์ทำการสาธยายแล้วลุกไป กล่าวว่ามนต์ของเรานี้แคล่วคล่องหนอ สุนัขจิ้งจอกออกจากโพรงกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญ มนต์นี้แคล่วคล่องแก่ข้าพเจ้ายิ่งกว่าท่านเสียอีก แล้ววิ่งหนีไป พระโพธิสัตว์คิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้จักทำอกุศลใหญ่หลวง จึงติดตามไปได้หน่อยหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกได้หนีเข้าป่าไป สุนัขจิ้งจอกไปงับนางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เมื่อนางสุนัขจิ้งจอกถามว่า อะไรกันนี่
   
                       กล่าวว่า เจ้ารู้จักเราหรือไม่รู้จัก
   
                     นางสุนัขจิ้งจอกตอบว่า รู้จักซิ
   
      สุนัขจิ้งจอกนั้นร่ายปฐวีวิชัยมนต์บังคับสุนัขจิ้งจอกเป็นร้อย ๆ ไว้ในอำนาจ กระทำสัตว์ ๔ เท้า มีช้าง ม้า สิงห์ เสือ กระต่าย สุกรและเนื้อเป็นต้น ทั้งหมดไว้ในสำนักของตนแล้วได้เป็นพญาสัตว์ ชื่อว่าสัพพทาฐะ นางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเป็นอัครมเหสี ราชสีห์ยืนอยู่บนหลังช้างสองเชือก พญาสุนัขจิ้งจอกนั่งบนหลังราชสีห์กับนางสุนัขจิ้งจอกผู้เป็นอัครมเหสี นับเป็นยศอันยิ่งใหญ่
   
      พญาสุนัขจิ้งจอกเมาด้วยยศมหันต์ เกิดความมานะคิดชิงราชสมบัติกรุงพาราณสี แวดล้อมด้วยสัตว์จตุบาททั้งปวง บรรลุถึงที่ไม่ไกลจากกรุงพาราณสี มีบริษัทบริวารได้ ๑๒ โยชน์ ทัพพญาสุนัขจิ้งจอกตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ส่งสาสน์ไปถึงพระราชาว่าจงมอบราชสมบัติให้หรือจงรบ ชาวกรุงพาราณสีต่างพากันสะดุ้งหวาดกลัว ปิดประตูพระนครตั้งมั่นอยู่
   
      พระโพธิสัตว์เข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่ากลัวเลย การต่อสู้ด้วยการรบกับสุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะ เป็นภาระของข้าพระองค์เอง เว้นข้าพระองค์เสีย ไม่มีผู้อื่นสามารถรบกับมันได้
   
      ปลอบใจพระราชากับประชาชนแล้ว คิดว่า สัพพทาฐะจะทำอย่างไรจึงจะยึดราชสมบัติ เราจักถามมันดูก่อนจึงขึ้นป้อมที่ประตูเมืองถามว่า ดูก่อนสัพพทาฐะ จะยึดราชสมบัติอย่างไร
   
      ตอบว่า เราจะให้ราชสีห์เปล่งสีหนาททำให้มหาชนสะดุ้งตกใจกลัวเสียงแล้วจักยึดเอาราชสมบัติ
   
      พระโพธิสัตว์ก็รู้ว่า มีอุบายแก้ จึงลงจากป้อมให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ชาวกรุงพาราณสีทั้งหมด๑๒ โยชน์ จงเอาแป้งถั่วราชมาศปิดช่องหูเสีย มหาชนฟังเสียงป่าวร้องพากันเอาแป้งถั่วราชมาศปิดช่องหูของตน และของสัตว์ ๔ เท้าทั้งหมด แม้กระทั่งแมว ไม่ให้ได้ยินเสียงของผู้อื่น
   
      ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ขึ้นสู่ป้อมร้องเรียกอีกว่า ดูก่อนสัพพทาฐะ
   
      พญาสุนัขจิ้งจอกถามว่า อะไรเล่าพราหมณ์
   
      กล่าวว่า ท่านจักทำอย่างไรอีกจึงจะชิงเอาราชสมบัตินี้ได้
   
      ตอบว่าข้าพเจ้าจะให้ราชสีห์เปล่งสีหนาทให้พวกมนุษย์ตกใจกลัว ให้ถึงแก่ความตายแล้วจึงจะยึดเอาราชสมบัติ
   
      พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านไม่อาจให้ราชสีห์เปล่งสีหนาทได้ เพราะพญาไกรสรสีหราชมีเท้าหน้าเท้าหลังแดงงาม สมบูรณ์ด้วยชาติ จักไม่ทำตามคำสั่งของสุนัขจิ้งจอกแก่เช่นท่าน
   
      สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ดื้อด้านอวดดีกล่าวว่า ราชสีห์ทั้งหลาย ตัวอื่นจงยืนเฉย เรานั่งอยู่บนหลังตัวใด จักให้ตัวนั้นแหละแผดเสียง
   
      พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น จงให้แผดเสียงเถิด ถ้าท่านสามารถ พญาสุนัขจิ้งจอกจึงให้สัญญาณด้วยเท้าแก่ราชสีห์ตัวที่ตนนั่งอยู่บนหลังว่า จงแผดเสียง
   
      ราชสีห์นั้นจึงแม้มปากเปล่งสีหนาทบนกระพองเศียรช้าง ๓ ครั้ง อย่างไม่เคยเปล่งมาเลย ช้างทั้งหลายต่างสะดุ้งตกใจ สลัดสุนัขจิ้งจอกให้ตกไปที่โคนเท้า เอาเท้าเหยียบหัวสุนัขจิ้งจอกนั้นแหลกละเอียดไป สุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นเอง ช้างเหล่านั้นได้ยินเสียงราชสีห์แล้ว ก็กลัวภัย คือความตาย ต่างก็สับสนชุลมุนวุ่นวายแทงกันตาย ณ ที่นั้นเอง สัตว์ ๔ เท้าทั้งหมด แม้ที่เหลือมีเนื้อและสุกรเป็นต้น มีกระต่ายและแมวเป็นที่สุด ยกเว้นราชสีห์ทั้งหลายเสีย ได้ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นเอง ราชสีห์ทั้งหลายก็หนีเข้าป่าไป กองเนื้อสัตว์เกลื่อนไปทั้ง ๑๒ โยชน์
   
      พระโพธิสัตว์ลงจากป้อมแล้ว ให้เปิดประตูพระนคร ให้ตีกลองเที่ยวประกาศไปในพระนครว่า ชาวเมืองทั้งหมดจงเอาแป้งที่หูของตนออก มีความต้องการเนื้อก็จงไปเก็บเอามา มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคเนื้อสด ที่เหลือก็ตากแห้งทำเป็นเนื้อแผ่นไว้ กล่าวกันว่า นัยว่าการทำเนื้อแผ่นตากแห้งเกิดขึ้นในครั้งนั้นเอง
   
      พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสอภิสัมพุทธคาถาเหล่านี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า :
   
              สุนัขจิ้งจอกกระด้างด้วยมานะ
   
      มีความต้องการด้วยบริวาร
   
      ได้บรรลุถึงสมบัติใหญ่
   
      ได้เป็นราชแห่งสัตว์มีเขี้ยวทั้งปวง ฉันใด
   
      ในหมู่มนุษย์ผู้ใดมีบริวารมาก
   
      ผู้นั้นชื่อว่าเป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวงาฉะนั้น
   
      พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว แล้วทรงประชุมชาดกว่า สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ พระราชาได้เป็นสารีบุตร ส่วนปุโรหิต คือเราตถาคตนี้แล





ที่มา http://www.intaram.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=34&thispage=2
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
Re: สัพพทาฐิชาดก(ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2015, 01:35:22 pm »

         ผู้มี บริวารมาก เป็นใหญ่ได้ :welcome:
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา