ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - TCnapa
หน้า: [1] 2 3
1  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: เกิดแต่กรรม อันใด คร้า .. เมื่อ: สิงหาคม 30, 2010, 09:12:35 am
เป็นภาพจริง หรือ ภาพแต่งขึ้นมาหรือป่าวคะ

ถ้าเป็นจริงก็น่าสงสาร มากคะ
2  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ฝากกลอน ด้วย คร้า เมื่อ: สิงหาคม 30, 2010, 09:10:48 am
 :25: :25:
อนุโมทนา ด้วยคะ

สร้างสรรค์ ดีคะ

 ;)
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปรากฏการณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิ เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 01:55:15 pm
อ้างถึง
แต่ผมยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน

ครับ

ยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน แต่ทำได้ขนาดนี้แล้ว

สาธุ สาธุ

ไม่สนับสนุนการไม่ขึ้น กรรมฐาน นะคะ

เพราะการขอขมาต่อ พระรัตนตรัย มีความสำคัญคะ

กรรมฐาน คุณ อิสรภาพ อาจจะก้าวหน้ากว่านี้ ถ้าได้ขึ้นกรรมฐาน โดยสมบูรณ์

4  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปรากฏการณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิ เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 01:52:12 pm
อนุโมทนา ด้วยคะ
:25:
5  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วมงานฟังเทศน์ มหาชาต ที่บ้านลุงสัน ( email ) เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 10:10:39 am
ไม่รู้จักคณะ คุณลุงสันต์ แต่วันเสาร์ อาทิตย์ จะเข้า กทม. อาจจะไปร่วมด้วยคะ

มีอบรมใน กทม. คะ เนื่องด้วยสัปดาห์วิทยาศาสตร์

 :25: :25:

6  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อานิสงค์ การเดิน จงกรม ...... ที่ควรทราบ เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 10:07:29 am
สนใจเรื่องการเดินจงกรม อยู่เจ้าคะ แต่พระอาจารย์ มีหนังสือ หรือ ไฟล์เสียงเกี่ยวกับเรื่อง

เดินจงกรมหรือป่าวคะ ดิฉันจะขอบ้างคะ

 :25: :25:
7  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไีีร เป็นสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนา ต่างจากศาสนาอื่น คะ เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 10:01:20 am
อนุโมทนา กับคุณหมวยนีย์จัง นิยามคำสั้น ๆ

ซึ่งดิฉัน คิดว่าเด็ก จะเข้าใจง่าย ๆ

ที่จริง พุทธศาสนา ถ้าแบ่งระดับให้เด็กจะเ้ข้าใจง่าย ๆ กว่าหรือป่าวคะ

ในระดับ ศีลธรรม และ จริยธรรม พระพุทธศาสนาก็สอน

ส่วนในระดับ ปรมัตถธรรม ไม่ใช่แต่เด็ก นะคะ ผู้ใหญ่ บรรดาครูในโรงเรียนเอง  ก็ยังไม่เข้าใจเลยคะั

บางครั้งยังพูดปรามาส พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยซ้ำไป

ดิฉันมีความพยายาม ที่จะส่งเสริมให้เด็กเรียนธรรมะ ปีนี้จะส่งชื่อลงสอบ ธรรมศึกษาถึง 150 คน ชั้นตรี

ปกติ มีไม่เกิน 25 คน เพราะโรงเรียนไม่สนับสนุนกิจกรรมนี้ ดิฉันก็เป็นครูสอนวิชา วิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เป็น

สายตรงกับวิชา พุทธศาสนา จึงออกตัวมากไม่ได้

แต่ก็อยากให้เด็ก สนใจใน พระพุทธศาสนา และ นั่งสมาธิ เพราะตั้งแต่ฝึกเด็กมานั้น

เด็กจะเรียนดีขึ้น ตอนนี้ครู อีกชุด ก็สนับสนุนวัดพระธรรมกาย แต่ดิฉันไม่ผูกมัดกับวัดพระธรรมกาย

แต่อยากให้เด็กไปตามระดับ ของคุณธรรมในศาสนา ก็หวังว่าเพื่อน สมาชิก จะช่วยคำตอบของเด็กด้วยดี

เช่นกัน


ขอบคุณคะ

 :25: :25:
8  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: การดาวน์โหลด ไฟล์ลิขสิทธิ์ ผิดศีลหรือป่าว คร้า เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 09:52:25 am
กรณีตัวอย่าง ที่พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง เิพิ่งนึกได้ เพราะนักเรียนเคยถามท่านที่โรงเรียนเรื่องนี้

ท่านเล่าว่า ที่สวนโมกขพลาราม มีพระอาจารย์รูปหนึ่ง ชื่อว่า พระอาจารย์ วิรัตน์ วิรตโน

ท่านจัดตั้งโรงเรียน พุทธบุตร ท่านมีความชำนาญเรื่องดนตรีมาตั้งแต่ ฆราวาส นัยว่าท่านเป็นหลาน หลวงพ่อพุทธทาสด้วย

จนกระทั่งนำเด็กมาฝึกร้องเพลง มีอยู่หลายเพลง ทั้งแต่งเพลงเข้าไปใหม่ โดยการเปลี่ยนเนื้อเพลงบ้าง ทรง

ทำนองเก่าไว้บ้าง และนำเด็กชุดนี้ออกงานเข้าค่าย สมัยนั้นก็มีโครงการโดยคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกก็เปิด

โอกาสให้คณะทำงาน เผยแผ่ธรรม ตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งพระอาจารย์ก็เป็นรูปหนึ่งไปด้วยใน

โครงการนั้น ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยม พระอาจารย์วิรัตน์ ท่านก็เลยออกเป็นตลับเพลงจำหน่ายเพื่อส่งเสริม

โรงเรียนพุทธบุตร ฟังแล้วก็เหมือนจะไปได้ดี

แต่ปรากฏว่า ท่านได้รับหนังสือจาก ศาลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง เป็นค่าปรับ ซึ่งต้องมีการว่าตามความคดี

รู้สึกว่าต้องชดใช้เงิน เพราะเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ยินยอมเพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือ คนทั่วไปก็

ไม่ได้ ความจะจบอย่างไร อันนี้ไม่ทราบต้องลองสอบถามกับไปที่พระอาจารย์ หรือ ทางโรงเรียนพุทธบุตร ดูนะคะ

 :25: :25:
9  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: การดาวน์โหลด ไฟล์ลิขสิทธิ์ ผิดศีลหรือป่าว คร้า เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 09:43:45 am
และคำวิจารณ์ เกี่ยวกับพระ สามเณร จากห้องพันทิพย์คะ

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/06/Y5560630/Y5560630.html

 :25: :25:
10  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: การดาวน์โหลด ไฟล์ลิขสิทธิ์ ผิดศีลหรือป่าว คร้า เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 09:38:30 am
สำหรับ อุบาสก อุบาสิก ก็มีการวิจารณ์มากคะ
อ่านเพิ่มเติมจากตรงนี้ก็ได้คะ

http://board.palungjit.com/f8/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C-200803.html
11  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: การดาวน์โหลด ไฟล์ลิขสิทธิ์ ผิดศีลหรือป่าว คร้า เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 09:35:53 am
เป็นคำวิจารณ์ แนะนำโดยตรง ของพระภิกษุสามเณร นะคะ
ลองไปอ่านต่อตรงนี้เพิ่มเติมได้คะ

http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1539.0
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / โยมฟังอาตมา บ้างนะ เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 03:25:54 pm
โยมฟังอาตมาบ้างนะ!

อาตมาอยากบอกโยมว่า...
1.ความคิดว่า "พระคือผู้ละแล้วซึ่งกิเลส" "ตัดแล้วซึ่งทางโลก" คำพูดเหล่านี้โยมพูดเองเออเอง ทั้งนั้น
ที่จริงต้องบอกว่า "พระคือ ผู้บวชเพื่อฝึกตนเองตามหลักคำสอนตามพระพุทธศาสนา บวชแล้วมีหน้าที่อุทิศให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก

(จะระถะ ภิกขะเว พะหูชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ = ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงท่องเที่ยวไปเพื่อบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก)"
ไม่ได้ให้บวชมาเฝ้าโบสถ์ เฝ้าศาลา นั่งหลับตา บอกใบ้ให้หวยดูดวง อาตมาเองก็แปลกใจ เวลาอาตมาชวนโยมมาฟังเทศน์โยมบอกว่า งานยุ่งไม่มีเวลาไปวัด น่าเบื่อ แต่พอเวลาอาตมาบอกจะดูดวงให้ โยมผู้หญิงที่ว่าโดนพระไม่ได้ เห็นพุ่งเข้าหาจนอาตมาหลบแทบไม่ทัน
(แบบว่าอยากรู้เรื่องเนื้อคู่อะ..... ที่เรื่องไม่ใช่กิจสงฆ์อย่างนี้ อยากถามจากพระจัง)

2."เมื่อบวชแล้ว พระต้องสละเรื่องทางโลกทุกอย่าง" นี่โยมก็พูดเองเออเอง อีกนั่นแหละ พระยังเป็นลูกของพ่อแม่เป็นพี่ของน้องๆ และเป็นลูกหลานของญาติทุกคน ยังต้องสงเคราะห์ดูและญาติพี่น้องตามสมควรขนาดหมาขี้เรื้อนโยมเอามาปล่อยที่วัด พระยังเลี้ยงให้ ใจคอจะให้ละทางโลกที่มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ข้างหลังเชียวหรือ

3.โยมรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราได้ ไม่ได้สอนให้ละทางโลกโดยสิ้นเชิงหรอกนะ

4.อยากบอกว่า ฉันนับถือเฉพาะพระพุทธ กับพระธรรมเท่านั้น ไม่นับถือพระสงฆ์ โยมเข้าใจผิดแล้ว
พระสงฆ์ที่อยู่ในพระรัตนตรัยนั้น คือ อริยสงฆ์ หรือใครก็ตาม(ทั้งบรรพชิตและฆราสวาส)ที่เป็นพระอรหันต์
โยมจำบทสวดมนต์ได้มั๊ย "สุปฏิปันโน สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ = ข้าพเจ้าของแสดงความนอบน้อม แด่พระสงฆ์สาวก ผู้ปฏิบัติดี"อาตมาเป็นสมมติสงฆ์ก็ต้องเคารพบูชาท่าน เอาท่านเป็นแบบอย่างเหมือนกัน ที่โยมคิดแบบนั้นเป็นเพราะโยมอาจทำบุญเยอะแต่ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะน้อยต่างหาก ลองศึกษาธรรมะเยอะๆ ปฏิบัติธรรมเยอะๆสิ โยมจะเข้าใจสัจจธรรมข้อนี้เอง

5.พระพุทธเจ้าสอนว่า "เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม"
การที่โยมเผลอไปแตะพระโดยไม่ตั้งใจไม่มีใครบาปหรอก ทั้งโยมและพระ แต่ถ้าใครกระทำโดยมีเจตนาถึงจะเป็นบาป

6.พระที่โยมเห็นมาจากไหนละ....ตอบ...ก็มาจากชาวบ้านนั่นแหละ พระดีก็มาจากโยมที่ดี
พระที่ไม่ดีก็มาจากโยมที่ไม่ดี ถ้าโยมอยากได้พระดี โยมก็เอาลูกหลานที่ดีมาบวชเยอะๆสิจ๊ะ จะได้มีพระที่ดีเยอะ ๆ รู้มั๊ยโยมหลายคนกำลังทำให้วัดเป็นที่ทิ้งขยะสังคม หมาแมวที่โยมไม่อยากเลี้ยงโยมก็เอาทิ้งวัด ลูกหลานติดยาเสพติด เกเรเป็นอันธพาล อาชญากร โยมก็เอาทิ้งวัด ถ้าโยมไม่อยากไหว้พระเลว ก็อย่าเอาเขามาบวชเลย
โยมเป็นพ่อแม่พี่น้องเป็นญาติเขายังไม่อยากให้เขาอยู่บ้านเลย ยังสอนเขาไม่ได้ อาตมาสอนเขาจะฟังเหรอ

7.พระไม่ได้บวชมาเพื่อหลับตานั่งสมาธิ เฝ้าวัด อย่างเดียวหรอกนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าหน้าที่พระมี 2 อย่าง :
7.1.คันถธุระ มีหน้าที่ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้า สืบทอดอายุพระศาสนา ประกาศพระศาสนา รักษาศาสนวัตถุของพระศาสนาบริหารกิจการคณะสงฆ์ คุ้มครองพระดี กำจัดพระเลว คอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยในการจัดทำเอกสาร สร้างสื่อการสอนพระพุทธศาสนาบันทึกข้อมูล และงานเอกสารอื่นๆ โยมเคยเข้าเว็บไซต์ของวัดต่างๆมั๊ย โยมเคยเห็น CAI เกี่ยวการสอนธรรมมะมั๊ยโยมเคยเห็นมั๊ยว่า เบื้องหลังพระผู้ใหญ่จะมีพระหนุ่มเณรน้อยกลุ่มหนึ่งทำงานเป็น STAFF คอยจัดทำเอกสารหนังสือ บันทึก ประกาศ ทำต้นฉบับหนังสือธรรมะ ทำ Powerpoint เวลามีงานประชุม สัมมนาทางพระพุทธศาสนาอยากบอกเลยว่า ทำไมสมัยพุทธกาล ไม่มีคอมพิวเตอร์ ก็ยังประกาศพระศาสนาได้ ก็ใช่สิจ๊ะ สมัยพระพุทธเจ้าทุกเย็นหลังรับประทานอาหารเย็นแล้ว ชาวบ้านจะพากันถือดอกไม้ธูปเทียนไปฟังธรรมเทศนา ไปคุยธรรมะกับพระที่วัดวันนี้ละ โยมจะได้มั๊ยว่า เดือนหนึ่งมีวันพระกี่วัน ครั้งล่าสุดที่โยมฟังเทศน์ที่วัดนั้น นานแค่ไหนแล้ว

7.2.วิปัสสนาธุระ = พระมีหน้าที่ปฏิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้นจากกิเลส เพื่อยืนยันใครก็ตามเมื่อปฏิบัติตามคำสอน
จะได้รับผลจากการปฏิบัติจริง ทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกัน นั่งหลับตาอยู่ในวัดอยู่ในป่าอย่างเดียวรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ศึกษาแต่คำสอนอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตามก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

8.สถาบันศาสนาก็เป็นส่วนย่อยของสังคมไทย เช่นเดียวกับสถาบันครอบครัว ข้าราชการ การเมือง สังคมไทยมีทั้งคนดีและคนไม่ดีสถาบันศาสนาก็เหมือนกันมีทั้งพระดีและพระไม่ดี พระพุทธเจ้าสอนว่า
นิคคัณหะ นิคคัณหาระหัง ปัคคัณหะ ปัคคัณหาระหัง (ข่มผู้ที่ควรข่ม ยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง) ทำไมโยมไม่แยกแยะละว่าถ้าท่านไปพันธ์ทิพย์เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้เป็นสื่อในการเผยแผ่พระศาสนาก็ควรส่งเสริมท่าน
แต่ถ้าท่านไปเพื่อไปซื้อหนังโป๊ ไปเดินตากแอร์ ไปหลีหญิง เช่นนั้นก็สมควรติเตียน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องแยกแยะ ไม่ควรเหมารวม

9.อยากบอกนะ ไม่ว่าอาตมาจะเดินพันธ์ทิพย์หรือที่ไหนก็ตาม อาตมาระวังมาก ถึงมากสุดๆ เพราะว่า
เวลาโยมเดินกันนะโยมเดินเหมือนเหม่อลอยไม่ตั้งสติกันเลย ราวกับไม่เอาวิญญาณมาด้วย บางทีโยมเดินตามทางเดินโยมเดินแบบหน้ากระดานเรียงสาม เรียงสี่กันทอดน่อง ลอยชาย แบบไม่คิดกันว่าจะมีคนอื่นๆ เช่น พระ
หรือคนอื่นๆเขาจะรีบเดิน คิดอยู่ในใจนะว่าน่าจะจับโยมเหล่านี้ไปเข้าคอร์สวิปัสสนาซัก 7 วัน จะได้รู้ว่า
เวลาโยมเดินนั้นขาดสติขนาดไหน (เหมือนไม่ได้เอาวิญญาณมาด้วยเลย)
อาตมาไปพันทิพย์นะไม่ได้รู้สึกว่าสนุกอย่างที่โยมคิดหรอกนะ เพราะต้องคอยหลบโยมกลัวเดินชน

10.อยากบอกโยมว่า อาตมามีหน้าที่รักษาพระศาสนาให้ครบห้าพันปีตามพุทธทำนาย โบสถ์ ศาลา กุฎิ จตุปัจจัย
อาหารบิณฑบาตที่โยมถวายมาพอแล้ว พระศาสนาไม่ได้มั่นคงเพราะสิ่งที่โยมถวายหรอก
แต่มันอยู่ที่ชาวพุทธหันมาศึกษาและปฏิบัติธรรมการมากกว่า

11.โยมหลายท่านบอกว่า "เป็นพระควรอยู่ที่วัดเท่านั้น ไม่ควรไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกมันเป็นที่ของโยม"
ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลย โยมรู้หรือไม่ว่า สมัยพระพุทธกาล พระไม่เคยอยู่กับที่เลย
ต้องจาริกไปสั่งสอนตามที่ต่างๆ พระพุทธเจ้าให้ออกไปประกาศพระศาสนาให้เข้าไปในสังคมโลก
ไปสอนคนให้ทวนกระแสโลก สอนให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก เพื่อให้โยมทั้งหลายเห็นว่า
วิถีชีวิตที่ประเสริฐมีอยู่ วิถีแห่งการฝึกตนเองเพื่อพ้นทุกข์มีอยู่ แบบอย่างที่ดีงาม
ไม่ได้สอนให้อยู่ที่วัดแล้วรอโยมมาหา ทำตัวเป็นเจ้าพิธีกรรม บอกใบ้ให้หวย ถ่มน้ำหมากขากน้ำมนต์
แต่โยมชอบจัง กระพี้คำสอนเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่พระพุทธเจ้าติเตียนว่าเป็นการหลอกลวงชาวโลกให้งมงายส่วนที่พระพุทธเจ้าสั่งให้อยู่ที่วัดนั้นก็คือช่วงสามเดือน ตอนเข้าพรรษาเท่านั้น ดังนั้น ความคิดของโยมที่ว่า
พระดีควรหมกตัวอยู่ จึงสวนกระแสพุทธดำรัสโดยสิ้นเชิงนั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ของพระในอุดมคติของโยมที่ละม้ายคล้ายพุทธรูปในโบสถ์เข้าไปทุกที

12.พระเลวไม่ได้มีแต่ในสมัยนี้หรอก สมัยพระพุทธเจ้าก็มี โยมอาจจะฮือฮาโกลาหลเวลาเห็นพระก่อคดีสะเทือนศรัทธาโยมรู้มั๊ยว่า ศีล 227 ข้อของพระนะมาจากการก่อคดีสะเทือนศรัทธาทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าจะเรียกพระเหล่านั้นมาสอบสวนและบัญญัติห้าม เป็นสิกขาบทให้พระรุ่นหลังอย่าได้เอาเยี่ยงอย่าง
ฆ่าคน ดื่มเหล้า เคล้าสีกา เคยเกิดมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้น ขนาดพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
มีพระอรหันต์ พระ และฆราวาสที่บรรลุธรรมมากมาย สิ่งเหล่านั้นก็ยังเกิดขึ้นอย่างว่าคนดีจะเป็นพระหรือเป็นโยม ก็เป็นคนดี คนชั่วจะเป็นพระหรือเป็นโยม ก็เป็นคนชั่ว หากเขาไม่กลับใจให้เขาไปบวชกับพระพุทธเจ้าสักร้อยพรรษาก็เป็นคนดีไม่ได้หรอกนั่นเป็นเพราะโยมไม่เคยศึกษาพระวินัยของพระต่างหาก จึงเหมาว่าพระสมัยนี้มีแต่เลวๆ

13.อย่าเอาพระทำชั่ว มาเป็นข้ออ้างเลยว่า ฉันจะเลิกทำบุญแล้ว ฉันจะเลิกนับถือพุทธศาสนาแล้ว
เลิกนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า
คนดีย่อมเอาคนชั่ว เป็นข้ออ้างในการละชั่วทำดี คนชั่ว ย่อมเอา คนชั่วเป็นข้ออ้างละดี ทำชั่ว

*** ขอความเจริญในธรรม จงมีแก่ทุกท่าน เทอญ ***


ที่มา พอดีไปอ่านพบเข้า เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ คะ
http://www.kusolsuksa.com/webboard/index.php?topic=955.0


เมื่อเช้าได้ดูข่า พระมหา นศ.รามคำแหง ที่ตกจากเรือเมล์ แล้วหายไป ก็นึกถึงสังคมพระ

มีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้ง คันถะธุระ และ วิปัสสนาธุระ ทั้งสองธุึระนี้ก็ล้วนสืบอายุพระพุทธศาสนา
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: โลกสลาย สวรรค์ล่ม พรหมพินาศ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 12:54:28 pm
 :25: :25: :13:
14  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เมตตาพรหมวิหาร กับ เมตตาอัปปมัญญา นั้นต่างกันอย่างไรในกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 12:50:56 pm
อ้างถึง
วิหิงสา การเบียดเบียน, การทำร้าย

อรติ ความขึ้งเคียด, ความไม่ยินดีด้วย, ความริษยา

ปฏิฆะ ความขัดใจ, แค้นเคือง, ความขึ้งเคียด ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ

ุ้ถ้าในส่วนนี้ ก็อ่านแล้ว คะ

แต่ ยังไม่เข้าใจว่า จะละได้อย่างไร ละได้ตอนไหน

เพราะการเจริญนั้น ต่างกันกับ เมตตา อย่างไร ?

คำบริกรรม ใช้อย่างไร ?

แต่ขอบคุณ คุณปุ้ม นะคะ ที่ยังให้คำตอบก่อนเหมือนเดิม

 :25: :88:
15  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 09:17:33 am
ในความหมายที่พระอาจารย์ ตอบมานั้น คือให้เชื่อในพระไตร ปิฏก ใช่ไหมเจ้าคะ

ในส่วนตัว สรุป ตามที่พระอาจารย์ ตอบมานะคะ

   คือ มารมี หลากหลาย รูปแบบ พระไตรปิฏก กล่าวไว้แล้ว

       มารมีทั้งที่มีตัวตน เพราะมีชื่อ มีเหล่า มีการปรากฏ เป็นรูป เป็นร่าง ตามพระไตรปิฏกบันทึกไว้

       มารมีทั้ง ที่เป็นกิเลส สภาวะ ของกิเลส

      หน้าที่ของมาร คือ ขัดขวางการบรรลุธรรม และ ขัดขวางการเผยแผ่พระธรรม

     

       
อ้างถึง
ที่สงสัย ก็คือ มาร เมื่อทำบาป แล้ว จะได้ผลบาป หรือป่าว ครับ

 ในพระไตรปิฏก มีกล่าวถึงว่าได้รับโทษจากบาปที่ทำหรือป่าวครับ

  ตามความเข้าใจส่วนตัวนะคะ มารได้รับโทษแล้วในตัว จึงได้เป็น มาร


 :25: :25:

16  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เมตตาพรหมวิหาร กับ เมตตาอัปปมัญญา นั้นต่างกันอย่างไรในกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 09:12:32 am
อ้างถึง
ดูกรราหุล  เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้

ดูกรราหุล เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่   จักละวิหิงสาได้

ดูกรราหุล  เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด   เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่  จักละอรติได้

ดูกรราหุล เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละ ปฎิฆะได้

อ่านแล้ว ก็เหมือนจะเข้าใจ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็ไม่เข้าใจ คะ

เพราะ ที่ไม่เข้าใจก็คือ

        1. เมตตา ละ พยาบาท ได้ อันนี้เข้าใจคะ

        2. กรุณา ละ วิหิงสา ได้ ไม่เข้าใจคำว่า วิหิงสา คืออะไร

        3. มุทิตา ละ อรติ ได้ ไม่เข้าคำว่า อรติ คืออะไร

        4. อุเบกขา ละ ปฏิฆะ ได้ ไม่เข้าใจ ปฏิฆะ คืออะไร


ขอความกรุณา ช่วยเพิ่ม อรรถาธิบาย เพิ่มอีกนิดนะคะ

สาธุ ใครตอบไว ขอให้สำเร็จธรรมโดยไว

 :25: :25:

17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อานิสงค์ การเดิน จงกรม ...... ที่ควรทราบ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 01:01:32 pm
ปกติ พระอาจารย์ ก็มักจะสอนให้ ลูกศิษย์ เดินจงกรม และ นั่งกรรมฐาน

อยู่แล้ว โดยเฉพาะ เรื่องการเดินจงกรม ธาตุ ทำไมไม่มีสมาชิก กล่าวถึงกันเลย

มีเพื่อน ๆ สมาชิก ท่านใด ฝึกเดินจงกรม ธาตุ อยู่คะ ไปถึงขั้นไหนแล้ว เล่าสู่กันฟัง กันได้หรือป่าวคะ

 :25: :25:
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สมาธิสูตร ว่าด้วยเรื่อง สัมมาสมาธิ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:59:21 pm
อ่านแล้ว ก็ยังทราบถึง น้ำใจพระอาจารย์

ที่พยายามค้นคว้า พระไตรปิฏก นำเรื่อง สมาธิ มาให้ศิษย์ได้อ่านกัน เรื่อย ๆ

โยมยังติดตามเรื่อง อานาปานัสติ อยู่นะคะ

 :25: :25:
19  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คุณฝึกกรรมฐาน อะไร อยู่ขณะนี้ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 07:36:27 pm
จากที่ดูโพลล์ แล้ว แสดงว่าสมาชิก ทั้งหมด กำลังฝึก กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

อนุโมทนา ด้วยคะ

ที่ลำปาง กำลังว่าจะหาโอกาสนิมนต์ พระอาจารย์ มาเผยแผ่ พระกรรมฐาน เพิ่ม คะ

ที่วัดทาง ลำปาง  พระท่านก็ไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะแนะนำ พุทโธ หายใจเข้าออก คะ

 :25: :25:
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: พระสงฆ์ที่น่านับถือ กราบไหว้ ของสระบุรี มีใครบ้างครับ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 07:33:17 pm
เรียน คุณทินกร เว็บมาสเตอร์

เรื่องนี้ ด้วยคะ อยากให้ปักหมุด ไว้จะได้อ่านกันได้โดยไม่ต้องหา คะ

 :25: :25:

21  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 07:32:02 pm
เรียน คุณทินกร น่าจะปักหมุด เรื่องนี้นะคะ
เพราะเห็นเป็น เรื่องสำคัญประจำปี ที่ 228 คะ

สาธุ สาธุ สาธุ
22  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: RDN ( Radio net online ) ทดสอบสถานีวิทยุ มัชฌิมา อาร์ดีเอ็น เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 07:30:44 pm
วันนี้ พึ่งได้รับฟัง เรื่อง วสี เป็นครั้งแรก รู้สึกเข้าใจมากกว่าเดิม

ไม่เคยได้ฟังพระอาจารย์ บรรยายแบบนี้เลย


อนุโมทนา สาธุ

 :25:
23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบวช แบบ เอสาหัง และ อุกาสะ แตกต่างกันอย่างไร คร้า่ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 07:28:56 pm
เป็นปลื้ม มาก ๆ ที่เห็น คุณ nathaponson ตอบรายละเีอียด

จริืง ๆ ตามอ่านตั้งแต่เช้ายันค่ำ แล้ว ต้องยกนิ้ว ให้เลยว่า

เป็นนักบุญ ผู้แจกทาน จริง ๆ


อนุโมทนา คะ
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: ไปหนองคายมา ก็พบกับ พระแก้วมรกตมาคะ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 03:17:11 pm



ภาพใหญ่ ดูชัด ๆ หน่อยนะคะ


อนุโมทนา ด้วยคะ
25  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 03:04:58 pm
หลวงพี่เฉย ขอชมภาพด้านหลัง พระอรหัง และ พระสีวลีมหาเถระ ด้วยคะ

เห็นแต่ด้านหน้า แล้ว ยังติดใจส่วน ด้านหลัง

ขอบพระคุณเจ้าคะ

 :25: :25:
26  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / 10 วิธีบอกรักแม่ ( จู - จิราพร ) เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 02:24:36 pm
http://thammasatu.com/forum/index.php?topic=8639.0

เห็นเขียนไว้ดี ก็ตามไปอ่านนะคะ
27  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 01:27:45 pm
 ฆัตวาวรรคที่ ๘         
                       ฆัตวาสูตรที่ ๑       
        [๑๙๘] เทวดานั้น ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วย
คาถาว่า
ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก  ข้าแต่พระโคดม
พระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ
        [๑๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียจึงไม่เศร้าโศก แน่ะ
เทวดา พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธ ซึ่งมีราก
เป็นพิษ มียอดหวาน เพราะฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
28  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 01:15:17 pm
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ - หน้าที่ 174
                      แม่เรือนชื่อเวเทหิกา     
         [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละมีแม่เรือนคน     
หนึ่งชื่อว่าเวเทหิกา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เกียรติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาขจรไปแล้ว   
อย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แม่เรือนเวเทหิกา มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี ต่อมา นางกาลีได้
คิดอย่างนี้ว่า เกียรติศัพท์อันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา 
เป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้ นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ 
ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยู่เลย หรือว่านายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้     
ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย จำเราจะ
ต้องทดลองนายหญิงดู วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึ้นสาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายแม่
เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี นางกาลีจึงขานรับว่า อะไรเจ้าขา.   
     เว. เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย. 
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงลุกขึ้น จนสาย ดังนี้แล้ว     
โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง.
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่า นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ 
ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ   
ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลอง       
นายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถัดจากวันนั้นมา นางกาลีทาสี จึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีก   
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี.   
     กา. อะไรเล่า เจ้าข้า.     
     เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย.     
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงนอนตื่นสายเล่า. 
ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น นางกาลี   
ทาสีจึงคิดดังนี้ว่า นายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มี   
ความโกรธ ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อย     
ดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ดังนี้ ดูกรภิกษุ   
ทั้งหลาย แต่นั้นมา นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย ก็ร้อง   
ด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลีตัวร้าย.
     กา. อะไรเล่า เจ้าข้า.     
     เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า.
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีชาติชั่ว ก็ไม่เป็นอะไร ทำไมจึงนอนตื่นสายนักเล่า ดังนี้แล้ว       
โกรธจัด จึงคว้าลิ่มประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะทำลายหัวมึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย คราวนั้น   
นางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม จึงเที่ยวโพนทะนา ให้บ้านใกล้เคียงทราบว่า คุณแม่     
คุณพ่อทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิด ทำไมจึงทำแก่     
ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ ปากก็ว่า       
กูจะทำลายหัวมึง ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมา เกียรติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกา     
ก็ขจรไปอย่างนี้ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็นคนดุร้าย ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย     
แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้น เป็นคนสงบเสงี่ยมจัด 
เป็นคนอ่อนโยนจัด เป็นคนเรียบร้อยจัด ได้ก็เพียงชั่วเวลาที่ยังไม่ได้กระทบด้วยคำอันไม่   
เป็นที่พอใจเท่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด เธอกระทบถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจเข้า ก็ยังเป็น 
คนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละ ควรถือว่าเธอเป็น
คนสงบเสงี่ยม เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อยจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกภิกษุรูปที่       
เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เพราะเหตุได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะแลคิลานปัจจย
เภสัชบริขารว่า เป็นคนว่าง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุรูปนั้น
เมื่อไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขารนั้น ก็จะไม่เป็นคนว่าง่าย     
จะไม่ถึงความเป็นคนว่าง่ายได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุรูปใดแล มาสักการะเคารพ นอบ 
น้อมพระธรรมอยู่ เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เราเรียกภิกษุรูปนั้นว่า เป็นคนว่าง่าย       
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ - หน้าที่ 176
ดังนี้ เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้สักการะ เคารพ     
นอบน้อมพระธรรม จักเป็นผู้ว่าง่าย จักถึงความเป็นคนว่าง่ายดังนี้.
29  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สติปัฏฐาน สี่ ก็มีนะคะ ดาวน์โหลด ได้ที่หน้านี้ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 11:59:34 am
เป็นไฟล์แนบ แต่ต้องเป็นสมาชิก ถึงจะดาวน์โหลดได้คะ

 :25: :25:
30  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สัญญา 10 เป็นหนึ่งในยาที่รักษาป่วยไข้ ด้วย เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 11:57:23 am
ดิฉันได้ไปอ่าน คิริมานนทสูตร สูตรที่ว่าถึงความป่วยของพระคิลิมานนท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน

พระอานนท์ ให้นำยา คือ สัญญา 10 ไปกล่าวต่อ พระคิลิมานนท์ ท่านจึงได้หายจากอาพาธ

สูตร นี้มีชื่อเป็นทางการว่า อาพาธสูตร

อยากให้เพื่อนสมาชิก ที่เจ็บ ที่ป่วย ที่ลำบาก อยู่ได้ นำไปอ่าน เพื่อภาวนา หรือ นำไปภาวนา

ถ้าเืชื่อและเคารพในพระพุทธองค์ ก็ย่อม หายจากป่วย ได้ เจ้าคะ

 :25: :25:
31  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: อานาปานสติ ทบทวนใน สโตริกาญาณ 16 คะ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 11:49:40 am
ส่งเรื่องต่อให้พระอาจารย์ คะ ตอนนี้พระอาจารย์เริ่ม โพสต์เรื่อง อานาปานสติ แล้วคะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=811.0

 :25:
32  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: อนัตตา มีความหมายอย่างไร คะ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 11:48:32 am
ในเรื่องของ สุญญตา ต้องตามไปอ่านตรงนี้ด้วยคะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=403.0

 :25:
33  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: บทนำของ โพชฌงคปริต นั้น สามารถต่อชีวิตได้หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 11:45:25 am
ดิฉันได้ลอง ถอดคำสาธยาย เพิ่มเติมให้สมบูรณ์

อ้างถึง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สติสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน             
ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้     
มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สติสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมะวิจยะสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิริยะสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว         
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


การสาธยายของพระจุนทะ จริง ๆ ก็มีเพียงเท่านี้ สินะคะ พระอาจารย์
34  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 12:10:34 pm
ดิฉัน ได้สอนหนังสือเด็กนักเรียน

ทุกครั้ง ก็จะทุ่มเทการสอนให้ ทั้งสอน และทบทวน ไม่หลบ ไม่อู้

ติดตามเอาใจใส่การเรียนของนักเรียน

เพราะสงสาร เด็กนักเรียน บางคนก็มีฐานะยากจน ส่วนใหญ่ ปานกลาง

มีอยู่บางครั้ง สอนเด็กนักเรียนลงไปแล้ว เด็กนักเรียน เกเร และดื้อ จนทำให้โมโห

หรือ โกรธ จนไม่อยากจะสอน แต่ก็ดับอารมณ์ด้วยอารมณ์ รู้ว่าเราโกรธ อยู่นะ

นั่งเงียบ เจริญสติ แล้ว ก็กลับมาสู่บทบาทครูที่ดีเหมือนเดิม

ที่สงสัยคือ เมื่อเรามีเมตตากับเด็ก อยากให้เด็กเป็นคนดี เรียนเก่ง เป็นกำลังของครอบครัวเขา และชาติ

ทำไมอารมณ์ เมตตาตัวนี้ หวังดีอันนี้ ทำไมจึงต้องโกรธด้วย

ทั้ง ๆ ที่การเจริญเมตตา กรุณา น่าจะให้ผลคือ ไม่โกรธ ไม่พยาบาท

 :25: :25:
35  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ต้องการให้พระอาจารย์ บรรยายเรื่อง อานาปานสติ เจ้าคะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 12:04:24 pm
อยากให้พระอาจารย์ บรรยายเรื่อง อานาปานสติ เจ้าคะ

เพราะกำลังกรรมฐาน กองนี้อยู่คะ


 :25: :25:
36  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อานาปานสติ ทบทวนใน สโตริกาญาณ 16 คะ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 05:31:53 pm
สโตริกาญาณ 16

คือส่วนนี้คะ
เมื่อ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว  เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว.

เมื่อ หายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น  เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น.

ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำเหนียก ว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักระงับกายสังขาร หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติ หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุข หายใจ ออก ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุข หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต สังขาร หายใจ ออก ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขาร หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริง หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่น หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่น หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักเปลื้องจิต หายใจ ออก ย่อม สำเหนียกว่า จักเปลื้องจิต หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความ เป็นของไม่เที่ยง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียก ว่า จักพิจารณาธรรมอัน ปราศจากราคะ หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะ หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็น ที่ดับสนิท หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า.

ย่อม สำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ สละคืน หายใจ ออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจเข้า.
37  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เกี่ยวกับเรื่อง เซ็น เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 04:50:18 pm
สาธุ กับเรื่อง เสียวลิ้มยี่

และความรู้เรื่องเซ็น

 :25: :25:
38  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมพูทวีป คือที่ไหน ? อยากรู้ต้องอ่านครับ เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2010, 09:07:11 am
ใครหาที่มา ของพระสูตร บทนี้ได้แล้ว ช่วย

นำมาแสดงเพื่อความกระจ่าง หน่อยนะคะ

 :17: :17: :17: :17:
39  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมพูทวีป คือที่ไหน ? อยากรู้ต้องอ่านครับ เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2010, 09:02:12 am
จากเว็บพลังจิต


ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้

ทวีปต่างๆในจักรวาล
๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
-มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
-สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง
-ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน
-ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เป็นแผ่นดินกว้าง ๙,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
-มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้ว ผลึก
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
-มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
-มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
-มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
-มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
----------------------------------
*ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลายซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์ พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขาสัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก

 :smiley_confused1:
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมพูทวีป คือที่ไหน ? อยากรู้ต้องอ่านครับ เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2010, 09:00:03 am
จากวิกิพีเดีย

ลองเข้าไปอ่าน แล้วก็อึ้ง เหมือนกัน

ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ดังนี้

ที่อยู่ของมนุษย์ หรือมนุสสภูมินั้น อยู่บนพื้นดิน(หรือเรียกว่า ดาวเคราะห์)ลอยอยู่กลางอากาศ ในระดับเดียวกับไหล่เขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่ในทิศทั้ง 4 ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล (หรือทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียก กาแล็กซี่)ผืนแผ่นดินใหญ่(ดาวเคราะห์)ทั้ง 4 ที่ลอยอยู่ในทิศทั้ง 4 เรียกว่า ทวีป มีชื่อและที่ตั้ง ดังนี้

   1. ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
   2. อมรโคยานทวึป(อปรโคยานทวีป) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ
   3. ชมพูทวีป(โลกมนุษย์ที่เราอยู่) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ
   4. อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ

ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน) -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน -สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

เรื่องของชมพูทวีป เหตุที่เรียกชื่อดังนี้ เพราะทวีปนี้มีไม้หว้าเป็นพญาไม้ประจำทวีป (ต้นชมพู่ แปลว่าต้นหว้า) ไม้หว้าต้นนี้อยู่ในป่าหิมพานต์ ลำต้นวัดโดยรอบ ๑๕ โยชน์ จากโคนถึงยอดสูงสุด ๑๐๐ โยชน์ จากโคนถึงค่าคบสูง ๕๐ โยชน์ ที่ค่าคบมีกิ่งทอดออกไปในทิศทั้ง ๔ แต่ละกิ่งยาว ๕๐ โยชน์ วัดจากโคนต้นไปทางทิศไหนก็จะสูงเท่ากับความยาวในแต่ละทิศ คือ ๑๐๐ โยชน์ ใต้กิ่งหว้า ทั้ง ๔ นั้น เป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านไปในทิศทั้งหลาย ผลหว้ามีกลิ่นหอม รสหวานปานน้ำผึ้ง หมู่นกทั้งหลายชวนกันมากินผลหว้าสุกนั้น บางทีผลสุกก็หล่นลงตามฝั่งแม่น้ำ แล้วงอกออก เป็นเนื้อทอง และถูกน้ำพัดออกไปจมลงในมหาสมุทร เรียกทองนั้นว่า ทองชมพูนุท เพราะอาศัยเกิดมาจาก ชมพูนที

ความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทวีปทั้ง 3 ยกเว้นชมพูทวีป มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะ ทำให้อาหารการกิน และน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนเหมือน อย่างในชมพูทวีป ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ใน 3 ทวีป มีศีลธรรมที่เป็นปกติ สม่ำเสมอ ส่วน มนุษย์ในชมพู-ทวีป มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมาก บางคนสุขสบาย บางคนลำบาก บางคนปานกลาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน

แต่ละยุคในชมพูทวีป อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในชมพูทวีป มีความแตกต่างกันมากที่สุดก็ว่าได้

   1. อังคะ
   2. มคธะ
   3. กาสี
   4. โกศล

   

   5. วัชชี
   6. มัลละ
   7. เจตี
   8. วังสะ

   

   9. กุรุ
  10. ปัญจาละ
  11. มัจฉะ
  12. สุรเสนะ

   

  13. อัสสกะ
  14. อวันตี
  15. คันธาระ
  16. กัมโพชะ

และมีแคว้นเล็กๆ อีก 5 แคว้นคือ สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และอังคุตตราปะ

แคว้นพระบิดาของพระพุทธองค์ก็อยู่ในแคว้นเล็ก ๆ นี่อาณาจักรเหล่านี้ปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือ พระราชามีอำนาจเด็ดขาดบ้าง ระบบสามัคคีธรรม คือมีสภาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ระบบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาถือกำเนิดในแผ่นดินอินเดีย จึงควรจะได้ศึกษาภูมิหลังของอินเดียในยุคก่อนการกำเนิดของพุทธศาสนาพอสังเขป ดังนี้

ชนชาติที่เชื่อกันว่า เป็นชนชาติดั่งเดิมของอินเดียคือ เผ่าซานโตล (Santole) มุนดา (Mundas) โกลาเรีย (Kolaria) ตูเรเนียน (Turanians) ดราวิเดียน (Dravidians) คนพวกนี้เป็นพวกผิวดำจำพวกหนึ่ง ปัจจุบันยังพอมีหลงเหลืออยู่ที่รัฐพิหาร และเบงกอล ของอินเดีย


 :smiley_confused1:
หน้า: [1] 2 3