ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่  (อ่าน 15699 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มาร ผู้ขัดขวาง จะเป็น พญามารสุรัสสวตี หรือ บรรดายักษ์ นันทกะ เป็นต้น

หรือ ขณะที่อานนท์ ถูก ดลใจ ด้วยมาร

ลูกสาวมาร นางตัณหา นางราคา นางราคี นั้น

มีตัวตนอยู่ จริง หรือ เป็นเพียง สภาวะ

ในสัมมาทิฏฐิ นั้น ให้ความเชื่อเรื่อง พวกนี้อย่างไรครับ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 06:34:12 pm »
0


             เรื่องของนางตัณหา, นางราคา, นางอรดี ธิดามารทั้งสามนั้น ผมก็มีความกังขาสงสัยไม่แพ้

คุณชาติชายว่า เอ!...มันมีอยู่จริงแน่หละหรือ แต่เดิมทีผมคิดว่าเป็นปุคคลาธิษฐานจากการแต่งเติมของครูบา

อาจารย์ในยุคก่อน ยอมจริงๆว่าไม่เข้าใจ จนกระทั่งวันหนึ่งผมนั้นมีโอกาสได้สนทนาธรรมเบื้องลึกกับครูบา

อาจารย์จึงได้เข้าใจ ซึ่งน่าแปลกว่าทำไมอนุสัยกิเลสเบื้องลึกที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานถึงได้ผุดเอานางมารมา

ยั่วยวนเอาเมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ธิดามารทั้งสามนางนั้นแท้จริงแล้ว เป็นอนุสัยกิเลสเบื้องลึก ที่พระอริยะเจ้าต้อง

เจอ แม้องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังเผชิญ

          หากถามว่ามีจริงไหมก็ขอตอบว่ามีจริง แล้วอะไรจริง ก็อนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องในสันดานนี้มีอยู่มันสร้าง

รูปธรรมที่ปรากฏเป็นจริงให้เห็นอย่างนั้น แม้กับพระอาจารย์เราเองก็เจอมาแล้วอย่างที่กล่าวมาด้วยครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2010, 07:16:17 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
มาร มีตัวตน หลายแบบ พระไตรปิฏก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 10:35:47 pm »
0
เรื่องของมาร ปรากฏ ในพระไตรปิฏมากมาย หลายตอน

ทั้งที่เป็น ปุคคลธิษฐาน และ ธรรมาธิษฐาน

มีนามของมาร ก็หลาย มาร ด้วยกัน

แต่ขอสรุปใ้ห้รู้จักมาร ในพระไตรปิฏก ที่ปรากฏ เป็นกลุ่มของมาร มีดังนี้

1.พระยามาร

2.ธิดามาร

3.มารผู้มีบาป

4.กิเลสมาร

5.ขันธมาร

6.มัจจุมาร

7.บ่วงมาร

8.ธาตุมาร

9.คติมาร

10.อายตนะมาร

11.อุปปัตติมาร

12.ปฏิสนธิมาร

13.ภวมาร

14.สังสารมาร

15.อัฏฏมาร

16.อภิสังขารมาร

17.เสนามาร

และที่ พระอาจารย์ ได้อ่านดูในพระไตรปิฏกแล้ว แสดงถึง รูปลักษณ์ ของมารอย่างชัดเจน

หน้าที่ ของมารคือ ผู้ขัดขวาง หลอกล่อ ไม่ให้ มนุษย์ ได้สำเร็จเป็น พระอรหันต์

ดังจะยกเรื่อง ของ มารผู้มีบาป หรือ ปาปมาร ในเรื่องของ พระโคธิกะ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2010, 10:24:51 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
พระโคธิกะ ผู้ประหารตนด้วย ศัสตรา
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 10:50:12 pm »
0
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค - หน้าที่ 149

โคธิกสูตรที่ ๓       
         [๔๘๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้       
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทาน
 เหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ       
     ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ
         
         [๔๘๙] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้
 บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้ง
 ที่ ๒ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร  มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
 แม้ในครั้งที่ ๒ ก็ได้เสื่อมจาก   เจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๓ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่
 ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๓ ก็ได้เสื่อม 
 จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๔ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิต
 มั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๔ ก็ได้เสื่อม  จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
 นั้น แม้ครั้งที่ ๕ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติ
 อันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๕ ก็ได้เสื่อม  จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๖ ท่านโคธิกะ
 เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๖
  ก็ได้เสื่อม  จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๗ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
 มีจิตมั่นคงอยู่ ก็ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์อีก ฯ       
     ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
 ถึง ๖ ครั้งแล้ว ถ้ากระไรเราพึงนำศัสตรามา ฯ   
       
         [๔๙๐] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่าน โคธิกะด้วยจิตแล้ว
 จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
     
              ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่ มีปัญญามาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และ
              ยศ ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งคู่
              ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อันมรณะครอบงำแล้ว
              ย่อมคิดจำนงหวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ขอ
              พระองค์จงห้ามสาวกของพระองค์นั้นเสียเถิด ฯ
         ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีใน
 พระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์อันตัดเสียซึ่งมานะ ยังเป็นพระ
 เสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาลเสียเล่า ฯก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำ
 ศัสตรามาแล้ว ฯ
 
         [๔๙๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึง ได้ตรัสกะมาร ผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
             ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอน
             ตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว ฯ
 
         [๔๙๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัส ว่า ภิกษุทั้งหลาย
 เรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่โคธิกกุลบุตร    นำศัสตรามาแล้ว ฯ 
     
     ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ           
     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุหลายรูปได้เข้าไปยังกาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ
     
     พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมีคออันพลิกแล้ว นอนอยู่     บนเตียงที่ไกล
 เทียว ก็เวลานั้นแล ควันหรือหมอกพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ ฯ           
 
         [๔๙๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวก เธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้นพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศ ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศ เบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุ
 ทั้งหลาย นั่นมารผู้มีบาป เที่ยวแสวงหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของโคธิก
 กุลบุตรตั้ง อยู่ ณ ที่ไหน
     
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณอันไม่ตั้งอยู่แล้วปรินิพพาน
แล้ว ฯ

 
 
 

เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระโคธิกะ ผู้ฆ่าตัวตาย หลังจากเข้าสู่ เจโตสมาธิอันเป็นโลกีย์แล้ว สละความไม่ยึดมั่น ถือมั่น
 
 ในกาย ใช้ศัสตราประหารตนเอง ระหว่างที่จะสิ้นใจ จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์
 
 อ่านแล้ว ไม่พึงทำตาม เพราะว่า ถ้าพลาดพลั้งในธรรม ก็มีอบาย รออยู่
 
 ที่แสดงให้ทราบ ก็เพราะเป็นเรื่อง ของ มารผู้มีบาป ได้ทราบความตั้งอยู่แห่งพระอรหัต ของพระโคธิกะ ในครั้ง
 
 ที่ 8 จักเป็นไป จึงไปทูลกับ พระพุทธเจ้า ให้มาห้าม พระโคธิกะ ซึ่งพระองค์ก็เสด็จมา พร้อมภิกษุจำนวนหนึ่ง
 
 แต่ พระโคธิกะ นั้นสิ้นใจก่อนแล้ว พร้อมกับการพยากรณ์ พระอรหัตผล ของพระโคธิกะ ให้บรรดาภิกษุทรา
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 06:54:30 am »
0
อ่านเรื่องนี้ แล้ว รู้สึกยังไม่รู้จัก มารดี เลย

มารมีเยอะจัง

 :25:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

nimit

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • เรามาเพื่อจรรโลงพระกรรมฐาน
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 10:49:41 pm »
0
้เสริม อีก มาร ครับ ที่มีในพระไตรปิฏก

17. เสนามาร ครับ

แม้มารจะมีหน้าที่คอยขัดขวาง การบรรลุธรรม ของพระอรหันต์ แต่

ก็มีมารที่คอยตัดรอนชีวิต พระอรหันต์ ด้วยครับ

ที่ปรากฏ เป็น เป็นวัวแม่ลูกอ่อน ที่ไล่ขวิด พระอรหันต์ ที่ยังไม่ได้บวชให้ สิ้นใจก่อนได้บวช หลายองค์ครับ

กล่าวว่าแม่วัว นี้ก็เป็นมาร



ที่สงสัย ก็คือ มาร เมื่อทำบาป แล้ว จะได้ผลบาป หรือป่าว ครับ

ในพระไตรปิฏก มีกล่าวถึงว่าได้รับโทษจากบาปที่ทำหรือป่าวครับ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ธรรมจักรสถิตอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นมีแต่ความร่มเย็น

ปักษาวายุ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 96
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 12:35:47 am »
0
 :s_good: :25:
บันทึกการเข้า

TCnapa

  • สมาชิก
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 82
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 09:17:33 am »
0
ในความหมายที่พระอาจารย์ ตอบมานั้น คือให้เชื่อในพระไตร ปิฏก ใช่ไหมเจ้าคะ

ในส่วนตัว สรุป ตามที่พระอาจารย์ ตอบมานะคะ

   คือ มารมี หลากหลาย รูปแบบ พระไตรปิฏก กล่าวไว้แล้ว

       มารมีทั้งที่มีตัวตน เพราะมีชื่อ มีเหล่า มีการปรากฏ เป็นรูป เป็นร่าง ตามพระไตรปิฏกบันทึกไว้

       มารมีทั้ง ที่เป็นกิเลส สภาวะ ของกิเลส

      หน้าที่ของมาร คือ ขัดขวางการบรรลุธรรม และ ขัดขวางการเผยแผ่พระธรรม

     

       
อ้างถึง
ที่สงสัย ก็คือ มาร เมื่อทำบาป แล้ว จะได้ผลบาป หรือป่าว ครับ

 ในพระไตรปิฏก มีกล่าวถึงว่าได้รับโทษจากบาปที่ทำหรือป่าวครับ

  ตามความเข้าใจส่วนตัวนะคะ มารได้รับโทษแล้วในตัว จึงได้เป็น มาร


 :25: :25:

บันทึกการเข้า
ถึงเป็นครูบ้านนอก แต่ก็ไม่ออกจากศีล และธรรม นะจ๊ะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
มาร ๕
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 10:12:39 pm »
0
มาร ๕
มาร คือ สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม

๑. กิเลสมาร
มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต


๒. ขันธมาร
มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ ๕ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง


๓. อภิสังขารมาร
มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์


๔. เทวปุตตมาร
มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้


๕. มัจจุมาร
มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย



พระยามารที่มีเรื่องราวปรากฏบ่อยๆ ในคัมภีร์ คอยมาแทรกแซงเหตุการณ์ต่างๆ ในพุทธประวัติ เช่น ยกพลเสนามาผจญพระมหาบุรุษในวันที่จะตรัสรู้

       พระองค์ชนะพระยามารได้ด้วยทรงนึกถึงบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา มารในกรณีเช่นนี้ บางทีท่านอธิบายออกชื่อว่าเป็น สวัตดีมาร

      ซึ่งครองแดนหนึ่งในสวรรค์ชั้นสูงสุด แห่งระดับกามาวจรคือ ปรนิมิตวสวัตดี เป็นผู้คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้มิให้ล่วงพ้นจากแดนกาม ซึ่งอยู่ในอำนาจครอบงำของตน


ที่มา  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม และประมวลศัพท์(ป.อ.ปยุตโต)



ผมหามาคุยเป็นเพื่อนนะครับ เผื่อใครจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
 :49: ;) :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 19, 2012, 10:07:05 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การเผชิญกับมารของพระพุทธเจ้า
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2010, 12:57:29 pm »
0
 

การเผชิญกับมารของพระพุทธเจ้า



พญามารขวางไม่ให้ออกบรรพชา
    เมื่อเสด็จข้ามพระนครไปแล้ว ขณะนั้นพญามารวัสวดี ผู้มีจิตบาป เห็นพระสิทธัตถะสละราชสมบัติ เสด็จออกจากพระนคร เพื่อบรรพชา จะล่วงพ้นบ่วงของอาตมาซึ่งดักไว้ จึงรีบเหาะมาประดิษฐานลอยอยู่ในอากาศ ยกพระหัตถ์ขึ้นร้องห้ามว่า

    ดูกร พระสิทธัตถะ ท่านอย่ารีบร้อนออกบรรพชาเสียก่อนเลย ยังอีก ๗ วันเท่านั้น ทิพยรัตนจักรก็จะปรากฏแก่ท่าน แล้วท่านก็จะได้เป็นองค์บรมจักรพรรดิ์ เสวยสมบัติเป็นอิสราธิบดี มีทวีใหญ่ทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ขอท่านจงนิวัตนาการกลับคืนเข้าพระนครเถิด

    พระสิทธัตถะจึงตรัสว่า ดูกรพญามาร แม้เราก็ทราบแล้วว่า ทิพยรัตนจักรจะเกิดขึ้นแก่เรา แต่เราก็มิได้มีความต้องการด้วยสมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น เพราะแม้สมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น ก็ตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ ไม่อาจนำผู้เสวยให้พ้นทุกข์ได้ ท่านจงหลีกไปเถิด

    เมื่อทรงขับพญามารให้ถอยไปแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกะราช ชาติมโนมัยไปจากที่นั้น บ่ายหน้าสู่มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัสดุ์บุรี เหล่าเทพยดาก็ปลาบปลื้มยินดี บูชาด้วยบุบผามาลัยมากกว่ามาก บ้างก็ติดตามห้อมล้อมถวายการรักษาพระมหาบุรุษเจ้าตลอดไป




พญามารกรีธาทัพ
    พญาวสวัตดีมารแสวงหาโอกาส  เพื่อจะทำลายหนทางบรรลุพระโพธิญาณของพระองค์  เมื่อได้ทราบว่า  ทรงอธิษฐานจิตตั้งมั่นจะไม่ลุกจากรัตนบัลลังก์ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์  จึงได้เรียกไพร่พล พร้อมศาสตราวุธนานาชนิด  และเนรมิตกายเป็นรูปต่างๆ    บางพวกก็เนรมิตกายเป็นยักษ์มีรูปร่างน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัว แสดงอาการประหนึ่งจะเข้ามาประหัตประหารให้ถึงสิ้นพระชนม์ให้จงได้


    พญามารจึงไส พญาช้างคีรีเมขล์ เข้าไปกวัดแกว่งสรรพอาวุธพร้อมตะโกนประกาศก้องว่า
    “รัตนบัลลังก์นี้เป็นของเรา เกิดขึ้นด้วยบุญเรา ไพร่พลเสนานี้เป็นพยานท่านจงเร่งลุกออกไป”

           
   พระบรมโพธิสัตว์จึงเปล่งสีหนาทตอบว่า
   “ดูก่อนพญามาร รัตนบัลลังก์นี้เป็นของเรา  เกิดขึ้นด้วยบุญ อันเราสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน พระธรณีเป็นพยานแห่งเรา”



    ทันใดนั้น พระแม่ธรณีวสุนธรา ก็ปรากฏกายขึ้นกระทำอัญชลีกราบอภิวาทต่อพระบรมโพธิสัตว์ เปล่งวาจาประกาศเป็นพยานในการบำเพ็ญมหากุศลของพระองค์แล้วบิดเกศาของตนทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยว หลั่งไหลท่วมนองในสถานที่นั้น ยกเว้นเขตรัตนบัลลังก์  กระแสน้ำไหลปานประดุจมหาสมุทรท่วมท้น  จนหมู่มาร ไม่สามารถจะดำรงกายอยู่ได้  ถูกน้ำพัดพาลอยไปตามกระแสคลื่นจนหมดสิ้น

 

ขับธิดามาร
    สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งสมาธิ ณ ใต้ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) เป็นเวลาอีก ๗ วัน

    ในลำดับนั้นธิดาของพญาวสวัตดีมารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี อาสาที่จะทำให้พระพุทธองค์ตกอยู่ในอำนาจให้จงได้  จึงได้ทำการประเล้าประโลมด้วยวิธีการต่างๆ   แต่ไม่สามารถจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์หวั่นไหวสั่นคลอนได้ ธิดาพญามารทั้ง ๓ จึงปรารภว่า

    “พญามารผู้เป็นบิดา กล่าวเตือนไว้ถูกต้องแล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีบุคคลผู้ใดในโลกจะชักนำไปสู่อำนาจแห่งตนได้โดยแท้  เพราะเป็นผู้ปราศจากกิเลสตัณหาโดยสิ้นแล้ว” แล้วพากันกลับไปสำนักแห่งพญามาร




แสดงโอฬาริกนิมิต
  ในเวลาเช้า ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชา พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ เมืองไพศาลี ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ได้แสดง โอฬาริกนิมิต คือ ตรัสให้พระอานนท์ทราบว่า “ผู้ใดเจริญ อิทธิบาทภาวนา หรืออิทธิบาท ๔ สมบูรณ์ดีแล้ว ผู้นั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง หรือเกินกว่าได้ตามประสงค์”
    แม้พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงนิมิตถึง ๓ ครั้ง
    แต่พระอานนท์ ก็มิได้ทูลอาราธนาให้ดำรง พระชนมชีพอยู่ตลอดกัปหนึ่ง
    เพราะเหตุที่พญามารได้เข้าดลใจ




ห้ามมาร
    เมื่อพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก มิได้ทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าดำรง พระชนม์อยู่ตลอดกัปหนึ่ง พระพุทธองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ลุกออกไปเสียจากที่นั้น พระอานนท์ถวายอภิวาทแล้วออกไปนั่งไม่ไกลจากที่ประทับนัก ฝ่ายพญามารวสวัตดี เห็นสบโอกาสรีบเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลว่า

    “ครั้งแรกเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จประทับใต้ต้นไทร ได้ตรัสว่า ตราบใดที่พุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังมิได้ตั้งมั่นในธรรม และพรหมจรรย์ยังไม่ได้ประกาศแพร่หลายบริบูรณ์ด้วยดี สำเร็จประโยชน์แก่ประชุมชนเป็นอันมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์เพียงใดแล้วพระองค์จะยังไม่ปรินิพพานก่อนเพียงนั้น  แต่บัดนี้ พุทธบริษัท ๔ และพรหมจรรย์ก็สมบูรณ์ดังพุทธประสงค์ทุกประการแล้วขอจงปรินิพพานเถิด”



    เมื่อพญามารกราบทูลอาราธนาดังนี้ พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า
    “มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด ความปรินิพพาน ของตถาคตจะมีในไม่ช้านี้ นับแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน ตถาคตจะปรินิพพาน”



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก  http://www.buddha-thushaveiheard.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 19, 2012, 09:56:36 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรนาม_พุทโธ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 48
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 03:17:13 am »
0
มาร อีกตน ที่น่ากลัว ครับ

  มารยา หรือ มายา ครับ

  อันนี้ น่ากลัว มาก ๆ เลย


 :08: :25:
บันทึกการเข้า
เมื่อ......แสงธรรม เจิดจรัส สว่างจ้าในใจ เมื่อนั้น ก็จะเห็นพระพุทธองค์
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ตถาคต

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 04:10:33 pm »
0
มีเพลงมาเสริมด้วย คร้า

 พลง      มารยา
ศิลปิน    ฉันทนา กิติยะพันธ์
รหัสเพลง    02390

        มารยา
        ฉันทนา กิติยะพันธ์
        Gmเพลง...มารยา...
        INTRO....
        มารยา เป็นดั่งศาสตรา
        ของฆาตกร
        มารยา เริงร่าเร่าร้อน
        บางครั้ง อ่อนหวาน
        เยือก เย็น
        สวยงาม เมื่อเห็น
        คล้ายเป็น สวรรค์
        เสน่ห์ แห่งมัน
        อาจรู้เท่าทันเมื่อวันสิ้นใจ
        คำ นึง
        ภาพเธอ ติดตรึง
        ซึ้งในอุรา
        คำ นึง
        ถึงถ้อยวาจาน่ารักสดใส
        ใฝ่..ปอง
        หมายเป็นเจ้าของ
        ลิ้มลองรูปกาย
        ผู้ งมงาย
        ตกเป็นทาสใจในมารยา
        โอ้ มารยา โอ้ มารยา
        โอ้ มาร..ยา
        มารยา กู่ร้องคร่ำครวญ
        ชวนให้ใจผวา
        มองไม่เห็น
        ชัดเจนด้วยตา
        ร่ำหา ช่างน่าสงสาร
        มารยาซ่อนเร้นใน คน
        สถิต สากล จักรวาล
        ฉันคนเขลา
        ไม่เข้าใจมัน
        จึงโดนโทษทัณฑ์ มารยา
        โอ้ มารยา โอ้ มารยา
        โอ้ มาร..ยา
        มารยา กู่ร้องคร่ำครวญ
        ชวนให้ใจผวา
        มองไม่เห็น
        ชัดเจนด้วยตา
        ร่ำหา ช่างน่าสงสาร
        มารยาซ่อนเร้นใน คน
        สถิต สากล จักรวาล
        ฉันคนเขลา
        ไม่เข้าใจมัน
        จึงโดนโทษทัณฑ์ มารยา
        ฉันคนเขลา
        ไม่เข้าใจมัน
        จึงโดนโทษทัณฑ์ มารยา
        โอ้ มารยา
        โปรดอย่า ประหาร
        ฉัน เลย..

บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 04:54:18 pm »
0
ขอโทษครับน้องหมวยนีย์ โบราณว่า "มารยาหญิงมี ๑๐๐ เล่มเกวียน"

หมายความว่าอะไรครับ ผมไม่มีเจตนาดูหมิ่นเพศแม่นะครับ

เห็นโพสต์เพลงมารยา ก็เลยมาคุยด้วย

หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะเมตตาตอบให้นะครับ

 :) :) ;) ;) :49: :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ธิดามาร ใช้ มารยา เป็นเครื่องมือ ต่อ พระพุทธองค์
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 05:03:33 pm »
0
มารยา หญิง แม้เป็นร้อยเล่มเกวียน

แต่เล่ห์เหลี่ยม ชายนั้น ปัจจุบันเป็น ตู้เลยคะ

แต่ละคน เข้ามาหลี ก็หวังจะ...พิชิต ทั้งพวกเจ้าชู้ กรุ้มกริ่ม หมวยเจอแทบทุกวัน

ยิ่งใน ม. แล้ว ใช้กลเม็ด เด็ดพราย ไม่ซ้ำกันสักวัน

บ่นตามประสา หญิง นะ คร้า ... เพื่อเชิดชู คุณผู้ชาย ว่า ร้ายกว่าหญิง มากคะ สมัยนี้


ที่นี้ มารยา เกี่ยวกับเรื่อง มารอย่างไร หรือ คะ

ก็ มารยา เป็น เครื่องมือ ของธิดา มาร คะ ที่จะ พิชิต มหาบุรุษ อย่างพระพุทธองค์

หมวยนีย์ ลองเข้าไปอ่าน พระสูตรตอน พระองค์ผจญ ธิดามารแล้ว

ซึ่งทั้งสามนาง ก็ใช้วิธี หลากหลาย ร้อยเล่มเกวียน ตามที่คุณปุ้มบอกนะคร้า เพื่อให้พระพุทธองค์

ตกอยู่ใต้อำนาจ แห่ง ตัณหา ราคะ และยินดี

แต่ที่สุด ทั้ง 3 นางก็พ่ายแพ้ แ่ก่พระพุทธองค์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า

การก้าวสู่ ความเป็นพระอริยะบุคคลขั้นสูง ก็ต้องผ่านด่านทดสอบ ของ ธิดามาร ด้วย คร้า

 :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2010, 05:05:16 pm โดย หมวยจ้า »
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 08:18:59 pm »
0
มารยา หญิง แม้เป็นร้อยเล่มเกวียน

แต่เล่ห์เหลี่ยม ชายนั้น ปัจจุบันเป็น ตู้เลยคะ

แต่ละคน เข้ามาหลี ก็หวังจะ...พิชิต ทั้งพวกเจ้าชู้ กรุ้มกริ่ม หมวยเจอแทบทุกวัน

ยิ่งใน ม. แล้ว ใช้กลเม็ด เด็ดพราย ไม่ซ้ำกันสักวัน

บ่นตามประสา หญิง นะ คร้า ... เพื่อเชิดชู คุณผู้ชาย ว่า ร้ายกว่าหญิง มากคะ สมัยนี้


ทำไมดุจังครับ  >:(ต่อไปก่อนจะถาม คงต้องพิจารณาให้หนักๆ :33:

วาจาห้าวหาญอย่างนี้ ต้องยกให้เป็นซือหมวย ผมยอมจริงๆ

ว่าแต่ผู้ชายเจ้าชู้ที่ซือหมวยเจอ มีกี่ประเภท ช่วยวิเคราะห์เป็นวิทยาทานให้หน่อยครับ

เมตตาก็ขอไปแล้ว คราวนี้ขอ "กรุณา" ล่ะกัน

ขอความกรุณาด้วยคร้าบ

 ;) :58: :49: :c017:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2010, 09:20:42 pm »
0
ถ้ามารไม่มีตัวตน  แล้วพระพุทธเจ้าและพระเยซูมาเล่าเป็นตุเป็นตะให้เราฟังว่า เจอพญามาร เจอซาตาน  พวกท่านก็โกหกซิ
บันทึกการเข้า

SAWWALUK

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 246
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2012, 11:58:32 am »
0
้เสริม อีก มาร ครับ ที่มีในพระไตรปิฏก

17. เสนามาร ครับ

แม้มารจะมีหน้าที่คอยขัดขวาง การบรรลุธรรม ของพระอรหันต์ แต่

ก็มีมารที่คอยตัดรอนชีวิต พระอรหันต์ ด้วยครับ

ที่ปรากฏ เป็น เป็นวัวแม่ลูกอ่อน ที่ไล่ขวิด พระอรหันต์ ที่ยังไม่ได้บวชให้ สิ้นใจก่อนได้บวช หลายองค์ครับ

กล่าวว่าแม่วัว นี้ก็เป็นมาร



ที่สงสัย ก็คือ มาร เมื่อทำบาป แล้ว จะได้ผลบาป หรือป่าว ครับ

ในพระไตรปิฏก มีกล่าวถึงว่าได้รับโทษจากบาปที่ทำหรือป่าวครับ

 :25: :25:

  การที่บุคคลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้ว ถูก มารทำให้เสียงชีวิต นั้นมารจะได้ประโยชน์อะไรคะ เพราะเท่ากับขัดขวางการบรรลุธรรมไม่ได้ใช่หรือไ่มีคะ


  :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า