ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผลของบุญและบาป จะปรากฏได้ใน ๒ กาล  (อ่าน 677 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28363
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ผลของบุญและบาป จะปรากฏได้ใน ๒ กาล
« เมื่อ: มีนาคม 18, 2021, 06:09:03 am »
0



ผลของบุญและบาป จะปรากฏได้ใน ๒ กาล

ปุญฺญปาปวิปาโก จ อตีตกตกมฺมุนา ทิฏฺฐธมฺเม ปโยเคน ทฺวิเหตูหิ ปวตฺตติ (คำแปล) บุญและบาปจะส่งผลได้ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะกรรมที่บุคคลกระทำไว้แล้วในอดีต ๑ เพราะปโยคในปัจจุบันชาตินี้ ๑

แปลโดยพยัญชนะ :-
จ – ก็
ปุญฺญปาปวิปาโก – อ. ผลแห่งบุญและบาป
ปวตฺตติ – ย่อมเป็นไปได้
ทฺวิเหตูหิ – เพราะเหตุ ท. ๒ ประการ
(อิติ คือ)
อตีตกตกมฺมุนา – เพราะกรรมที่บุคคลกระทำไว้แล้วในอดีต ๑
ปโยเคน – เพราะปโยคะ
ทิฏฺฐธมฺเม – ในปัจจุบันชาตินี้ ๑
(การประจวบเข้ากับเหตุในปัจจุบัน)

@@@@@@@

ผลของบุญและบาป จะปรากฏได้ใน ๒ กาล คือ

๑) ในขณะแห่งปฏิสนธิกาล ผลของบุญและบาปนั้น ก็คือ ตัวปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ และรูปปฏิสนธินั่นเอง ทำหน้าที่ถือปฏิสนธิ คือสืบต่อภพใหม่ ใน ๓๑ ภูมิ

๒) ในปวัตติกาล ก็คือ ภายหลังแต่สัตว์นั้นปฏิสนธิแล้ว วิบากปวัตติวิญญาณก็ทำหน้าที่ ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ก็แปรเปลี่ยนหน้าที่มาทำหน้าที่ภวังค์เป็นต้น และปวัตติวิญญาณส่วนหนึ่ง ก็ทำหน้าที่ในปัญจทวารวิถีบ้าง เช่น จักขุวิญญาณ ทำหน้าที่เห็น เป็นต้น บางส่วน ก็ทำหน้าที่ทางมโนทวาร เช่น สันตีรณจิต ๓ มหาวิปากจิต ๘ ทำหน้าที่ ตทารัมมณกิจ เป็นต้น ฯ จึงรวมเป็นปวัตติวิบากวิญญาณ ๓๒ (โลกียวิบาก ๓๒)

การทำหน้าที่ทั้ง ๒ กาล คือ ปฏิสนธิกาลและปวัตติกาลนั้น จะต้องมีปโยคในปัจจุบันประกอบด้วย คือ ในปฏิสนธิกาล สัตว์ที่จะได้ชื่อว่า ปฏิสนธินั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ ได้แก่
    (๑) มาตาปิตโร สนฺนิปติตา โหนฺติ. = มารดาบิดาร่วมเสพสังวาสกัน
    (๒) มาตา อุตุนี โหติ. = มารดามีระดู (คือมีไข่สุกในระยะพร้อมที่จะผสม)
    (๓) คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ. = มีคันธัพพะเข้ามาปรากฏเฉพาะหน้า

_________________________________
(มหาตัณหาสังขยสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 452)

@@@@@@@

คำว่า “คนฺธพฺโพ” ในที่นี้ อรรถกถาไขความว่า “ตตฺรูปคสตฺโต” (ตัด-ตฺรู-ปะ-คะ-สัด-โต, แยกศัพท์เป็น ตตฺร + อุปค + สตฺต) แปลว่า “ปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาอยู่ในที่นั้น”

    ปฏิสนธิวิญญาณมาจากไหน.?
    ก็มาจากอดีตกรรม ถ้าไม่มีอดีตกรรม ก็ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ, และผู้ที่จะไม่มีปฏิสนธิวิญญาณอีกต่อไป ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น ฯ

    ส่วนปวัตติวิญญาณนั้น ก็คือ โลกียวิปากจิต ๓๒ ได้แก่
    - ภวังคจิต ๑๙ (หมายเอาขณะทำหน้าที่ภวังค์เท่านั้น และอุเบกขาสันตีรณจิต ๒, มหาวิปากจิต ๘ ขณะทำหน้าที่ สันตีรณกิจ,ตทารัมมณกิจ)
    - ทวิปัญญจวิญญาณจิต ๑๐ (ทำหน้าที่ ทัสสน, สวนะ, ฆายนะ, สายนะ, ผุสนะ)
    - โสมนัสสันตีรณจิต ๑ (ทำหน้าที่ สันตีรณกิจ, ตทารัมมณกิจ)
    - สัมปฏิจฉนจิต ๒ (ทำหน้าที่สัมปฏิจฉนกิจ)

ปวัตติวิญญาณเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยปโยคในปัจจุบันเข้าประกอบ เช่น จักขุวิญญาณจิต ๒ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัย จักขุปสาท, รูปารมณ์, เจตสิก, แสงสว่าง, ความใส่ใจ

แท้จริงแล้ว จักขุวิญญาณจิต ๒ เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่เกิดมาแต่กุศล-อกุศลกรรมในอดีต เช่นเดียวกันกับปฏิสนธิวิญญาณ ให้ดูความสืบเนื่องกันของปฏิจจสมุปบาท คือ
    - อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (เจตนากรรม ๒๙)
    - สังขาร (เจตนากรรม ๒๙) เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ (โลกียวิบาก ๓๒, ปฏิสนธิวิญญาณ+ปวัตติวิญญาณ)

แต่ปวัตติวิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น จะเกิดได้นั้นก็ต้องมีการปฏิสนธิสืบต่อภพใหม่ เป็นสัตว์-บุคคล ในปัญจโวการภูมิก่อน หลังจากนั้นอาศัยปโยคะในปัจจุบัน ดังที่ได้กล่าวแล้ว จึงทำให้จักขุวิญญาณจิตเป็นต้น เหล่านั้นเกิดขึ้นได้อีกทอดหนึ่ง ฯ




ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2020/01/15/ผลของบุญและบาป-จะปรากฏไ/
๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ,บทความของ VeeZa
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 23, 2021, 06:47:15 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ