นิยามความหมาย กับคำถามที่ว่า “ทุกคนเกิดมาทำหน้าที่อะไร.?”
คำว่า “หน้าที่” ภาษาบาลีใช้คำว่า “กิจฺจ, กิจฺจํ” มีภาวะความเป็นไป ๒ อย่าง คือ
๑) หน้าที่ที่เป็นไปตามสภาวธรรมนั้น ๆ
๒) หน้าที่ที่เป็นไปตามบัญญัติธรรม อันเป็นไปตามแบบแผนประเพณีของขาวโลก
หน้าที่ที่เป็นไปตามสภาวธรรมนั้น ๆ เช่น จิต แต่ละอย่าง แต่ละชนิด ย่อมมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน เช่น จักขุวิญญาณ ก็มีหน้าที่เห็น (ทัสสนกิจ), โสตวิญญาณ ก็มีหน้าที่ได้ยิน (สวนกิจ) โลภมูลจิต ก็มีหน้าที่เสพอารมณ์ เป็นต้น
หน้าที่อันเป็นไปเพื่อปฏิสัมพันธ์กับคนตนเองและคนในสังคม ครอบครัว และสังคมใหญ่ เรียกว่า “หน้าที่ที่เป็นไปตามบัญญัติธรรม” เช่น พ่อ-แม่ มีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร, ครู อาจารย์ มีหน้าที่สั่งสอน อบรมศิษย์ ชาวนา มีหน้าที่ทำนา ข้าราชการก็มีหน้าที่นั้นๆ ตามกฎเกณฑ์สิ่งที่รับมอบหมายอันเกี่ยวเนื่องกับสังคม
นิยามของ กับคำถามที่ว่า “ทุกคนเกิดมาทำหน้าที่อะไร ?” ผู้เขียนแสดงความเห็นสั้นๆว่า
“มนุษย์เกิดมา มีหน้าที่อะไร.?”
คำนิยามสั้น ๆ คือ “ทุกคนเกิดมามีหน้าที่ตามสถานะของตนๆ”
ไม่มีการกำหนดเจาะจงลงไปว่า บุคคลพึงทำหน้าที่อะไร แต่การทำหน้าที่ตามสถานะของตนๆนั้น ก็จะเป็นไปใน ๒ ลักษณะ คือ
๑) เป็นไปเพื่อตน, หรือเพื่อประโยชน์ตนเอง
๒) เป็นไปเพื่อผู้อื่น, หรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น คือสังคม
@@@@@@@
อภิปราย :-
“หน้าที่” คือกิจ ที่พึงกระทำ คือ แสดงออกมาทางกาย และวาจา (ทั้งกายและวาจา ก็เนื่องมาจากจิตใจ)ในทางอภิธรรม คือ “กายวิญญัตติ, วจีวิญญัติ” คือการเคลื่อนไหว กาย วาจา อันสำเร็จมาแต่จิต นั่นเอง (วิญญัติรูป มีจิต เป็นสมุฏฐาน) การเคลื่อนไหวกาย(ทำทางกาย) และวาจา(คือการพูด หรือสื่อเทียมการพูด) เป็นไปในลักษณะ ๒ อย่าง คือ
๑) มีเจตนา จงใจเข้าลักษณะของการกระทำกรรมอันเรียกว่า “กุศลกรรมบถ, และ อกุศลกรรมบถ”
๒) ไม่มีเจตนา ไม่จงใจ คือการกระทำนั้น ๆ ไม่จัดเข้าในองค์ของกุศลหรืออกุศลกรรมบถ แต่เป็นปกติของการเคลื่อนไหวกาย วาจานั้น เท่านั้น
โดยความมุ่งหมาย เมื่อพูดถึงคำว่า “หน้าที่” ในที่นี้แปลว่า “กิจที่บุคคลพึงทำหรือต้องทำ” ก็ต้องหมายเอา “การเคลื่อนไหวกาย วาจาที่มีเจตนา มีความจงใจที่จะทำกิจนั้น ๆ ซึ่งจะต้องมีกรรมบถเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
กิจหรือหน้าที่ที่บุคคลต้องกระทำ หรือพึงกระทำ ย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเกี่ยวข้องกับสถานะของบุคคล ซึ่่งอาจแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆก่อน คือ
๑) สถานะของนักบวช (บรรพชิต)
๒) สถานะคฤหัสถ์ (ฆราวาส) ผู้ครองเรือน
@@@@@@@
“นักบวช” ผู้ที่ถือข้อวัตรปฏิบัติในศาสนา ประพฤติปฏิบัติไปตามครรลอง หรือข้อกำหนดของศาสนานั้นๆ ซึ่งก็แตกต่างกันไป ภารกิจ หน้าที่ก็แตกต่างกันออกไปทั้งชายและหญิง และนักบวชนั้น ก็มีสถานะที่ลดหลั่นกันลงไป เช่นนักบวชในพุทธศาสนา ก็มี
– ภิกษุ
– ภิกษุณี
– สามเณร
– สามเณรี
– สิกขมานา
ก็จะมีศีล ข้อวัตรปฏิบัติแตกต่างกันออกไป แต่ศีลและข้อวัตรปฏิบัติทั้งหมด จะแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
๑) เป็นไปเพื่อประโยชน์ตน
๒) เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือสังคม
ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักบวช ผู้เป็นคฤหัสถ์ ครองเรือน ก็ย่อมมีกิจ คือหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปตามสถาน เช่น เป็น พ่อ-แม่ เป็นเกษตรกร เป็นครู-อาจารย์,นักเรียน-นักศึกษา, เป็น ทหาร ตำรวจ พ่อค้า นักการเมือง รัฐบาล ทุกคน มีกิจ มีหน้าที่ที่จะพึงกระทำด้วยกันทั้งนั้นฯ และกิจหรือหน้าที่ของบุคคลนั้นๆ ก็จะจัดอยู่ใน ๒ ลักษณะดังกล่าวแล้ว คือ เป็นไปเพื่อตน และเป็นไปเพื่อผู้อื่น
– ไม่มีใคร มุ่งทำกิจเพื่อตนอย่างเดียว
– และไม่มีใครมุ่งทำกิจเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว
แต่ทุกคนทำกิจหน้าที่ทั้งเพื่อตนเอง และผู้อื่นด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ส่วนไหนจะมาก-น้อยกว่ากัน และทำอย่างถูกต้องครบถ้วน สมบูรณ์หรือไม่ อย่างไร.? ไม่มีใครจะสามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่า ควรทำกิจเพื่อตนน้อย ทำเพื่อผู้อื่นให้มากๆ หรือทำเพื่อผู้อื่นให้น้อยๆ ทำเพื่อตนเองให้มากๆ หรือทำให้พอดีๆ สม่ำเสมอ ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและเพื่อประโยชน์คนอื่น อาจจะหาข้อกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ว่า อย่างไหนน้อย อย่างไหนมาก หรือเท่าไรถึงพอดีๆ
@@@@@@@
ข้อสำคัญในทางพุทธศาสนา กำหนดในเบื้องต้นว่า
๑) บุคคลจะอยู่ในสถานะใด เพศใด ภาวะใด จะทำกิจเพื่อตนหรือเพื่อบุคคลอื่น ควรให้กิจนั้นเป็นไปอย่างสุจริต ไม่ล่วงละเมิดอกุศลกรรมบถ ไม่ละเมิดหรือเบียดเบียนสิทธิของผู้อื่น
๒) เมื่อบุคคลมีความสามารถ มีปัญญา บุคคลนั้น ๆ ก็จะทราบเองว่า กิจของตน ประโยชน์ของตน มีขอบเขตแค่ไหนเพียงไร, กิจเพื่อผู้อื่น ประโยชน์ของผู้อื่น มีขอบเขตมากน้อย แค่ไหนเพียงไร, ผู้นั้นจะกระทำกิจนั้น ๆ ตามความเหมาะสม ตามโอกาส และตามความสามารถของตนเอง
ว่าโดยหลักการแห่งพุทธศาสนา ประโยชน์ที่ตนเองจะพึงได้พึงถึง มี ๓ อย่างคือ
๑) ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในปัจจุบันชาตินี้
๒) สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในปัจจุบันชาติหน้า
๓) ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่ง หมายเอาพระนิพพาน
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวก จัดว่าเป็นผู้ทำกิจเพื่อตนเองให้บริบูรณ์แล้ว และได้ทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนเดียว แต่สิ่งที่ท่านเหล่านั้นกระทำ บางครั้งก็ไม่อาจเติมเต็มให้สัตว์ทั้งหลายบริบูรณ์ได้ทั้งหมดได้ ย่อมทำให้บริบูรณ์ได้ในบางพวกบางเหล่าเท่านั้น ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับบุญ-บารมี อินทรีย์ทั้ง ๕ ประการของสัตว์เหล่านั้นๆด้วย
บางครั้งเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่า บุคคลในโลกนี้ มี ๔ จำพวก คือ
๑) บุคคลที่ทำกิจของตนบริบูรณ์แล้ว และช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่นด้วย
๒) บุคคลที่ทำกิจของตนบริบูรณ์แล้ว แต่ไม่ช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเลย
๓) บุคคลที่ยังไม่ทำกิจของตนให้บริบูรณ์ แต่ช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
๔) บุคคลที่ยังไม่ทำกิจของตนให้บริบูรณ์ และไม่ช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเลย
@@@@@@@
บุคคลผู้ทำกิจของตนให้สมบูรณ์ บริบูรณ์ด้วยดีแล้ว จึงจะสามารถทำกิจของผู้อื่นให้บริบูรณ์ได้โดยไม่มีข้อบกพร่อง หรือคำติฉินจากผู้อื่น ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย ยถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต”
“บัณฑิต พึงตั้งตนไว้ในฐานะที่สมควรก่อน จึงค่อยสั่งสอนผู้อื่น จะทำให้ไม่ต้องเศร้าหมองในภายหลัง”
(ธรรมบท ภาคที่ ๖ อัตตวรรค)
แต่อย่างไรก็ตาม แม้บุคคลในลำดับที่ ๒, และที่ ๓ คือ
– บุคคลที่ทำกิจของตนบริบูรณ์แล้ว แต่ไม่ช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเลย
– บุคคลที่ยังไม่ทำกิจของตนให้บริบูรณ์ แต่ช่วยทำกิจคือทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
ก็ยังจัดได้ว่า ช่วยขวนขวายในกิจตน และกิจผู้อื่น ย่อมยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้ในส่วนหนึ่ง ขอบคุณ :
dhamma.serichon.us/2019/11/24/นิยามของผม-กับคำถามที่ว/เขียนโดย VeeZa ,๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
24 พฤศจิกายน 2019 ,posted by admin.