ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล  (อ่าน 9745 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

สายฟ้า

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
วันก่อนเพื่อน ๆ ผม มันมายืนด่าประจานผมในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ ต่อหน้า คุณครู เพื่อน ๆ

ทำให้ผมได้รับความอับอาย ซึ่งผมก็โกรธจนระงับโทสะไม่ได้ เกรี้ยวกราด แสดงพลัีงแบบคนพาลชน

สมกับชื่อผมว่า สายฟ้า แต่ความโกรธ ที่คั่งแค้น มันไม่หายไปเร็ว เหมือน สายฟ้า ยังคุกรุ่น อยู่ร่วม 2 วัน

พร้อมความอับอาย ที่กระทำไป



มีวิธีปฏิบัติ ระงับความโกรธ แบบกระทันหัน หรือป่าวครับ ในกรรมฐาน

มีขั้นตอนที่ทันอย่างไร โปรดแนะนำ หน่อยครับ


 :17: :17:
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2010, 10:22:22 pm »
0
สำหรับ บุคคลปุถุชชน นั้นการที่ได้รับความอับอาย ย่อมมีความโกรธ กับผู้เหยียดหยาม

การระงับความโกรธเป็นไปไม่ได้ สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน ที่สติยังพร่อง

ดังนั้น จะมีความเป็นไปได้ต้องมีการฝึกฝน กรรมฐาน

ความโกรธของปุถุชนนั้น เหมือน กองไฟ ราดน้ำมัน

โดยพื้นฐาน ปุถุชน จะระงับความโกรธ ด้วย อาการสงบ ถึงแม้ในใจจะุคุกรุ่นด้วยเพลิงแค้น

แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉพาะหน้าในส่วนนั้นแล้ว ก็ควรจะสลายด้วยการแผ่เมตตาพื้นฐาน

ขอให้ตนเองมีความสุข ขอให้ตนเองมีความสุข ขอให้ตนเองมีความสุข ควรทำก่อนเป็นอันดับแรก


สำหรับ พระโยคาวจร นั้นเมื่อได้รับการท้าทาย ด้วยความโกรธ ก็จะติดดับ เหมือน ไฟตะเกียง จะลดจะดับได้

ด้วยการลดเชื้อ แต่ก็มีสิทธิ์ โหมขึ้นอยู่ เพราะยังอยู่ในช่วงฝึกฝน

เพราะมีการฝึกฝนปฏิบัติ ในจิตแล้วพอสมควรด้วย กรรมฐาน ต่าง ๆ ด้วยเหตุที่จิต เป็นสมาธิ บ้างแล้ว

ด้วยเหตุของ ศีล และ  ปัญญา


ความโกรธของ พระโสดาบัน นั้นเหมือน ดวงเทียน คือแผ่ว ๆ หวั่นไหว ตามแรงลม ติด ๆ ดับ ๆ

ดังนั้น เพราะอำนาจการภาวนา เข้าถึงการละสังโยชน์ 3 ประการได้ จึงเป็นเหตุให้ ความโกรธนั้น ดับได้

ด้วยการภาวนา อย่างรวดเร็ว



ความโกรธ ของ พระสกทาคามี นั้นเหมือน ถ่านไฟใกล้หมอด ในกองขี้เถ้า อันปราศจากเชื้อ ถึงจะโกรธ

ก็แค่ความขัดเคือง ชั่ววูบ แต่ไม่สร้างกรรม กับผู้ใด คงเหลือ แต่ใจที่ต้องภาวนาให้มอดตาม



ความโกรธ ของ พระอนาคามี นั้นไม่มีแล้วเหมือน ไฟที่มอดหมดเชื้อ เพราะอำนาจภาวนา เพราะสิ้นสังโยชน์

ทั้ง 5 ประการ


ดังนั้น ในระดับ ชั้นปุถุชน ก็คงต้องเริ่มจากการนับ 1 ให้ถึง 1000

วิธีการที่จะให้สติ ทรงอยู่ไม่ไปตามอำนาจของความโกรธ

หมั่น ระลึกถึง พระพุทธพจน์ของว่า  ฆ่าความโกรธ เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข

                                      สุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบ นั้นไม่มี

ดังนั้นถ้าจะถามว่าวิธีระงับความโกรธ อย่างปัจจุบันแล้ว ก็คงต้องมีสติ พื้นฐาน คือตามระลึก

ถึง ศีล เป็นหลัก เพื่อไม่เติมเชื้อ เติมไฟ ของอำนาจโทสะ เข้าไปใส่ตัว


1    2  3  4   5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19 20

ผนวกลมหายใจเข้า และ ออก นับ 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10

ผนวก พุทโธ เข้า และ ออก กับลมหายใจ  1 2  3 4 5 6 7 8 9 10

ผนวก สติ ไปในฐานจิต

ผนวก สัมปชัญญะ ในฐานจิต

ผนวก ปัญญา เห็นจริง ในกฏแห่งกรรม มี ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น

ขั้นตอนก็มีเท่านี้ นะ แต่ก็คงนึกว่าทำยาก



ดังนั้นแนะนำเพิ่มในสถานการณ์

1. มีสติ กำหนดนับ 1 ถึง 1000

2. เมื่อมีสติ นับแล้ว ให้ออกจาก สถานที่มีความโกรธ

3. เมื่อออกแล้ว ก็แผ่เมตตา ให้กับตัวเอง มีความสุข

4. เมื่อแผ่เมตตา ให้กับตนเองแล้ว ก็ให้แผ่เมตตาให้กับมาร คือ ความโกรธ ด้วย

5. เมื่อแผ่เมตตาให้กับ มาร คือ ความโกรธ แล้ว ก็มาตามดูลมหายใจ เข้า และ ออก

เท่านี้ก็น่าจะพอกับ สภาวะที่มีความสุข ในขณะนั้นได้

ถึงแม้ปัญหา ที่เป็นเหตุแห่งความโกรธ จะยังไม่หมด เพราะเมื่อเราเข้าไปอีก กับ มาอีก จนกระทั่งใจเรา

พ้ฒนาสู่ความเข้มแข็ง ได้ในที่สุด

เพราะแท้ที่จริง แล้ว เราก็จักมองเห็นตามความเป็นจริง ว่า โกรธเขา เราก็ตาย ไม่โกรธ เราก็ตาย

เมื่อความตายมีอยู่กับ เราก็จะเข้าใจได้ว่า จะโกรธเขา หรือ ไม่โกรธ ดี นะ

 :25:
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

TCnapa

  • สมาชิก
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 82
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 01:15:17 pm »
0
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ - หน้าที่ 174
                      แม่เรือนชื่อเวเทหิกา     
         [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละมีแม่เรือนคน     
หนึ่งชื่อว่าเวเทหิกา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เกียรติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาขจรไปแล้ว   
อย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แม่เรือนเวเทหิกา มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี ต่อมา นางกาลีได้
คิดอย่างนี้ว่า เกียรติศัพท์อันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา 
เป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้ นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ 
ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยู่เลย หรือว่านายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้     
ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย จำเราจะ
ต้องทดลองนายหญิงดู วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึ้นสาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายแม่
เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี นางกาลีจึงขานรับว่า อะไรเจ้าขา.   
     เว. เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย. 
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงลุกขึ้น จนสาย ดังนี้แล้ว     
โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง.
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่า นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ 
ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ   
ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลอง       
นายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถัดจากวันนั้นมา นางกาลีทาสี จึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีก   
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี.   
     กา. อะไรเล่า เจ้าข้า.     
     เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย.     
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงนอนตื่นสายเล่า. 
ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น นางกาลี   
ทาสีจึงคิดดังนี้ว่า นายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มี   
ความโกรธ ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อย     
ดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ดังนี้ ดูกรภิกษุ   
ทั้งหลาย แต่นั้นมา นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย ก็ร้อง   
ด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลีตัวร้าย.
     กา. อะไรเล่า เจ้าข้า.     
     เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า.
     กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.       
     นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีชาติชั่ว ก็ไม่เป็นอะไร ทำไมจึงนอนตื่นสายนักเล่า ดังนี้แล้ว       
โกรธจัด จึงคว้าลิ่มประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะทำลายหัวมึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย คราวนั้น   
นางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม จึงเที่ยวโพนทะนา ให้บ้านใกล้เคียงทราบว่า คุณแม่     
คุณพ่อทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิด ทำไมจึงทำแก่     
ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ ปากก็ว่า       
กูจะทำลายหัวมึง ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมา เกียรติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกา     
ก็ขจรไปอย่างนี้ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็นคนดุร้าย ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย     
แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้น เป็นคนสงบเสงี่ยมจัด 
เป็นคนอ่อนโยนจัด เป็นคนเรียบร้อยจัด ได้ก็เพียงชั่วเวลาที่ยังไม่ได้กระทบด้วยคำอันไม่   
เป็นที่พอใจเท่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด เธอกระทบถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจเข้า ก็ยังเป็น 
คนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละ ควรถือว่าเธอเป็น
คนสงบเสงี่ยม เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อยจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกภิกษุรูปที่       
เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เพราะเหตุได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะแลคิลานปัจจย
เภสัชบริขารว่า เป็นคนว่าง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุรูปนั้น
เมื่อไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขารนั้น ก็จะไม่เป็นคนว่าง่าย     
จะไม่ถึงความเป็นคนว่าง่ายได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุรูปใดแล มาสักการะเคารพ นอบ 
น้อมพระธรรมอยู่ เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เราเรียกภิกษุรูปนั้นว่า เป็นคนว่าง่าย       
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ - หน้าที่ 176
ดังนี้ เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้สักการะ เคารพ     
นอบน้อมพระธรรม จักเป็นผู้ว่าง่าย จักถึงความเป็นคนว่าง่ายดังนี้.
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นครูบ้านนอก แต่ก็ไม่ออกจากศีล และธรรม นะจ๊ะ

TCnapa

  • สมาชิก
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 82
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 01:27:45 pm »
0
 ฆัตวาวรรคที่ ๘         
                       ฆัตวาสูตรที่ ๑       
        [๑๙๘] เทวดานั้น ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วย
คาถาว่า
ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก  ข้าแต่พระโคดม
พระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ
        [๑๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียจึงไม่เศร้าโศก แน่ะ
เทวดา พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธ ซึ่งมีราก
เป็นพิษ มียอดหวาน เพราะฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นครูบ้านนอก แต่ก็ไม่ออกจากศีล และธรรม นะจ๊ะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 04:11:54 pm »
0
เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ที่มา  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=523



ตอนที่ ๑
ชีวิตคือทุกข์.....ไม่มากก็น้อย


ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของ..... เด็กเล็กๆ อายุ 3 – 4 ขวบ
ชีวิตของ..... คนเฒ่าคนแก่ อายุ 100 ปี
ชีวิตของ..... คนยากจน ขอทานข้างถนน
ชีวิตของ..... มหาเศรษฐี

ชีวิตของ..... คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ชีวิตของ..... คนจบปริญญาเอก
ชีวิตชอง..... นักโทษประหาร
ชีวิตของ..... ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง
ชีวิตของ..... นักเลงการพนัน
ชีวิตของ..... ผู้ดีในสังคม

แต่ดูลึกๆ แล้ว ชีวิตของเราก็พอๆ กัน
ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ
โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ

ชีวิตคือทุกข์ ไม่มากก็น้อย

ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี
แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์
แสวงหาความสุขกันทั้งนั้น ตามสติปัญญาและ
ความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่าง
ก็เรียกร้อง “ความสุขๆ ๆ” กันทุกคน แต่ที่เราหนี
ไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น

..... ดอกไม้ ..... ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ไฟ..... คือ..... โทสะ
ไฟ..... คือ..... โลภะ
ไฟ..... คือ..... โมหะ

เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข
ไฟโทสะ ร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข
ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ
ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว
โลกทั้งหมดจะสงบเย็น
มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสาร
ควรแก่การเมตตา กรุณา


ตอนที่ ๒
ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี


พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ ความโกรธ ว่าเหมือนไฟ
เช่น ไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว

จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว
และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน
ไฟไหม้ป่า ล้วนแต่เผาทำลาย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน
ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจ
ทำลายชีวิตผู้คน บางครั้งเป็นพันๆ หมื่นๆ คนทีเดียว

แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ
ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี

เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจของเรา
คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี
ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ
ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!

ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว
ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่
ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้
เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก
จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี
ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม
ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

..... ดอกไม้ ..... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข
วัว ควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็น
พ่อแม่พี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้
จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ
ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน
พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย
อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อย ก็ชาตินี้ ก่อนตาย
จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป

อย่าคิดว่า เราต่างคนต่างอยู่ไม่เป็นไร
แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศก็ตาม
ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า
และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดูใจของตน
ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นใจอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม

นั่นแหละ ! ระวังให้ดี
ต่อไปจะเกิดมาพบกัน
และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน
นับภพนับชาติไม่ถ้วน

ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน
ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน
มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดี ให้ทาน
เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ
ทำประโยชน์ ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม
เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้
จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน
และเป็นการสร้างกรรมที่ดีต่อกัน

อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก
ก็จะเป็น พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน
เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน

ตอนที่ ๓
ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน


เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้

..... ดอกไม้ ..... พิจารณาดู..... สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ

เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่

เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว
จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล


ตอนที่ ๔
สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี
มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา
สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด
อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน
อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
พยายาม อบรมใจตนเองว่า
ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง
ชอบจับผิดแต่คนอื่น

..... ดอกไม้ ..... มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน
ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

เรามักทุ่มเทใจ
ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลางๆ
ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจจะมากกว่าเขา
แต่ความรู้สึกของเรา มักจะรังเกียจเขา
และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย น่ากลัวจริงๆ

สังเกตดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโห ว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก
ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม….. ก็อาจจะไม่
เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ
อย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลางๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก
อย่าเชื่ออารมณ์
อย่ายินดียินร้าย


ตอนที่ ๕
เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะโกรธ


..... ดอกไม้ ..... เรื่องนี้อาจเป็นประสบการณ์ของผู้ขับขี่รถยนต์
หลายๆ คนก็เป็นได้ แต่ที่ต้องมาเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
ก็เพราะผู้ขับรถยนต์เป็น ดาราสาวที่มีชื่อเสียง
คืนวันเกิดเหตุ เธอได้ขับรถไปบนถนนเส้นทางสายสุพรรณบุรี
เธอขับด้วยความเร็วเนื่องจากขณะนั้นดึกแล้ว
ถนนว่างและสองข้างทางก็เปลี่ยว
แต่ขณะขับอยู่ก็ได้มีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวออกมา
จากข้างทางตัดหน้ารถเธอไปอย่างหวุดหวิด

เธอโกรธจัด เลยพยายามเร่งเครื่องตามจะแซง
และบีบแตรไล่หลังคิดว่า จะสั่งสอน
ฝ่ายเจ้าของรถกระบะคงมองเห็นว่าเป็นผู้หญิง
ขับรถมาคนเดียว จึงแกล้งเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน
จนรถของดาราสาวเข้าไปชนท้าย แล้วเธอก็ต้องตกใจ
กลัวเป็นอย่างมาก เมื่อมองเห็นว่ารถกระบะคันหน้านั้นมีผู้ชาย
อยู่ในรถ 4–5 คนด้วยกัน เธอนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น

หากผู้ชายกลุ่มนี้หน้ามืดขึ้นมาหรือคิดจะแก้แค้น เธอจะทำอะไรได้
แต่ก็ยังโชคดีที่รถไม่เป็นอะไรมาก เธอจึงรีบออกรถแล้วขับหนีไป
จนเจอสถานีตำรวจ และได้เข้าแจ้งความเรื่องเลยกลายเป็น
ข่าวหนังสือพิมพ์ให้ชาวบ้านได้ทราบไว้เป็นบทเรียนว่า.........

อารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบที่ทำให้เราทำอะไรลงไป
อย่างขาดสติยั้งคิดนั้น อาจทำให้เกิดเรื่องร้ายแรง
ที่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้
โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้น หรือเอาชนะกันบนท้องถนน
จุดจบของเรื่องมักไม่พ้นอุบัติเหตุที่ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น

..... ดอกไม้ ..... มีเรื่องจริงที่ขอยกมาเป็นตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง คือ.....
เรื่องของ หนุ่มเจ้าโทสะ ที่ขับรถมาตามทางในซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง
ในกรุงเทพ ซึ่งรถสวนกันไม่ได้ ระหว่างขับมาถึงทางแยก
ก็มีรถอีกคันหนึ่งเลี้ยวออกมา ทั้งๆ ที่ควรจอดรถชะลออยู่ก่อน
จึงทำให้อีกคันหนึ่งขับผ่านไปไม่ได้
รถสองคันจอดเผชิญหน้ากันอยู่สักครู่ ไม่มีใครยอมใครก่อน
หนุ่มเจ้าโทสะเกิดฉุนเฉียวหยิบปืนขึ้นมาคิดว่าจะขู่
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็มีปืน เลยชักปืนขึ้นมายิงหนุ่มเจ้าโทสะ
จนเสียชีวิตคารถไปเลย

จริงๆ แล้วเรื่องร้ายแรงแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าคนเรารู้จัก
ระงับอารมณ์โทสะลงเสียบ้าง ไม่ต้องคิดจะเอาชนะกัน
และปล่อยวางเสียตั้งแต่แรก การขับรถบนท้องถนน
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการกระทบกระทั่ง
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา การที่เราจะใช้รถใช้ถนน
ให้มีความปลอดภัยนั้น นอกจากจะไม่ประมาทแล้ว

เราต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยแก่กัน
รู้จักระงับโทสะ ไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
จะได้ไม่เกิดความเดือดร้อนเสียหายอย่างคาดไม่ถึงดังกล่าว


ตอนที่ ๖
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร


ในสมัยโบราณ มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเกิดในตระกูลซามูไร
มีนามว่า เซ็นไก เมื่อเขาศึกษาวิชาการและจริยธรรมของ
ซามูไรจบแล้ว ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อารักขาขุนนางผู้หนึ่ง
เขาเป็นหนุ่มรูปงาม จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของภรรยาขุนนาง
เธอทอดสะพานให้ จนหนุ่มเซ็นไกลืมตัว ลืมหน้าที่
ลักลอบเป็นชู้กับภรรยาขุนนาง ต่อมาขุนนางผู้เป็นสามีจับได้
เซ็นไกจึงฆ่าขุนนางผู้นั้นเสีย แล้วพาภรรยาของเขาหนีไป
เมื่ออยู่ด้วยกัน ความรักเริ่มจืดจาง เป็นเหตุให้แหนงหน่าย
และแยกทางกัน เซ็นไกต้องอยู่อย่างเดียวดาย
และเริ่มมองเห็นความผิดของตนเอง สำนึกบาปของตน
รำพึงว่า ทำอย่างไรหนอจึงจะลบล้างบาปกรรมอันนี้ได้

วันหนึ่งเซ็นไกผ่านมาที่ภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง
ประชาชนที่จำเป็นต้องสัญจรผ่านภูเขาลูกนี้
ต้องเสี่ยงอันตรายปีป่ายข้ามไป
เขาจึงตกลงใจเจาะภูเขาเพื่อเป็นทางสัญจร
เขาทำด้วยความเหนื่อยยาก ทำเพียงลำพังผู้เดียว
แต่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข เพราะเขาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำ
แม้ยากลำบาก แต่ผลที่ได้คือประโยชน์ของคนจำนวนมาก

บุตรของขุนนางที่ถูกฆ่า บัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่และเป็นซามูไร
เที่ยวตามหาเซ็นไก เพื่อแก้แค้นแทนบิดา เมื่อมาพบเขาที่นี่
จึงลงมือจะแก้แค้น เซ็นไกขอร้องวิงวอนว่า
อย่าเพิ่งทำลายทางแห่งบุญโดยเอาชีวิตเขาในตอนนี้เลย
ขอเวลาอีก 2 ปี เมื่อเจาะภูเขาเสร็จแล้ว
ก็จะขอชดใช้ด้วยชีวิต

ซามูไรหนุ่มเห็นว่า คำขอร้องมีเหตุผล และเห็นว่าเซ็นไก
ไม่มีทางหนีรอดไปได้ จึงตกลงรอคอย ขณะที่รอก็ดูการทำงาน
เจาะภูเขาของเซ็นไกจนเกิดความเห็นใจ และในบางครั้ง
ซามูไรหนุ่มก็ลงมือช่วยทำงานด้วย เมื่องานเจาะภูเขาลุล่วง
ต่อไปก็เหลือแต่งานแก้แค้น เซ็นไกนั่งขัดสมาธิก้มหน้า
ก้มคอลงเพื่อให้ซามูไรหนุ่มใช้ดาบฟัน แต่แล้วซามูไรหนุ่ม
ก็กลับเก็บดาบเข้าฝัก ทรุดตัวลงเบื้องหน้าเซ็นไก

..... ดอกไม้ ..... กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะฆ่าครูของข้าพเจ้าได้อย่างไร”
เพราะในช่วงเวลา 2 ปี ที่เฝ้าดู ซามูไรหนุ่มได้บทเรียน
แห่งการใช้ชีวิตว่า คนที่เคยชั่วเมื่อเขาสำนึกชั่วแล้ว
มิใช่ว่าจะกลับมาเป็นคนดีไม่ได้ ควรให้โอกาสแก่ผู้ซึ่ง
กลับตัวเป็นคนดี ไฟพยาบาทที่อยู่ในจิตใจ
ของซามูไรหนุ่มมานานจึงดับมอดลง ใจของเขาสว่าง
เมื่อรู้จักให้อภัย และเข้าใจว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร


ตอนที่ ๗
แม่ขี้บ่น.....ลูกต้องไม่ขี้โกรธ


ให้เราพิจารณาดูว่า นิสัยขี้บ่นของแม่นั้น
เราจะช่วยทำให้ลดลงได้ไหม ปกติก็จะเปลี่ยนได้ยาก
หรือเปลี่ยนไม่ได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
ไม่ต้องคิดจะให้เปลี่ยน มองให้เห็นว่า อารมณ์ของแม่
เหมือนลมฟ้าอากาศ มีทั้งหนาว เย็น ร้อน ฝนตก
แห้งแล้ง มีลม ไม่มีลม ลมแรงและพายุ

อารมณ์ของแม่ที่ไม่ถูกใจเรา เปรียบเหมือนสภาวะอากาศ
ที่เราไม่ชอบ เช่น หนาวไป ร้อนไป สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
ป้องกันรักษาตัวไม่ให้ทุกข์ จิตใจก็เหมือนกัน
เราต้องป้องกันด้วยใจดีมีเมตตา
ใช้สติปัญญารักษาใจไม่ให้ทุกข์ คือหน้าที่ของเรา

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติมั่นคง ใจเราก็ไม่ยินดียินร้าย
ถึงอย่างไรก็สำรวมกาย วาจา การแสดงออกทางกายให้เป็นปกติ
ทางวาจาให้พูดดีๆ ไพเราะน่าฟัง ใจก็คิดดี มีเมตตา
เห็นอกเห็นใจแม่ พยายามรักษาความรู้สึกที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ถึงแม้ว่าไม่ชอบ ก็อดทน อดกลั้นไว้
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

พิจารณาดูว่า อารมณ์ขี้บ่นเป็นเหมือนอาการท้องผูก
ของเสียเก็บไว้ในร่างกายนานๆ ทำให้ไม่สบาย
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อกินยาระบายเข้าไป
ระบายของเสียออกมาได้ ก็รู้สึกสบายกาย
สำหรับคนขี้บ่น อารมณ์หงุดหงิด เป็นของเสียที่สะสมไว้ในใจ
ถ้าเก็บกดไว้จะเครียด เป็นโรคประสาทได้
เมื่อได้ระบายออกมาทางวาจา เขาก็ค่อยสบายใจขึ้น

ตามรายงานของจิตแพทย์ พบว่าผู้หญิงอเมริกันวัยกลางคน
มีความรู้สึกปฏิเสธ หรือไม่พอใจ มากถึงประมาณ 30,000
ครั้งต่อวัน หรือทุก 3 วินาที ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบนี้
เกิดจากการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะจัดการกับความรู้สึกได้ถูกต้อง
โดยไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง
ตรงกันข้าม ถ้าไม่ฉลาด ก็จะยึดถือ นำมาคิดปรุงแต่ง
แสดงออกทางวาจา เป็นคนขี้บ่น
ประสบการณ์ภายในใจของมนุษย์เราจริงๆ แล้วมีพอๆ กัน
แต่บางคนเก็บสะสม เหมือนอาการท้องผูก

คำพูดที่ไม่พอใจคือ บ่น ไม่มีใครอยากฟัง
แต่เมื่อแม่ของเราบ่น ให้เข้าใจว่าท่านกำลังทุกข์ไม่สบายใจ
เราควรเสียสละ ใจดีพอที่จะรับเป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่
เป็นสุขภัณฑ์สะอาด ใช้ได้สะดวก มีน้ำไหลแรงๆ หน่อย
แม่บ่นเมื่อไรก็ใจดีรับฟัง แม่จะสบายใจ ไม่ต้องขัดใจ
ยิ่งของเสียออกมากยิ่งดีต่อสุขภาพ อายุยืน
แต่เราก็ต้องระวัง ถ้าคุณภาพสุขภัณฑ์ไม่ดีพอ
เราจะ...สกปรกน่าดู

เราต้องมีสติปัญญา เมตตา กรุณา ขันติ
เป็นคุณธรรมประจำใจ
เป็นโอกาสที่เราจะสร้างคุณงามความดี
และเข้าใจธรรม ทำได้ดี ทำได้มากเท่าไร
ก็เท่ากับเราก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
แล้วในที่สุดจะรู้สึกขอบคุณแม่
ที่เป็นแบบฝึกหัดให้แก่เราได้พัฒนาจิตใจ

..... ดอกไม้ ..... เป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 04:19:06 pm »
0
ตอนที่ ๘
ความโกรธ กับการระบายอารมณ์โกรธ


อารมณ์โกรธ เป็นอารมณ์หนึ่งที่เราทุกคนมีไม่มากก็น้อย
และแสดงออกลักษณะต่างๆ กัน บางคนก็โกรธง่าย หายเร็ว
เมื่อหายแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวตามปกติได้
แต่บางคนโกรธแล้วเกิดอาฆาตพยาบาท ผูกใจเจ็บ
คอยหาทางแก้แค้น บางคนก็มีลักษณะโกรธแล้วเก็บไปคิด
ไม่ยอมลืม โกรธขึ้นมาคราวใด ก็หวนกลับไปคิดทบต้น
ที่เคยมีเรื่องตั้งแต่ในอดีต เอากลับมาคิดแล้วคิดอีก
ผูกโกรธไว้เหนียวแน่น โกรธเล็ก โกรธใหญ่
คิดๆ ๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น

สำหรับปุถุชน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีอารมณ์โกรธ
แต่ที่น่าคิดก็คือ เราจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีแค่ไหน
จะปลดปล่อยมันออกมาอย่างไร
และที่สำคัญจะแก้ปัญหาอย่างไร

น้ำ = ความโกรธ (จิตที่มีโทสะ)
ความร้อน = ปัจจัยปรุงแต่งให้โกรธ
ไอน้ำ = อารมณ์โกรธ


หากเปรียบเทียบการระบายอารมณ์โกรธ
เหมือนไอน้ำร้อนที่ระเหยออกมาจากกาต้มน้ำที่กำลังเดือด
ไอน้ำจะค่อยๆ ระบายออกมาทางพวยกา แต่ถ้าไม่มีทางระบาย
ไอน้ำ คงจะสะสมจนระเบิดเมื่อไรก็ได้

ไอน้ำมาจากไหน ความร้อนนี่เองที่ทำให้เกิดไอน้ำ

1. ถ้าเราไม่สะทกสะท้านต่อความร้อน ไอน้ำก็ไม่เกิด
คือเราจะไม่ยินดียินร้ายต่อปัจจัยแห่งความโกรธ
เมื่อมีเรื่องไม่ถูกใจ ไม่พอใจเข้ามากระทบ เราก็ไม่โกรธ

2. ถ้าเราไม่สามารถทนความร้อนนั้นได้
ก็ควรจะหาวิธีระบายความร้อนนั้น เช่น กาน้ำ
ยังมีรูระบาย ไอน้ำก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เปรียบเหมือนว่า ถ้าเราโกรธ เราก็หาทางระบาย
ทีละนิดทีละหน่อย ในแบบที่เขาทำกัน


ตัวอย่างเช่น ทำงานหนักขึ้น
ซื้อของ ร้องเพลง เล่นกีฬา

บางคนก็มีวิธีแปลกๆ เช่นมีอุบาสิกา 2 คน เขามีที่ระบาย
ความโกรธอยู่บริเวณไร่อ้อย อยู่ไกลออกจากวัดไปสักหน่อย
ปลอดจากผู้คน เวลาที่อุบาสิกาคนหนึ่งโกรธ เขาจะชวนกันไป
ที่ไร่อ้อย แล้วก็ตะโกนดังๆ จนสุดเสียงระบายความโกรธ
หายโกรธแล้วจึงพากันกลับบ้าน

ในประเทศโรมาเนีย มีนักศึกษายากจนคนหนึ่ง
วัย 22 ปี สามารถหารายได้พิเศษได้อาทิตย์ละ 770 บาท
โดยเปิดบริการ “รับจ้างถูกด่า” เพราะเห็นช่องทางว่า
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบันทำให้คนมีความเครียด
หงุดหงิดกันมาก จึงเสนอบริการให้นักธุรกิจระบายความโกรธ
โดยการตะโกน ตะคอก โวยวายใส่หน้าตนได้อย่างเต็มที่
ผลปรากฏว่ามีคนสนใจไปใช้บริการเกินความคาดหมาย
แต่ระบายความโกรธด้วยวิธีนี้แล้ว จะสบายใจคลายเครียด
ไปได้สักกี่วันไม่ทราบได้ ถือว่าไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร

ยังดีกว่าบางคนเวลาโกรธแล้วระบายออก
โดยการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ทำร้ายร่างกายผู้ที่อ่อนแอกว่า
หรือบางคนหาทางระบายที่เป็นอบายมุข เป็นโทษ
เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน ตรงกันข้ามกับคนที่ฉลาด
ก็จะหันหน้าเข้าวัด ศึกษาธรรม สวดมนต์ ฟังเทศน์นั่งสมาธิ

เราจัดการกับความโกรธได้อย่างไรบ้าง

(1) เมื่อโกรธ หาทางระบาย

(2) เมื่อโกรธ ให้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ)
และข่มใจไว้ (ทมะ)

(3) ระวังไม่ให้เกิดไฟโทสะ สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ ไม่ยินดียินร้าย (ศีล)

(4) ถอนรากเหง้าแห่งความโกรธ คือ ทำให้น้ำ (โทสะในใจ) แห้ง
โดยการเจริญเมตตาภาวนา (สมาธิ) เจริญวิปัสสนา (ปัญญา) จนสิ้นอาสวะกิเลส


อย่างไรก็ตาม ความโกรธนี้ คือทางเสื่อมที่มีแต่ทุกข์โทษ
เพียงอย่างเดียว ผู้รู้ทั้งหลายมองเห็นโทษของความโกรธแล้ว
จึงกล่าวไว้ว่า เมื่อมีบุคคลโกรธเรา แล้วเราโกรธตอบ
ถือว่าเราโง่กว่าเขาเสียอีก

หากเราสังเกตเห็นคนที่ชี้นิ้วด่าว่ากัน มือที่ชี้นิ้วนี้ก็สอนเรา
ชัดเจนอยู่แล้วว่า นิ้ว 3 นิ้ว ชี้กลับมาที่ตัวเรา
เปรียบเหมือนคำหยาบ คำด่า ที่เราต้องการทำให้เขาเจ็บใจ
หรือทำให้คนที่อยู่รอบตัวเราไม่สบายใจเป็นทุกข์นั้น
ความจริงแล้วตัวเองนั่นแหละ เป็นทุกข์มากกว่าเขาเป็น 3 เท่า

ในหลายๆ กรณี เราอาจจะมีความรู้สึกว่า เรามีเหตุผลสมควร
ที่จะโกรธเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโกรธ เท่ากับเราแพ้ตัวเอง
ผู้มีปัญญาย่อมไม่โกรธ ถึงแม้ว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีแค่ไหนก็ตาม

ในโลกนี้ไม่มีคำว่า สมควรโกรธ


ตอนที่ ๙
ละความโกรธด้วยความรักและเมตตา


..... ดอกไม้ ..... เมตตาตรงข้ามกับโทสะ และพยาบาท
ซึ่งเป็นความโกรธ ความมุ่งร้าย
เมตตาเป็นความรักความปรารถนาดีให้มีความสุข
เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักที่เป็นราคะคือความใคร่
ดังนั้นหากเราหมั่นอบรมจิตให้เมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้
จิตใจก็จะพ้นจากโทสะพยาบาท

เพื่อให้มีเมตตาเป็นพื้นฐานของจิต เราควรพิจารณาว่า

ตัวเรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด
คนอื่น สัตว์อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น

ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้ จะต้องทำใจตัวเองให้มีเมตตาก่อน
คือทำจิตใจตัวเองให้อ่อนโยน สงบเย็น
แล้วจึงแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น
เพราะการจะแผ่สิ่งใดออกมาได้
จิตใจจะต้องมีคุณสมบัตินั้นอย่างแท้จริง

..... ดอกไม้ ..... การเจริญเมตตาภาวนา
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของจิตเป็นประภัสสร
บริสุทธิ์ผ่องใส โดยธรรมชาติ ความเบิกบานใจ สุขใจ นั้นมีอยู่
เป็นอยู่แต่ดั้งเดิม แต่ทุกวันนี้ ที่พวกเราไม่สบายใจ ทุกข์ใจ
เพราะมีอารมณ์ กิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำจิต

เราสามารถเจริญสติน้อมเข้าไปสัมผัสกับความเบิกบานใจ
สุขใจที่มีอยู่ได้ หน้าที่ของเราคือ ต้องสร้างกำลังใจ เจริญสติ
สมาธิ ปัญญา รู้จักกุศโลบายที่จะน้อมเข้าไปสู่ธรรมชาติ
ของจิตประภัสสร โดยมีวิธีปฏิบัติ
ในการเจริญเมตตาภาวนา ดังนี้

..... ดอกไม้ ..... วิธีปฏิบัติ

วิธีที่ 1 น้อมเข้ามาที่ลมหายใจ

ข้าศึกต่อความสุข คือ ความคิดผิด ความคิดไม่ดีของตนเอง
ไม่ใช่การที่เขากระทำดีหรือไม่ดีต่อเรา ไม่ว่าเขาจะไม่ดี
ขนาดไหน ถ้าใจเราดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริงคือ ใจไม่ดี ความคิดไม่ดีของตนนั่นเอง

ผู้เจริญเมตตาภาวนา ควรระวังรักษาใจ
ระวังความคิดผิดให้มากที่สุด อะไรไม่ดี อย่าคิดเลย
สุขภาพไม่ดี อากาศไม่ดี รัฐบาลไม่ดี
ถึงแม้ใครทำอะไรผิดจริงๆ ผิดมากขนาดไหน
ก็ไม่ต้องคิดว่า “ใคร” หรือ “อะไร” ไม่ดี

เริ่มต้นปรับท่านั่งให้สบายๆ หยุดคิด ทำใจสบายๆ
หายใจสบายๆ บางครั้งจิตใจไม่เบิกบาน มีความรู้สึกไม่ดี
เศร้าๆ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า หนีจากความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ
ทุกข์ใจ น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นที่พึ่ง
ที่ระลึก ตั้งสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจ
ปรับลมหายใจสบายๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ ละลายความรู้สึกเข้าไปในลมหายใจ
จนรู้สึกกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ
มีความรู้สึกตัวทั่วถึง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

พร้อมกับระลึกถึงปีติสุข
ทุกครั้งที่ หายใจเข้า หายใจออก
จิตใจของเราจะเบิกบาน สงบ สบายใจ มีปีติสุข
เท่ากับว่า หายใจเข้า หายใจออกคือ สุขใจ สบายใจ
หายใจเข้าสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ
หายใจออกสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ

หายใจเข้าสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ
หายใจออกสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ

วิธีที่ 2 ดึงปีติสุขในใจออกมา

เริ่มต้น ปรับท่านั่งสบายๆ
หยุดคิด ทำใจสงบ ปรับลมหายใจสบายๆ
น้อมเข้าไป ตั้งสติที่กลางกระดูกสันหลัง ระดับหัวใจ
สมมติว่าศูนย์กลางของจิตใจ อยู่ที่นั่น
เป็นจิตประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ
ความเบิกบานใจ ปีติสุข อยู่ที่นั่น
ทำความรู้สึกว่าจุดนั้นเป็นจุดร้อนๆ
ความรู้สึกร้อนๆ และปีติสุข
ลักษณะเหมือนไอน้ำ ระเหยออกมาจากที่นั่น

หายใจเข้า ดึงเอาปีติสุขออกมา
คล้ายกับว่า ใช้นิ้วค่อยๆ ดึงออกมาเรื่อยๆ
หายใจออก ตั้งสติอยู่ข้างใน
ความรู้สึกที่ดี ดันออกมาข้างหน้าต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
อุปมาเหมือนกับว่ามีหมอนใบหนึ่งมีรูเล็กๆ อยู่ตรงกลาง
เราเอานิ้วจับอยู่ที่ปุยนุ่นแล้วค่อยๆ ดึงออกมาเรื่อยๆ

สมมติให้กลางกระดูกสันหลัง เป็นจุดศูนย์กลางของจิตประภัสสร
เป็นจุดสัมผัสกับพุทธภาวะ คือภาวะแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
และอริยสาวกทั้งหลาย เป็นเมตตา กรุณา ปีติสุข
ที่มีอยู่ในจักรวาล ไหลออกมาผ่านจุดศูนย์กลางจิตของเรา
อุปมาเหมือนท่อที่มีสายน้ำไหลแยกออกมาจากทางน้ำใหญ่

เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว จะรู้สึกว่าการหายใจคือปีติสุข
ความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ สัมผัสกับเราแต่เพียงส่วนหน้า
เราน้อมเข้าไป ตั้งสติอยู่ที่จุดกลางกระดูกสันหลัง
เมื่อความรู้สึกที่ดี ปีติสุข ไหลออกมาแล้ว
ความรู้สึกที่ไม่ดี ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในใจเราจะมีแต่ปีติสุข
เป็นความรู้สึกที่ดี สบายใจ สุขใจ

วิธีที่ 3 ชำระออกซึ่งความไม่สบายใจ

ทำความเห็นให้ถูกต้องว่า ความไม่สบายใจ ทุกข์ใจนี้ ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้อะไร ที่ไม่ถูกใจ
ไม่ชอบใจ เราจะเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ เป็นทุกข์
ก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยใหม่ๆ
ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าความรู้สึกทุกข์ ไม่สบายใจติดค้าง
อยู่ในหัวใจนานๆ ก็จะเป็นความผิดปกติ เป็นกิเลส
มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ทำให้จิตใจเศร้าหมอง

หากเทียบกับแอ๊ปเปิ้ล ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ
เปรียบเหมือน ขี้ฝุ่น ขี้ดิน ติดบนเปลือกแอ๊ปเปิ้ล
ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ ที่ติดในหัวใจนานๆ เป็นตำหนิ
เหมือนแอ๊ปเปิ้ลที่เริ่มเน่าแล้ว ต้องรีบจัดการ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเน่าหมดทั้งลูก

ผู้เจริญเมตตา ภาวนา ให้มีนิสัย ที่รักสะอาดอยู่เป็นประจำ
เมื่อเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ ให้หยุดคิด หยุดคิดว่าอะไรไม่ดี
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ความรู้สึกไม่ดีก็จะหายไป
ถ้าไม่หาย ตั้งใจมากขึ้นหน่อย
แทนที่จะคิดว่าใครหรืออะไรไม่ดี
นึกในใจว่า ดีๆ ๆ
ตั้งใจกำหนดลมหายใจยาวๆ

สมมติลมหายใจเป็นมีด ส่วนที่เน่าคือ ความรู้สึกไม่ดี
ไม่สบายใจ เศร้าหมองใจ เอาลมหายใจเข้า หายใจออก เป็นมีด
ตัดความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ทิ้งไป
เหมือนตัดส่วนที่เน่าของแอ๊ปเปิ้ล
ตั้งใจ มีสติกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า หายใจออก
ไม่นานความรู้สึกก็จะเบา สงบ สบายใจ
มีลมหายใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความสุขใจ สบายใจ

วิธีที่ 4 ปล่อยวางความโกรธให้เร็วขึ้น

เมื่อเรามีนิสัย ขี้โกรธ ขี้โมโห เห็นอะไร ได้ยินอะไร
กระทบอารมณ์ คงจะห้ามความโกรธไม่ได้
ก็ไม่ต้องห้าม ให้โกรธตามเคยนั่นแหละ
แต่พยายามปล่อยวางให้เร็วขึ้น ไม่ผูกใจเจ็บ ให้อภัย
ให้อโหสิกรรมเร็วขึ้น เช่นเรารู้อยู่ว่าปกติโกรธขนาดนี้
จะไม่สบายใจอยู่ 3 วัน พยายามปล่อยวางภายใน 2 วัน
จากนั้น ลดให้เหลือ 1 วัน ครึ่งวัน
3 ชั่วโมง จนเหลือ ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น
การต่อสู้กับอารมณ์โกรธ ให้เอาหัวใจนักกีฬามาสู้

อย่าเอาจริงเอาจังกับเหตุการณ์จนเกินไป
โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูอารมณ์
เอาสติปัญญา ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง
ให้มีความพอใจ ความสุขในการแก้ปัญหา แก้อารมณ์ของตน
เมื่อเราเห็นความก้าวหน้าในการต่อสู้กับอารมณ์แล้ว
ลึกๆ ภายในใจก็จะมีความพอใจ
ในท่ามกลางความโกรธได้เหมือนกัน

พิจารณาธรรมชาติของอารมณ์โกรธ
ตามสติกำลังของตัวเองก่อน เมื่อเข้าใจดีแล้ว
ปล่อยวางความรู้สึกโกรธ ตั้งสติที่ท้อง หายใจออกยาวๆ
สบายๆ หายใจเข้าตามปกติ เน้นที่หายใจออกยาว สบายๆ
ทำเช่นนี้จะช่วยผ่อนคลาย กายเย็น ใจเย็น อารมณ์สบายๆ
มีความสบายใจ

หายใจออกยาวๆ สบายๆ

ตอนที่ ๑๐
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข


ความโกรธ ไม่ว่ามากหรือน้อย โกรธนาน หรือไม่นาน
ล้วนทำลายความสุข ทำลายสุขภาพ เป็นโทษทั้งต่อตัวเอง
และคนรอบข้าง สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วจะเห็นความโกรธ
เป็นอารมณ์ของผู้ไร้ปัญญา ย่อมหลีกเลี่ยงคนมักโกรธ
ตัดความโกรธด้วยความมีสติข่มใจไว้
และถอนรากเหง้าของความโกรธด้วยเมตตาภาวนา

พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญการฆ่าความโกรธไว้ว่า
บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข
บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมไม่โศกเศร้า

…………………… เอวัง ……………………




หามาช่วยคุณครูนภาครับ อาจจะนำไปสอนศิษย์ได้ ;)
 :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2010, 07:20:03 am »
0
สาธุ

 :25:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 02:23:55 am »
0
     


     โกรธขมึงบึ่งบ้า                 ยากคลาย
กายสั่นจิตกลับกลาย            รุ่มร้อน
คิดการอย่าปองหมาย           เมินค่า
จงผ่อนหวนคืนย้อน              ชีพนี้ดับเย็น


                                             
                                                    ธรรมธวัช.!         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 11, 2010, 06:34:57 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

นาตยา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 136
  • ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 01:05:59 pm »
0
อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่ามีความสุข เพราะเห็นแนวปฏิบัติได้จริง หลายประการเลยคะ
ท่านผู้ใดยังไม่ได้อ่าน ก็ขอให้เข้าอ่านนะคะ มีประโยชน์มาก ๆ คะ

 :s_good: :s_good: :s_good:
บันทึกการเข้า