ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กำลัง และ อารมณ์ สภาวะ ผู้ภาวนาย่อมเปลี่ยนไปตามระดับการภาวนา  (อ่าน 4188 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 ask1

ถามว่า ทำไมอารมณ์ และ สภาวะจิต หลังจากผมได้ภาวนาแล้ว รู้สึกหดหู่กับชีวิต รู้สึกว่า ชีวิตเงียบเหงา รู้สึกเหมือน อยู่ตัวคนเดียว รู้สึกว่าไม่อยากเกิดขึ้นมา รู้สึกว่า มีแต่ทุกข์รออยู่ รู้สึกว่า ชีวิตสดใสดีขึ้น รู้สึกว่า สงบอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ รู้สึกว่า มีอะไรดี ๆ เข้ามา รู้สึกว่ามีปัญหาร้อยแปดให้เห็น เป็นต้น อีกสาระพัดที่ท่านทั้งหลาย ถามกันมา บอกกัน


 ans1



กำลัง และ อารมณ์ สภาวะ ผู้ภาวนาย่อมเปลี่ยนไปตามระดับการภาวนา ของผู้ภาวนานั้น ตามเหตุปัจจัยที่ผู้ภาวนารู้เท่าทัน และ ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไร

   ผลขอการภาวนา ย่อมต้องมีอยู่ ขอแบ่งผลการภาวนา ออกเป็น 2 พวก นะจ๊ะ

   พวกที่หนึ่ง หวังอยู่ในโลกียะ ภาวนาเพื่อ โลกธรรม 4 ฝ่ายบวก มี การได้ลาภ ได้ยศ ได้สุข และ สรรเสริญ พกนี้ภาวนามิได้หวังใน การสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ เพียงภาวนาให้ได้ได้รับ 4 อย่างนั้น แต่ผลของการภาวนาก็อยู่ที่ผลของความตั้งใจ ดังนั้นจึงมีผู้ที่ได้สมปรารถนา ในส่วนนั้น แต่ถึงได้สมปรารถนา ก็ตาม กฏของโลกก็คือ เมื่อมีดำ ต้องมีขาว ดังนั้น เมื่อท่านได้ลาภ ก็ต้อง มีเสียลาภ เมื่อท่านได้ ยศ ก็ต้องมีเสื่อมยศ เมื่อท่านได้สุข ก็ต้องมี ทุกข์ เมื่อท่านได้สรรเสริญ ก็ต้อง มีนินทา ลักษณะตรงกันข้ามนี่เอง เป็นต้นตอของคำว่า หมดบุญ

  ดังนั้น กลุ่มภาวนานี้ จึงต้องมีการสา่นต่อบุญอย่างต่อเนื่อง เพื่ออุดรอยต่อของการหมดบุญ ทำระยะของผลบวก ให้ยาวที่สุด ให้นานที่สุด ดังนั้นจึงต้องสานบุญในรูปแบบต่าง ๆเพื่อให้บุญพิทักษ์ปกป้องจากภัยพิบัติ

  แต่อย่างไรก็ตาม บุญก็เป็นส่วนบุญ แต่กรรมที่จะส่งผล ก็ย่อมต้องมีทั้งสองแบบ ปุถุชน ไม่ว่าทรงกุศลได้ตลอดเวลา มีแต่พระอริยะบุคคลพระโสดาบันขึ้นไป ที่สามารถทรงกุศลได้ตลอดเวลา ดังนั้นพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน จึงชื่อว่าไม่ตกอบายอีกแล้ว

   ผลอารมณ์ ของผู้ปฏิบัติภาวนาในส่วนนี้ ก็ต้อง มีขึ้น มีลง บางครั้งก็ยิ้ม บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งร้องไห้ ผสมกันไป ตามอารมณ์สภาวะ เพราะยังประกอบด้วยกิเลสคือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่มีอยากมีไม่อยากเป็น เพราะไม่ได้ตามปรารถนา นั้น จึงทำให้อารมณ์ แปรปรวนไปตามอำนาจของกิเลสบ้าง

  ดังนั้นผู้ภาวนาส่วนนี้ จึงพึงตั้งมั่น ใน ฐานธรรม ทืี่เรียกว่า สติ ให้มากขึ้น ทำศีล เป็นพื้นฐานของชีิวิต และ ทำสติ ให้งอกงามไพบูลย์ จึงจะพออยู่ พอภาวนาได้ไม่ลำบาก

   พวกที่สอง พวกที่ภาวนา เพื่อโลกุตตรธรรม มีเป้าหมาย คือ การสิ้นชาติ สิ้นเชื้อ สิ้นการเกิด คือไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด กันอีกต่อไป พวกนี้เมื่อภาวนา อารมณ์ ก็จะเ้ข้าไปตามลำดับ ดังนี้

   ศรัทธา  ตั้งมั่นในธรรม คือ พระรัตนตรัย
   ปีติ   มีความอิ่มใจ พอใจ ในการภาวนา
   ปัสสัทธิ รู้จักสงบรำงับ จิตใจในด้านบวก คือ เริ่มรู้สึกวางเฉย ต่อ สุข
   สมาธิ  มีจิตตั้งมั่นในธรรม ชื่อว่า เห็นจริงเห็นแจ้ง เห็น นาม เห็น รูป เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
   ยถาภูตญาณทัศศนะ เห็นแจ้งชัดในความเกิดขึ้น ในความเสื่อมไป ในนาม และ รูป
   นิพพิทา เริ่มเบื่อหน่าย หน่ายแล้ว หน่ายแท้
          ( รอยต่อ ช่วงนี้สำคัญ )
   วิราคะ มีความต้องการพ้นจากเครื่องร้อยร้ดจิตใจ คือสังโยชน์ ทั้ง 10
   วิมุตติ หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด เข้าสู่ ความเป็น อริยะมรรค และ อริยะผล
   นิพพพาน   เป็นสภาวะธรรม สูงสุดที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย ของผู้ภาวนา ในสาย พุทธ

   
  ดังนั้นผู้ภาวนาย่อมมีอารมณ์ มีสภาวะ แตกต่างกันไป ตามระดับที่ได้แสดง แต่ให้ข้อสังเกตว่า สติสัมปชัญญะ ที่ได้เจริญภาวนา ต้องควรกำหนดรู้ ธรรมสภาวะนั้น ว่าขณะนี้เรามาอยู่ตรงจุดไหน ของการภาวนา ดังนั้น ขอให้ทุกท่าน ตรวจสอบ และพอกพูนการภาวนา ให้มากขึ้น อย่าได้ประมาท เพราะสังขารทั้งหลาย นำมาซึ่งความทุกข์

  ขอให้ท่านจงยินดี ในธรรม คือ พระนิพพาน อันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก

  เจริญธรรม / เจริญพร


 
 
 





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 01, 2013, 11:16:24 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ใน  กิมัตถิยสูตร  อังคุตตรนิกาย  ทสกนิบาต  ข้อ  ๑  พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็น กุศล  คือ  กุศลศีล  ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้  ๑๐
ประการ  คือ
   ๑.  ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร  คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๒.  ความไม่เดือดร้อนใจมีความปราโมทย์เป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๓.  ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๔.  ปีติมีปัสสัทธิ  คือความสงบใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๕.  ปัสสัทธิ  มีสุข  คือความสุขใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๖.  สุขมีสมาธิเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๗.  สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ  คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๘.  ยถาภูตญาณทัสสนะ  มีนิพพิทาวิราคะ  คือความหน่ายความคลายเป็นผล  เป็นอานิสงส์
   ๙.  นิพพิทาวิราคะ  มีวิมุตติญาณทัสสนะ  คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผล
เป็นอานิสงส์
   ๑๐.  ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ  ด้วยประการฉะนี้


บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เหนื่อยหน่ายหนอ! วุ่นวายหนอ!

นับเนื่องแต่เจริญจิตภาวนาและเจริญสวดพระคาถาพญาไก่เถื่อนประจุลงสายประคำกระทั่งลงศูนย์นาภีไปถึงหทัยวัตถุ
แม้ไม่ต่อเนื่องทุกวันด้วยภาระกิจหน้าที่การงานไม่เป็นเวลาเวียนเช้าบ้างเวียนบ่ายบ้าง เร่งรีบกับการใช้ชีวิตเวลาจึงบีบรัดให้ขวนขวายภาวนาได้น้อย แต่ก็รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเองไม่เว้นแม้กระทั่งขณะทำงานกล่าวคือ ความคิดฟุ้งมีได้เป็นปกติเพียงแต่อายตนะผัสสะใดใดจรเข้ามาใจจะไม่รับอยากปัดทิ้งคิดแต่จะวกเข้าหาการสวดมนต์ นั่งภาวนา หาความสงบ แม้จะมีเพื่อนฝูงกัลยาณมิตรเชื้อเชิญไปงานร่วมบุญครวญเพลงคาราโอเกะหน้าไมค์กลับนึกหวั่นหน่ายไม่ปรารถนาจักไปเล็งแลเห็นเพื่อน,Relex บรรเทิง,วัตถุทรัพย์สินสิ่งขวนขวายใดใด เป็นเรื่องน่าวุ่นวาย เสมือนความไม่มีเป็นสุขกว่า ใจมันว่างๆความรู้สึกทั้งมวลกระจุกรวมอยู่ที่กลางกระหม่อมจอมเพดานคล้ายหลังคาโดมเปิดแง้มปิดไม่มิด แต่อยากจะเอาสิ่งติดค้างกลางกระหม่อมออกเสียให้พ้นตัวพ้นกบาลตนอย่างไงอย่างนั้นทีเดียวเชียว..ครับ!




http://www.khaosukim.org/khaosukim/index.php?option=com_content&view=article&id=159:2011-07-16-14-27-09&catid=47:2011-07-16-14-09-48&Itemid=62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 01, 2013, 01:22:03 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

RDNpromote

  • moderater MaDchima Radio net online
  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 231
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เข้าสัญญลักษณ์ ที่ สาม แล้ว กำลัง จะเป็น สัญลักษณ์ ที่ สี่

 


    สัญญลักษณ์ที่ สาม หมายความว่า
   
    เริ่มเห็นสภาวะ คือ ความว่าง ว่างแล้ว จากตน ว่างแล้ว งาน ว่างแล้ว จาก สิ่งที่ยึดถือ ในสภาวะนี้ มีผลคือการปล่อยวาง เป็นสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้น อันควรจะมี เมื่อเข้าไปในระัดับการภาวนาที่สูงขึ้นไป

    st11 st12

     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 01, 2013, 01:17:11 pm โดย RDNpromote »
บันทึกการเข้า
สำหรับสอบถาม เรื่อง รายการที่เผยแผ่ ทางสถานีออนไลน์
ซึ่งต่อไปในอนาคตจะดำเนินการแจ้งรายการประจำวัน
รอ modorater อยู่ นะจ๊ะ ตำแหน่งนี้.......

catwoman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 88
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา เป็น บทความวิสัชชนา จากพระอาจารย์ บทความแรกของเดือน กุมภาพันธ์ ขอบคุณมากคะ อ่านแล้วยังรู้สึกอบอุ่นใจ ว่า ที่บอร์ด พระอาจารย์ยังตอบอยู่คะ

  thk56 st11 st12
บันทึกการเข้า

kindman

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 272
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า