ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าสิ่งสูงสุดไม่ใช่องค์เดียวกัน ไม่ว่าเรานับถือสิ่งสูงสุดใด ก็ลงนรกทั้งนั้น  (อ่าน 4598 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ทุกศาสนาสอนให้พึ่งสิ่งสูงสุดในศาสนานั้นทั้งนั้น


[1] ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90) ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐

คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)

ศรัทธ่า คือ ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ = ก็คือเขาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของอัลลอฮฺได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เชื่อและศรัทธาในอัลลอฮฺ ว่าเป็นพระเจ้า
 

[2] ศาสนาพุทธมหายานก็สอนให้พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง  เพื่อนำไปอยู่พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์นั้น เพื่อฝึกละกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลงที่นั่น เช่น พึ่งพระอมิตา เพื่อนำไปแดนสุขาวดี ฝึกวิชาที่นั่น ค่อยๆละกิเลสจนสามารถเข้านิพพานได้ เนื่องจากมนุษย์จะพึ่งตัวเองเพื่อเข้านิพพานเป็นไปได้น้อยมาก เราจึงต้องพึ่งพระพุทธเจ้า

แดนพระนิพพาน = สวรรค์นิรันดรในศาสนาคริสต์และอิสลาม  อนึ่ง สวรรค์ 6 ชั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสวรรค์ในกามภูมิ และเป็นสวรรค์ชั่วคราวเท่านั้น  ที่ๆไม่เป็นทุกข์ อยู่ได้ชั่วนิรันดร มีที่เดียว คือ แดนพระนิพพาน


  [3] ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์ก็สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในโลกต่อไป

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"  

 
[4] ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า

นอกจากนี้ พระเยซูตรัสว่า

“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก”


ประตูใหญ่ =  สังสารวัฏฏ์ ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าไปในแดนพระนิพพาน หรือสวรรค์นิรันดร โดยผ่านการช่วยเหลือตนเอง(จนเป็นพระอรหันต์) จึงต้องพึ่งพาพระพุทธเจ้า เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า หรือไม่ก็พึ่งพระกรุณาของพระ(พุทธ)เจ้า - พระโพธิสัตว์อรหันต์(พระบุตรของพระเจ้า)


ในศาสนาคริสต์ พระเยซูคือ  ทางรอด นั้น  ก็อย่างที่บอก การเข้าไปสู่นิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะเข้าไปได้  ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์โพธิสัตว์  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตรของพวกท่านก่อน  แล้วค่อยๆฝึกจิตที่นั่นจะสามารถละกิเลสตัณหา ละความโลภ โกรธ หลงให้หมด  ทำได้สำเร็จเมื่อไร ก็เข้าไปในแดนนิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า ซึ่งอยู่บนสุดของพุทธเกษตรนั้น 

ในกรณีของพระเยซู ก็คือเข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ (คือ พุทธเกษตร)ไว้ก่อน ไปค่อยๆฝึกละกิเลสเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์ที่นั่น เพราะประตูเล็กของพระเยซูเป็นประตูที่ปลอดภัย = เราต้องพึ่งพระเจ้าเพื่อนำเราเข้าสู่สวรรค์นิรันดร

 
สรุป


เห็นหรือยังครับ ทุกศาสนาสอนให้พึ่งพาสิ่งสูงสุดโดยให้ศรัทธาแล้วเชื่อในสิ่งนั้นทั้งสิ้น ถ้าคุณอยู่ในศาสนาพุทธเถรวาท แต่ไม่รู้หลักการพ้นนรกง่ายๆแบบที่ผมบอก คุณก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกนรกหรือไปอบายภูมิ เพราะโลกมนุษย์ที่ไม่ต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เป็นประตูใหญ่ที่เสี่ยงมากในการตกนรก

ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า = ในโลกมนุษย์ ถ้าคุณต้องการรอด ต้องพึ่งบารมีพระเจ้าเท่านั้น ถ้าพระเจ้าในศาสนาต่างๆไม่ใช่องค์เดียวกัน  คำสอนในศาสนาพุทธและอิสลามก็ต้องผิดล้านเปอร์เซ็นต์  คำสอนเหล่านั้นจะถูกได้เป็นได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ

อัลลอฮฺ ต้องเป็น พระยะโฮวา  พระยะโฮวา ต้องเป็น พระพุทธเจ้า
  นอกจากนี้ พระเยซูต้องเป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์หรือพุทธบุตร  และสวรรค์ของพระคริสต์ ต้องเป็นพุทธเกษตรด้วย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร  ว่า:     
     
.....พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง        

 ++++ มีแต่พระพุทธเจ้าหรือ พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่สามารถทำให้พุทธเกษตรสำเร็จบริบูรณ์ได้  ด้วยเหตุนี้ สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ก็คือ พุทธเกษตรของพระเยซูคริสต์นั่นเอง  สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แห้งสรรสสัตว์(วิญญาณ)  ไว้ผมจะนำคำสอนในคริสตศาสนามายัน สิ่งนี้ชาวคริสต์ทุกคน ย่อมไม่อาจตีความได้  เพราะมีใจแบ่งแยกศาสนา ซึ่งผมไม่มีสิ่งนี้ และมีจิตบริสุทธิ์จึงตีความออก ++++

อีกอย่าง...ถ้าพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดในศาสนาต่างๆไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คนคริสต์ที่เปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธ คนอิสลามเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ฯลฯ เขาก็จะนำสิ่งสูงสุดในศาสนาใหม่ มาตีกันกับสิ่งสูงสุดในศาสนาเก่า แล้วพระเจ้าในศาสนาเก่าของเขา จะจับเขาไปลงนรกก็ไม่ได้ เพราะเขาได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าในศาสนาใหม่  หรือไม่พระเจ้าในทุกศาสนาก็ต้องทิ้งเขา เพราะไม่อยากต่อสู้กับพระเจ้าองค์อื่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2010, 08:20:55 pm โดย patra »
บันทึกการเข้า

sayun2516

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 นรกอย่างนิรันดร  สวรรค์นิรันดร   
    คำถาม  นิรันดรหมายถึงอะไร  มีขอบเขตแค่ไหน 
......... ...หรือนิรันดรแปลว่าไร้จุดเริ่มต้นไร้จุดสิ้นสุด  ถ้าเช่นนั้น  นรกหรือสวรรค์ก็ไม่ต่างกัน   เมื่อสภาวะใดไร้จุดเริ่มต้นก็ย่อมไร้จุดสิ้นสุด   สภาวะนั้นย่อมสมบูรณ์พร้อมโดยความเป็นเช่นนั้นเอง   สภาวะเช่นนี้ย่อมไม่อาจมีการเข้าหรือออกได้อีก   
.............แต่หากสภาวะใดมีการไหลเลื่อน  ยังมีการถ่ายเทมีการเข้าและออกจากสภาวะนั้น  สิ่งนี้มิใช่นิรันดร
>>>>>>>>>>ไม่มีนรกอันเป็นนิรันดร   และไม่มีสวรรค์อันเป็นนิรันดร<<<<<<<<<<<   
.............นรกอย่างนิรันดร  สวรรค์นิรันดร  มีแต่ในกรอบคิดของมนุษย์ช่างคิดเพ้อฝันไร้สาระไปวันๆนี้เท่านั้น  และก็เพราะความคิดช่างเพ้อฝันของศาสดา  ที่ยังยังมีกิเลส  ไม่ใช่องค์อรหันต์นี่แหละที่ตีความธรรมะ  ธรรมชาติอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปตามกรอบทางความคิดของกิเลสในใจของศาสดาที่ยังไม่สิ้นกิเลสทั้งหลาย   ก็เกิดเป็นความต่างทางความเชื่อ  ทางศรัทธา   ทางการปฏิบัติ   เมื่อมีความต่างก็มีความแตกแยกติดตามมา     
..............พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นศาสดาองค์เอก  ของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย   มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่า

นั้นที่เป็นศาสดาที่สมบูรณ์ที่สุดสมคำว่าศาสดา     เพราะทรงไม่อยู่ภายใต้กรอบทางความคิดของกิเลสใดๆ   ทุก

สิ่งที่ทรงตรัส   ไม่มีใครล้มล้างได้   ใครล้มล้างคนๆนั้นย่อมเป็นผู้ผิด   

...............คนสมัยนี้มีความรู้นิดหน่อย   อ่านหนังสือหลายเล่มหน่อย   ก็เหมาเอาว่าเรารู้กว่าคนอื่นฉลาดกว่าคนอื่นคนอื่นไม่รู้เท่าเรา  ไม่เข้าใจในสิ่งที่เรารู้       แต่หารู้ไม่ว่ากระบวนการแห่งการเรียนรู้ของพวกเขาเหล่านั้น   ล้วนแต่อยู่ในกรอบทางความคิดที่ถูกชี้นำโดยกิเลสในใจตนโดยไม่รู้ตัว    คิดทฤษฎีอะไรขึ้นมาในหัวแต่ละครั้งก็เหมาเอาเองว่าถูกว่าใช่  ว่าเลิศโลกแล้ว  ข้ารู้แล้วซึ่งธรรมะอันไพศาล   
...............ผมก็คงไม่สามารถไปว่าอะไรกับพวกท่านเหล่านี้ได้    เพราะท่านเหล่านี้ล้วนเก่งกันเหลือเกิน
...............แค่อยากจะรู้เหมือนกันว่า  เวลาจะตาย  เมื่อทุกขเวทนาเกิดหนักๆ   ไอ้แนวความคิดอันเลิศโลกที่คิดว่ารู้ว่าเก่งกันนักนั่นหนะ  มันช่วยอะไรใจเจ้าของได้บ้างมั้ย..........
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2010, 11:50:52 pm โดย sayun2516 »
บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณsayun2516 ครับ


คุณยังไม่รู้ว่า  พวกเราทุกจิตล้วนเคยอยู่ในนิพพานมาแล้วทั้งนั้น 
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียกนิพพานว่า "กลับบ้านเก่า"  เพราะบ้านของเราอยู่ในพระนิพพาน
หลวงพ่อสดบอกว่า "ช้าเร็วพวกเราก็ต้องเข้านิพพานกันหมด" เพียงแต่ใครเข้าก่อนเข้าหลังเท่านั้น

จากข้อความข้างต้น   และจากหลักคำสอนสูงสุดในศาสนาต่างๆ เช่น

ในคัมภีร์อุปนิษัทกล่าวว่า:

"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่  ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป  ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ  สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง  และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหมและเรามิใช่พรหม"

อธิบายขยายความได้ดังนี้:

เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่  ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป  ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ =

แรกเริ่มเดิมที มีแต่พระศิวะ หรือจะเรียกว่า พระเจ้าก็ได้  เรียกแบบชาวพุทธ ก็คือมีแต่พระธรรม(อาทิพุทธ) ท่านอยู่ตามลำพังในจักรวาล ท่านจึงเปล่าเปลี่ยว เพราะต้องอยู่เป็นนิรันดร หร้อมกับฤทธานุมาพที่มีมากมายมหาศาลเกินจินตนาการ 

เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ

พระผู้เป็นเจ้า(พระธรรม)เปล่าเปลี่ยว และต้องอยู่ตามลำพัง ท่านจึงคิดเกมส์ออกมาเล่น แต่เล่นคนเดียวคงไม่สนุก เล่นกับคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะอยู่คนเดียว พระผู้เป็นเจ้า(พระธรรม)เลยต้องแตกตัวออกเป็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์จำนวนมาก เรียกว่า "ธรรมธาตุ"  ธรรมธาตุแต่ละองค์ล้วนเป็นอมตะ 

ตราวนี้ พระธรรมหรืออัลเลาะห์(เรียกแบบอิสลามบ้าง)จึงให้ธรรมธาตุทั้งหมด ออกไปเล่นเกมส์ค้นหาตัวเอง และออกไปเผชิญกับการใช้กายทิพย์ และขันธ์ 5 โดยพระบิดายะโฮวา(เรียกแบบคริสต์บ้าง)ร่วมกับพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ คือธรรมธาตุทั้งหมด ใช้ฤทธานุภาพ  ทำให้ความว่างในจักรวาลอัดกันแน่น จับตัวกันใหม่ มีความหนาแน่นระดับต่างๆ  เลยปรากฏเป็นธาตุต่างๆ  วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกว่าfreezing energy   จักรวาลจึงบังเกิดขึ้น  แล้วก็ให้จิตวิญญาณธาตุทุกจิต(ธรรมธาตุ) ลืมให้หมดว่าตนเองเป็นใคร  ให้เป็นจิตประภัสสรเฉยๆที่พร้อมรับข้อมูลทางโลกและปรโลก

หลังจากนั้น ก็สร้างนรก สวรรค์ พรหมโลก โลก มนุษย์ สัตว์ และสรรพสิ่ง รวมทั้งซาตาน หรือพญามารด้วย  เสร็จแล้วออกกฎว่า ถ้าจิตใดหลงกลอวิชชา ก็ต้องมาจุติในภพภูมิที่ต่ำลงไปเรื่อยๆ และค่อยๆปรับระดับชั้นใหม่  เพราะเกมส์นี้ต้งเล่นกันถึงกัลปาวสาน

ใครที่สามารถละกิเลส ตัณหา อวิชชาได้ ก็จะได้กลับไปเป็นธรรมธาตุ(อรหันต์แบบเดิม)  ถ้ายังละกิเลส ตัณหา อวิชชาไม่ได้  ก็ต้องเล่นเกมส์กันต่อ(เวียนว่ายตายเกิด)

ทั้งหมดที่ผมกำลังพูด จะบอกเพียงว่า  พวกเราล้วนเป็นพระเจ้าทั้งนั้น  ถ้าใครหลงทำชั่ว ก็ต้องไปฟอกความชั่วออกในอบายภูมิ  ใครหลงทำดี ก็ไปอยู่ในสวรรค์  ใครหลงทำสมาธิ ก็ไปอยู่ในพรหมโลก  ส่วนใครสามารถละกิเลส ตัณหา อวิชชาได้  ก็กลับไปเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม

พระพุทธเจ้าไม่เรียกสิ่งสูงสุดนั้นว่าพระเจ้า  แต่เรียกว่า พระพุทธเจ้าแทน  เพราะทุกอย่างในจักรวาลล้วนเป็นสิ่งลวงจิตทั้งสิ้น ไม่มีของจริงเลย  คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า  เพราะเขามีมิจฉาทิฏฐิ คิดว่าทุกสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลมีจริง  ทั้งๆที่มนเป็นแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น 

พระเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า เพียงแต่เป็นนักมายากลที่เก่งที่สุดในจักรวาลเท่านั้น  เพราะจักรวาลไม่มีใครอื่น มีแต่พระองค์ ท่านจึงเก่งที่สุด

เมื่อใครได้เป็นธรรมธาตุระดับอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  เขาผู้นั้นย่อมเล็งเห็นทุกอย่าง (เป็นสัพพัญญู) เป็นพรหมสูงสุด ที่เรียกว่า นิพพานพรหม หรือ พรหมกาย หรือ พรหมภูต  ใครไม่สามารถละกิเลส ตัณหา อวิชชาได้  ก็ต้องเล่นเกมส์กันต่อ(เวียนว่ายตายเกิด)

นี่แหละที่เรียกว่า สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง  และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหมและเรามิใช่พรหม"

ไว้วันหลังผมจะเอาหลักฐานมาลง วันนี้ขอไปนอนก่อน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 08, 2010, 01:36:23 am โดย tuenum »
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
แล้วเราจะรู้กันได้ไงว่าจริงไม่จริง!
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

apisit

  • บุคคลทั่วไป
0
แล้วเราจะรู้กันได้ไงว่าจริงไม่จริง!

พระพุทธเจ้า และบรรดาศาสดาทั้งหลาย ท่านจะพูดแต่ความจริง  แต่คนตีความ จะไปตีความอย่างไร มันก็อีกเรี่อง ถ้าไปตีความผิด จะไปใส่ร้ายศาสดา หาว่าศาสดาสอนผิดได้อย่างไร
บันทึกการเข้า

มะเดื่อ

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 181
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ระวัง เป็น อนันตริยกรรม นะครับ เพื่อนสมาชิก อ่าน อภิฐาน 6 ให้เข้าใจก่อน นะครับ

ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้
บันทึกการเข้า