"เมื่อฉันเดินเข้าไปสุดในถ้ำ ได้มองเห็นร่างอันไร้วิญญาณ ทีเป็นกระดูกท่านั่ง อันมีผ้าจีวรผุ ๆ หลุดร่วงอยู่ตรงนั้น ฉันจึงรู้ได้ว่า นี่คือร่างของพระผู้ที่ใฝ่ในการภาวนา มาเสียชีวิตในท่านั่ง ที่สุดถ้ำกลางป่าเขาที่ไม่มีใครจะมาเยี่ยม มีแต่เพียงพระธุดงค์ ที่แสวงหาที่สงัดเข้ามาเยี่ยมกัน หากเราไม่ได้เข้ามาดูโดยบังเอิญ ก็จักไม่เห็นร่างนี้เลย อนุโมทนา แด่ท่านที่เป็นผู้ใฝ่ในการภาวนา จนวินาที สุดท้าย
เมื่อฉันก้มตัวลงกราบ ภาพโครงกระดูกที่เห็นกลับเป็นเพียงกองกระดูก ที่มีเศษผ้าจีวรเท่านั้น ฉันได้ขุดหลุมในถ้ำนั้นด้วยมือและฝังกองกระดูกนั้นในถ้ำนั้นนั่นเอง ขอบคุณอาจารย์ใหญ่ที่ชี้แนะให้ข้าพเจ้า มิต้องวุ่นวายกับการมุดถ้ำต่อไป เพราะจะนั่งนอกถ้ำ ในถ้ำ มันก็เหมือนกันเสียแล้ว คือมีความตายเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน"
(๕๒๗) พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้วสิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
ข้อความบางส่วนจาก หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ