ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - หมิว
หน้า: 1 2 3 [4]
121  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / โอวาท หลวงพ่อทวด เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:31:20 pm

พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์

"มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่งานส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่นอนมาก
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่ได้นอนในไม่ช้า"

“นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา” (๓จบ)
122  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / "กำลังใจ"....พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา) เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:21:43 pm

"กำลังใจ"....พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา)


ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง

ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้น

ด้วยใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้

ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้วมันก็อาละวาด

เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนาสมาธิ

นี่แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"

…. ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจ ก็ให้พยายามปฏิบัติไปขยันก็ให้ปฏิบัติไป

ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่งนี่จึงจะเรียกว่า "การพัฒนาจิต"

ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนแล้ว

ก็จะเกิดความคิดไป ความสงสัยไปมากมาย

มันจะพาให้คิดไปว่า "เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนา

ปฏิบัติธรรมก็นานนักหนาแล้วยังไม่รู้ยังไม่เห็นธรรมเลยสักที"

การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ไม่เรียกว่าเป็น "การพัฒนาจิต"

แต่เป็น "การพัฒนาความหายนะของจิต"
123  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปริศนา 10 เรื่อง ... เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:31:37 pm
ปริศนา 10 เรื่อง ...

อันดับ 10 : มนุษย์หิมะ - เยติ ( The Abominable Snowman)

 

 
     สถานที่นี้ก็อยู่ทวีปเอเซีย ในหุบเขาหิมาลัย ในประเทศเยติ สถานที่นี้ได้มีการพบ อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาว ภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และการค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานกากรดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน นอกจากนั้นมันยังเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่ามักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี

 
 
 
อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)

 

 
     สถานที่ท่องเที่ยวที่ต่อไปต้องบินไปถึงทวีปอเมริกาใต้ ในทะเลทรายทางภาคใต้ ที่ราบสูงของประเทศเปรู ที่นั้นมีลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพแปลกๆ มากมาย และเป็นข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น แต่รีบๆ ไปเที่ยวหน่อยล่ะ เพราะปัจจุบันลายเส้นพวกนี้นับวันยิ่งจางหายไปเนื่องจากรอยล้อรถของพวกนัก ท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ลบของเดิมที่มีมาไปจนเกือบหมดแล้ว

 
 
 
อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)

 

 
     ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก โดยอาณาบริเวณนี้กินกว้างจากฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวด้า มันกินพื้นที่ตั้งห้าแสนตารางไมล์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ เช่น เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน ถ้าใครจะไปพิสูจน์ก็แขวนพระดีๆ หน่อยล่ะ

 
 
 
อันดับ 7 : ป้อมปราสาทสยองขวัญ (The Tower of London)

 

 
     สถานที่นี้ตั้งอยู่ในลอนดอนครับ มีชื่อเสียงมาก ถามใครต่างรู้จัก จัดได้ว่าเป็นสถานที่โบราณที่มีเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะที่นั้นเป็นสถานที่ ทั้งกษัตริย์ ราชินี เชื้อพระวงศ์ ตอลอดจนขุนนางชั้นสูงต่างล้วนจบชีวิตลงที่นี้มาก โดยการตัดคอ และมีหลายคนเห็นผีหัวขาดบ้าง ไม่ขาดบ้างปรากฏในปราสาทนี้นับครั้งไม่ถ้วนเลยครับ ในปัจจุบันเราก็สามารถเยี่ยมสถานที่ตั้งนี้ได้อย่างสบายใจ โชคดีอาจเจอผีก็ได้น่ะ

 
 
 
อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)

 

 
     สถานที่นี้ตั้งอยู่ในอเมริกา(ไม่บอกไม่รู้น่ะเนี้ย) ปรากฏในเคโรเระโดยน่ะจะบอกให้ พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้

 
   
อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน ( THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA)

 

 
     เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาซูเซตต์ สหรัฐอเมริกา คดีแห่งปริศนา(เกิดขึ้น 1962-2001) ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ? มันฆาตกรระดับโลกอีกคนที่ถูกนำไปสร้างหนังมากที่สุดอีกคนหนึ่ง เหยื่อของมันส่วนมากเป็นหญิงชรา ผลงานของมันมีถึง 13 ศพ ทุกรายถูกทารุณกรรมทางเพศ บางครั้งโดนกัด ทุบด้วยของหนัก ถูกแทง และจัดศพแผ่หลาราวกับถ่ายหนังโป๊ ที่น่าสังเกตคือทุกศพโดนรัดคอด้วยของใช้ของผู้ตายเอง เช่น ถุงน่อง กางเกงในยืด ฯลฯ และมัดในรูปของหูกระต่ายวางที่ใต้คางเหยื่อ คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอ ซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอ ซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา??? ปัจจุบันนี้เขายังมีการเปิดทัวร์ให้ไปเยี่ยมชมสถานที่การฆาตกรรมของเหยื่อ ทั้งหมดด้วยน่ะ ราคาก็ไม่แพง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอฆาตกรรม สืบสวน สอบสวนได้ดีเลยแหละ

 
 
 
อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส ( THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
   

   
     ทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง ปัจจุบันเราสามารถไปท่องเที่ยวที่นั้นได้อย่างสบายเลยแหละเพราะเขาเปิดเป็น สถานที่ท่องเที่ยวแล้ว พร้อมที่พักกับกล้องส่อง กล้องวงจรต่างๆ เผื่อถ่ายติดแล้วส่งรายการเรื่องจริงผ่านจอได้เลย

 
 
 
อันดับ 3 : คฤหาสน์วินเชสเตอร์ Mystery House

 

 
     คนที่อ่าน"Executional มหาสงครามออนไลน์ถล่มจักรวาล"คงร้องอ๋อกับสถานที่นี้ คฤหาสน์วินเชสเตอร์ ตั้งอยู่ที่ ซานโฮโซ แคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา ถูกสร้างในปีศตวรรษที่ 19 มันยังคงสภาพมานานเป็นเวลานานถึง 38 ปี และในปี 1974 ได้ถูกบันทึกเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากในแง่การก่อสร้างอันพิสดารแล้วยังมีชื่อว่าเป็นบ้านผีสิงอีกด้วย คฤหาสน์หลังนี้มีมูลค่า 5,500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ มีห้องทั้งหมด 160 ห้อง สูง 4 ชั้น (เดิม 7) ห้องใต้ดินสองชั้น ประตู 950 บาน หน้าต่างประมาณหมื่นบาน เตาผิง 47 เตา บันได 40 ที่(376 ขั้น) และห้องจัดเลี้ยงอีก 2 ห้อง ว่ากันว่าซาร่า สร้างคฤหาสน์นี้ขึ้นเพราะผีบอกให้สร้างเอาไว้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงผี และมีสิ่งที่แปลกก็เช่นบันไดที่ขึ้นไปโดยไม่สิ้นสุด ประตูห้องกลลวง หน้าต่างที่ไม่รู้จะสร้างมาทำไม ห้องกลไก ฯลฯ
ปัจจุบันนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม สำหรับทัวร์มีทั้งปกติในตอนกลางวันและทัวร์กลางคืน (ต้องมีไกด์นำทางกันหลง แต่ก็ระวังล่ะไกด์ก็เคยหลงมาแล้วเหมือนกัน)

 
 
 
อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE)

 

 
     เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป ปัจจุบันไม่รู้เขาจะเปิดหรือเปล่า แต่จากการเดาน่ะเขาคงไม่เปิดแล้วแหละเพราะรัฐบาลเขากลัวนักท่องเที่ยวมาทำ ความเสียหายบนเกาะนี้

 
 
 
อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)

 

 
     คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1888 ที่ ตรอกไว้ท์แช็พเพล ในลอนดอน ประเภทอังกฤษ มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดเหี้ยมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร? เหมือนกับของบอสตัน ปัจจุบันเราสามารถไปท่องเที่ยวจุดเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมที่นั้นได้อย่างสบาย เลยแหละเพราะเขาเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว พร้อมที่ไกด์ชราที่มาเล่าความหลังสมัยยังเด็ก แถมเป็นตอนกลางคืนอีก โอ้มันสนุกอะไรเช่นนี้ อย่างกับบ้านผีสิง
124  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีสลัดรักผู้ชาย นิสัยเสีย เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:04:20 pm
ทำไมโลกนี้ถึงได้มีแต่ผู้ชายแย่ ๆ เต็มไปหมด? คำถามนี้กลายเป็นคำถามโลกแตกไปแล้วค่ะ เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ทำไมประชากรชายนิสัยเสียถึงได้เพิ่มขึ้นขนาดนี้ เพราะหันหน้าไปทางไหนก็เห็นเพื่อนสาวหลายคนต่างโอดครวญถึงชีวิตรัก  พอได้ฟังก็ยิ่งเพิ่มความแค้นกับผู้ชายนิสัยเลว ๆ อย่างนี้ทวีเพิ่มขึ้นไปอีก สงสัยจริง ๆ ว่าผู้ชายดี ๆ หายหน้าหายตาไปไหนหมด หรือถูกครอบครองไปหมดแล้ว  เหลือแต่พวกแบดบอยให้ทำร้ายจิตใจผู้หญิงกันต่อไป
 
          ถ้าคุณกำลังคบอยู่ชายคนหนึ่งพอดี และอยากจะบอกเลิกเสียเต็มที เพื่อที่คุณจะได้ครอบครองชีวิตซึ่งเป็นของคุณเองอีกครั้ง ที่สำคัญคุณจะได้เชิดหน้าใช้ชีวิตเพื่อคบกับชายหนุ่มที่แสนดีเสียที แต่วิธีบอกเลิกแบบเดิม ๆ มันก็แสนธรรมด๊าธรรมดาไปแล้ว บอกเลิกไปก็ใช่ว่าผู้ชายพวกนี้จะไม่ได้นะคะปล่อยไว้ไม่ได้ อย่างนี้ต้องหาวิธีเด็ด ๆ มาใช้หักหลังผู้ชายนิสัยเสียเกิน Labelle มีวิธีบอกเลิกเก๋ ๆ มาให้ลองใช้กัน ได้ผลไม่ได้ผลยังไงบอกต่อด้วยนะคะ
 
 โกหกหน้าตาย
          จริงอยู่ว่าที่คุณบอกเลิกกับเขาก็เพราะว่านิสัยเสียหลาย ๆ อย่างของเขาที่คุณทนไม่ได้ แม้จะทดลองทนมานานแล้ว แต่ผู้ชายพวกนี้บอกเหตุผลจริง ๆ ไปก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรอก โกหกไปเลยหาเหตุผลเจ๋ง ๆ อย่าง "คุณทำให้ฉันรู้ตัวว่าเป็นเลสเบี้ยนแน่นอน" หรือ "ฉันมีผู้ชายใหม่ซะแล้ว  ขอโทษนะ" พูดจบก็เชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตรงออกไปเลยค่ะ
 
 มาสร้างครอบครัวกันเถอะ
          พวกเพลย์บอยทั้งหลายกลัวเหลือเกินกับเรื่องการโดนผูกมัด ดังนั้น การมีครอบครัว การมีลูก คือสิ่งที่เขาทั้งหลายออกอาการกลัวสุดขั้ว ลองแกล้งทำบอกเขาสิว่าคุณอยากแต่งงาน อยากมีลูกกับเขา คุณแฟนตัวดีของคุณหายเงียบเข้ากลีบเมฆแน่ แต่ถ้ายังไม่ยอมไปก็แกล้งทำเป็นซื้อหนังสือแม่และเด็กมาอ่าน รับรองว่าคราวนี้หายจริง
 
 สร้างสถานการณ์
          ลองให้เพื่อนที่สวยและเซ็กซี่ที่สุดในกลุ่มของคุณแอบมายั่วยวนเขา แล้วบังเอิญว่าคุณมาเห็นพอดี แสดงละครเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าไปเลย ออกอาการโมโหโกรธา น้ำหูน้ำตาไหลได้ก็จะดีมาก และบอกเลิกไปตรงนั้นเลย  หลักฐานมัดตัว (ที่คุณสร้าง) มันมีอยู่แล้ว ความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณด้วยอยู่ที่แฟนตัวแสบของคุณต่างหาก
 
 ไซโค
          ให้บรรดาเพื่อนสุดเลิฟของคุณ ใครก็ได้ แกล้งทำเป็นแฟนเก่าโรคจิต ส่งอีเมล์ขู่ไปหาแฟนของคุณว่า ถ้าเขาไม่เลิกกับคุณจะต้องโดนดีแน่ ๆ ใช้ข้อความที่แรก ๆ ดูเบา ๆ และค่อย ๆ หนักขึ้นหนักขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาประสาทเสีย แต่ควรจะสร้างอีเมล์ขึ้นมาใหม่นะ ไม่งั้นอาจจะโดนจับได้ หมดสนุกกันพอดี ซึ่งวิธีนี้คุณก็จะได้เห็นธาตุแท้ด้วยว่าแฟนคุณน่ะ ขี้ขลาดตาขาวแค่ไหน
 
 เป็นตัวของตัวเองสุด ๆ
          อย่างเวลาที่ออกไปข้างนอกกันสองคน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงหนัง แกล้งทำเป็นตดเสียงดัง ไม่ก็เรอออกมาหน้าตาเฉยต่อหน้าเขาเลแล้วก็บอกลองถามว่าเขารับได้หรือเปล่า  ถ้ารับไม่ได้ก็เลิกกันไปซะ  แต่ขอบอกก่อนว่าอันนี้เฉพาะคุณสาว ๆ ที่ไม่แยแสสายตาชาวบ้านและขอให้แน่ใจว่าไม่มีคนรู้จักอยู่ในร้านด้วย ทำให้เขาขายหน้าเล่น ๆ จะเป็นไรไปล่ะ
 
 ย้ายถิ่นฐาน
          แกล้งทำเป็นส่งโปสเตอร์จากสถานที่อื่น ๆ มาหาเขาพร้อมด้วยข้อความสั้น ๆ ว่า "จะไปเที่ยวพักผ่อนคนเดียว อีกหนึ่งปีเจอกัน" รับรองว่าเขาอึ้งแน่ วิธีนี้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรเลย เพราะคนแบบนี้พูดไปก็เท่านั้น ชิ่งไปอย่างนี้แหละ สะใจดีชอบ....
 
 อย่าเพิ่งมีคนใหม่
          ไม่ควรที่จะมีแฟนใหม่ก่อนบอกเลิกกับแฟนคนปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวคุณเองต่างกับแฟนเท่าไหร่ ทางที่ดีควรจะบอกเลิกให้เสร็จสรรพก่อนที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ คนอื่นจะได้ไม่มองคุณในทางที่ไม่ดีประมาณว่าจับปลาสองมือ และคุณจะได้คบกับแฟนใหม่ได้อย่างสบายใจด้วย
 
 ทำในที่สาธารณะ
          ผู้ชายนิสัยเลว ๆ อย่างนี้ต้องประกาศให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ค่ะ ไม่ต้องไปหาหรอกที่ส่วนตัวเพื่อที่จะบอกเลิก  คุยกันเลยต่อหน้าสาธารณชน แต่ไม่ถึงขนาดตะโกนโหวกเหวกอันนั้นก็ละครทีวีไปนิดนึงแต่งานนี้คุณต้องเข้ม แข็งสักหน่อย อย่าร้องไห้เชียวละ สู้สู้ สู้ตายค่ะ
 
 อย่ารู้สึกผิด
          หลังจากที่บอกเลิกกันไปแล้ว อย่ามัวมานั่งจับเจ่ากับความเศร้าอยู่เลย  เข้าใจว่าไอ้รักมันก็รัก แต่ถ้าผู้ชายมันนิสัยแย่มาก ๆ ก็อย่าไปแคร์เลยค่ะ รักตัวเองไว้จะดีกว่า คุณยังมีคนรอบข้างที่ยังห่วงคุณอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนผู้ชายน่ะ มีเยอะแยะเหมือนผัก ไม่ตายก็หาใหม่ได้ เชื่อสิ
 
          อย่าลืมว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม อย่าทำให้ผู้ชายแย่ ๆ คนหนึ่งเข้ามาทำให้คุณกลายเป็นคนกลัวความรักไปเลยล่ะ หันมาดูแลตัวเองทั้งกายและใจ พร้อมเปิดรับกับความรักครั้งใหม่ของคุณอาจจะอยู่ใกล้ ๆ แค่เอื้อมนี้ก็ได้  โชคดี...กับความรักครั้งใหม่ค่ะ
 
125  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เห็นเพืื่อน ขโมยของ และเราก็ไปเห็นตอนที่เขาทำ ควรทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 01:36:26 pm
เดินผ่านไป ...
เห็นเพืื่อน ขโมยของ และเราก็ไปเห็นตอนที่เขาทำ ควรทำอย่างไรดีคะ

เจ้าทุกข์ก็นั่งร้องไห้ เพราะสูญเสียของที่ถูกขโมย

ส่วนเจ้าเพื่อนนั้น ก็ขโมยของเขาไป ซึ่งเป็นเพื่อนเรา

เราควรทำอย่างไรดีคะ ที่จะไม่เป็นบาปกรรม กับเรา

ควรแจ้งตำรวจ ดีหรือป่าวคะ

หรือควรจะเฉย ๆ อยู่อย่างนี้

  :smiley_confused1:
126  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 8 กระบวนท่าของคุณผู้ชายที่ พิชิต ปัญหา ทุกเรื่อง ของหญิงสาว อ่านไว้จะได้รอด เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 03:51:02 pm

8 ท่าไม้เด็ด ของคุณผู้ชายที่คุณสาว ๆ ควรรู้ไว้เพื่อรับมือ ส่วนคุณผู้ชายก็จะได้ทราบค่ะว่า ท่าไม้เด็ดของคุณนั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อใช้ให้ถูกกาลเทศะและเพื่อให้สมานฉันท์

         เพราะชีวิตคู่ก็เหมือนลิ้นกับฟัน ที่คู่สามีภรรยาย่อมต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา และบนสังเวียนของการโต้เถียง ฝ่ายคุณผู้หญิงย่อมได้เปรียบ เพราะเป็นเพศที่มีความถนัดทางการใช้วาจาเป็นอาวุธ แต่ใช่ว่าคุณผู้ชายจะหมดทางสู้...เขาก็มีอาวุธลับ แม่ไม้ต่าง ๆ นานา มาโรมรันคุณได้เหมือนกัน

    แม่ไม้ที่ 1  ทำหูทวนลม

        เชื่อว่าพวกเราชาวดาวศุกร์คงเจอไม้นี้บ่อย ๆ เมื่อเราเอ่ยปากเรื่องความสัมพันธ์ที่กำลังทำท่าจะเป็นปัญหา เช่น "ชั้นว่ามีบางอย่างที่เราควรปรับปรุงให้ดีขึ้นนะ" สำหรับพวกดาวอังคารแล้ว คำพูดแบบนี้เท่ากับตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีข้อบกพร่อง และเหมือนการบอกเป็นนัย ๆ ว่าเราอยากจะหลุดพ้นวิถีชีวิตที่ทำให้เกิดความรู้สึกแย่ ๆ อย่างนี้เต็มทน

        หรือถ้าเราเง้างอดว่า "อะไรกัน? คุณให้ฉันทำไข่เจียวแค่เนี้ยเหรอ? นี่คุณกำลังหาว่าชั้นขี้เกียจ รึว่าทำอะไรไม่เป็นรึไง นี่รู้ไหม ฉันน่ะมีความสุขที่ได้ทำอาหารให้คุณทานนะ แต่ที่สำคัญฉันงงมากที่คุณดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย คุณทำท่าเหมือนว่าอยากเลิกกับชั้นยังงั้นแหละ....” ไม่ว่าเราจะพยายามระบายความอัดอั้นตันใจแ ละต้องการให้เขาหันมาปรับความเข้าใจเพียงไร เขาก็ทำเหมือนกับว่าเราบ่นไปงั้น ๆ แล้วทำเป็นหูทวนลมเสีย

    แม่ไม้ที่ 2  ทำเป็นฉุน

        นี่คือกลยุทธ์ของผู้ชายที่ใช้มาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ เวลาเข้าตาจนถูกคุณภรรยาซักไซร้ไล่เรียง เขามักจะชิงทำท่าโกรธเกรี้ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นการปกป้องตัวเอง มิให้ฝ่ายหญิงตั้งรับทัน และเป็นการตัดบทปิดประเด็นที่เป็นความกันอยู่

    แม่ไม้ที่ 3  คิดเอาเอง

        "เฮ้อ! เหนื่อยเหลือเกิน" แค่คำพูดลอย ๆ ที่เราบ่นกับตัวเอง เพราะเหนื่อยจากการงานหรือจากการดูแลลูกเต้า ฝ่ายเขาพานเข้าใจไปเองว่าเราพูดกระทบ เขารู้สึกเกลียดเข้าไส้ แทนที่จะหันมาใส่ใจไถ่ถามด้วยความห่วงใย หรือรีบเข้ามาช่วยทำงาน กลับมาโกรธเราแล้วงอนตุ๊บป่องไปเลย

    แม่ไม้ที่ 4  เบี่ยงเบนประเด็น

        เมื่อเจอเรื่องที่รู้ตัวว่าไม่มีทางโต้แย้งได้แน่ ๆ คุณสามีก็มักจะมีแทคติกง่าย ๆ ในการตั้งรับสายตาจ้องจับผิดของภรรยา อย่างเช่น เมื่อถูกภรรยาต่อว่า "เมื่อคืนคุณดื่มไวน์มากไปหน่อยนะ แถมซดเบียร์อีก 3 ขวด" เขารู้ว่ายากจะปฏิเสธ (เพราะหลักฐานปรากฏอยู่ทนโท่) จึงทำเป็นรีบยอมรับผิด และออกปากว่าจะไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก แล้วหาเรื่องมาพูดกลบเกลื่อนบรรยากาศคุกรุ่น หรือเฉไฉไปเรื่องอื่น เช่น นี่ถ้าเป็นลุงผมนะ คุณไม่มีทางจับได้หรอก แฮะ ๆ

    แม่ไม้ที่ 5  ขอโทษไปงั้น ๆ

        การกล่าวคำ "ขอโทษ" หรือ "เสียใจ" ทำนองว่า "ผมขอโทษละกัน...ถ้าคุณเห็นว่าผมผิด" พ่อเจ้าประคุณอาจไม่ได้เอ่ยออกมาจากใจจริง แต่เป็นการตบตาเพื่อยุติเรื่องราวชวนสยอง (ที่อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือภรรยา) หรือไม่ก็เป็นคำพูดประเภทว่า "เอาละ ผมยอมรับว่าคุณเป็นฝ่ายถูก ส่วนผมมันเป็นคนที่เฮงซวยที่สุดในโลก" (เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุดเย้ยหยันประชดประชัน)

    แม่ไม้ที่ 6  ทำเป็นบูดบึ้ง

        แทนที่จะจับเข่าพูดคุยกันให้รู้เรื่องรู้ราว ว่ามีเรื่องใดไม่สบอารมณ์ คุณผู้ชายกลับชักสีหน้าบูดบึ้งขมึงทึงสัก 2-3 วัน เพื่อให้เรารู้สึกว่า "ผมเริ่มไม่สบอารมณ์" หรือ "ชักจะทนคุณไม่ไหวแล้วนะ" และถ้าเรายังเฉยอยู่ เขาก็จะงึมงำว่า "ผมว่าเราแยกกันอยู่สักพักจะดีกว่า"

    แม่ไม้ที่ 7  ทำเป็นอมทุกข์

        ถ้าการชักสีหน้ายังไม่บรรลุผล พ่อตัวดีของเราอาจแสร้งทำตัวอมทุกข์อย่างสาหัสใ ห้คุณสงสารจนต้องเป็นฝ่าย เข้าไปเอาใจ เช่น ก้มหน้าก้มตาทำงานเยี่ยงทาส ถึงเวลากินก็ไม่กิน หอบหมอนไปนอนตากยุงนอกห้อง เป็นต้น

    แม่ไม้ที่ 8  หันหลังให้แล้วเดินจากไป

        ด้วยวิธีที่ผ่านมาทั้งหมด ถ้าผู้ชายยังไม่สามารถเอาตัวรอด หรือเอาชนะผู้หญิงได้ เขาอาจใช้ไม้ตายนี้ เพราะรู้ดีว่าทักษะในการโต้ตอบด้วยวาจาไม่เก่งกาจเท่าผู้หญิง เขาคิดว่า "พูดไปก็เท่านั้น ยังไงซะคุณก็เป็นฝ่ายชนะเสมอ ไม่ใช่เพราะว่าคุณเป็นฝ่ายถูกหรอกนะ แต่ผมรู้ว่าผมเถียงสู้คุณไม่ได้" ที่สุดเลยใช้วิธีหันหลังให้แล้วเดินจากไป ปล่อยให้เราอึ้ง ทึ่ง โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว

ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ผู้ชายร้อยทั้งร้อยย่อมม้วยมรณาด้วยคำพูดหวานหูด้วยกันทุกราย จำไว้นะพวกเรา

ที่มาจาก thaiza
127  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดยอดเกินบรรยาย!!!...10 ตำนานแพทย์ทางเลือกทั่วโลก วิธีบำบัดที่คุณต้องตะลึง !! เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 11:14:25 am
สิบตำนานแพทย์ทางเลือกทั่วโลก วิธีบำบัดที่คุณต้องตะลึง ....

....สุดยอด เกินบรรยาย !!!

สิบตำนานแพทย์ทางเลือกทั่วโลก วิธีบำบัดที่คุณต้องตะลึง ....

ระยะหลังนี้ ในเมืองไทยมีการพูดถึง “การแพทย์ทางเลือก” หนาหูขึ้น
ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือก ในกรณีที่แพทย์แผนปัจจุบัน ไม่สารถดูแลหรือเยียวยาได้
หรือ บางกรณี ถึงกับเป็นทางเลือก ที่อาจะทดแทนแพทย์แผนปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นองค์ความรู้ท้องถื่น ที่ได้รับการพิศูจน์ผล มาเป็นเวลายาวนาน
ตัวอย่าง “การแพทย์ทางเลือก” ต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากเวบไซต์ในอินเตอร์เนต
ซึ่งไม่สามารถยืนยันประสิทธิผล

 

 


 

การบำบัดโดยใช้โคลน

ในมณฑลเหลียวหนิง (Liaoning province ) ทางตะวันออกของจีน ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่า โคลนซึ่งมีแร่ธาตุปนอยู่ สามารถลดทอน และ บรรเทาอาการปวดจาก โรคไขข้ออักเสบ การบาดเจ็บสมองจากการกระแทก เป็นต้น (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ สค. 2006)

 

 

การใช้พิษของผึ้ง...

ชายจีนผู้นี้ รับการบำบัด โดยใช้พิษจากการต่อยของผึ้ง เพื่อรักษาอาการ  โรคข้ออักเสบ (arthritis) โรคเยื่อจมูกอักเสบ (rhinitis) ที่คลีนิคในเมืองซีอาน (Xi’an) ของมณฑชานซี (Shaanxi ) ทางตะวันตกของจีน หมอทำการรักษา โดยให้ผึ้งต่อยผู้ที่มาบำบัด เพื่อถ่ายพิษของผึ้งเข้าสู่ร่างกาย เพื่อรักษาอาการข้ออักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ ดังกล่าว (เมย. 2006)

 


มัจฉาบำบัด...

ในรีสอร์ทน้ำพุร้อนของฮาโคเนะ เมืองการท่องเที่ยวสำคัญของญี่ปุ่น มีการรักษาโดยใช้(คุณหมอ)ปลาที่แหวกว่ายไปมารอบๆขาของผู้ที่มารับการบำบัด รีสอร์ทเปิดคลีนิกรักษา โดยมี (คุณหมอ) ปลากว่าพันตัว ปลาเหล่านี้ เรียกว่า Garra rufa มีอยู่ทางตะวันตกของทวีปอาเซีย  ปลาจะกินเซลล์ผิวหนังส่วนที่ตายไปแล้วเป็นอาหาร ซึ่งมีผลช่วยรักษาโรคผิวหนังของผู้มาบำบัด (เมย. 2006)

 

เต่า...บำบัด

ชายคนนี้จับเต่าเทอราพิน (terrapin) เพื่อใช้ในการบำบัด โดยเชื่อกันว่า การสัมผัสของเต่า สามารถรักษาอาการโรคปวดข้อ (rheumatism) หรืออาการปวดเมื่อย ร่างกายอื่นๆได้การรักษาดังกล่าว มีขึ้นในเมืองที่ห่างจากกรุงพนมเป็ญไปประมาณ 20 กิโลเมตร
ความเชื่อ ในเรื่องพลังบำบัดเหนือธรรมชาติของสัตว์ต่างๆ เช่น เต่า วัว และ งูมีอยู่อย่างแพร่หลายในกัมพูชา (24 พค. 2006)

 

 

แมงป่อง...บำบัด..

หญิงสาวผู้นี้ รับการบำบัดตามตำนานแบบจีนโดยใช้แมงป่องที่ตายไปวางบนใบหน้า
การบำบัดเช่นนี้ มีในเมือง จีนัน (Jinan) เมืองหลวงของมณฑชางดง (Shandong) ทางตะวันออกของจีน (มิย. 2006)

 

 

ผลวอลนัท...กับการรักษาโรค

หญิงจีนผู้นี้ รับการบำบัดตามตำนานแพทย์แผนโบราณ โดยใช้ลูกวอลนัทแปะอยู่บนตา พร้อมทั้ง moxa ที่ลุกติดไฟที่ตา และในรูหู (มิย. 2006)
 

 

งู...คลายเครียด..

หญิงตะวันตกผู้นี้ รับการบำบัด โดยใช้งูเลื้อยไปมาบนร่างกาย
 

 



หมักโคลน...

โคลนสีดำ ที่โปะทั่วตัวของผู้บำบัด ในรีสอร์ทการท่องเที่ยว ที่เมือง ซูหนิง (Suning) ในมณฑล เสฉวน (Sichuan ) ทางตะวันตกฉียงใต้ของจีน เชื่อกันว่าดินโคลนซึ่งมีแร่ธาตุปนอยู่มากนี้ จะช่วยทำให้ผิวดีดได้ (พค. 2007)

 

กบเป็น ๆ...แก้ปวดท้องและไอ...

ชายจีนวัย 66 ผู้นี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเมืองชางราว(Shangrao) ในมณฑลเจียงซี ( Jiangxi) ทางตะวันออกของจีนเขากินกบเป็นๆ ทั้งนี้ มีที่มาจากว่า เมื่อ 20 เศษ เขามีมาอาการปวดบริเณช่องท้อง และไออยู่เป็นประจำ กระทั่ง ได้รับคำแนะนำจากผู้เฒ่าของหมู่บ้าน ให้กินกบเป็นๆเพื่อบำบัด (พค. 2007)

 

 

รักษาโรคไต..ไส้ติ่งอักเสบ...และมะเร็ง..

นี่เป็นอีกวิธีบำบัดในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อผู้บำบัด นำผึ้งให้ไปต่อยผู้ที่มารักษาจากโรคเกี่ยวกับหูเจ้าของสำนักผู้นี้เชื่อว่า การต่อยของผึ้ง ตามส่วนต่างๆของร่างกาย มีคุณสมบัติพิเศษ ที่ช่วยในการเยียวยาอาการต่างๆได้  ซึ่งได้แก่ การบำบัด โรคเกี่ยวกับไต ไส้ติ่งอักเสบ หรือแม้กระทั่งมะเร็ง (กค. 2007)
128  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ในครั้งพุทธกาล มีผู้ถูกธรณีสูบ จำนวนเท่าไหร่ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 11:18:53 am
ในครั้งพุทธกาล มีผู้ถูกธรณีสูบ จำนวนเท่าไหร่

  มีใครบ้างคะ

   :25:
129  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การจัดถาด กรรมฐาน เพื่อบูชา นั้นมีความหมายอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 10:23:52 am
เรื่องของ ถาดขัน 5 นั้น มีการบูชาใคร หรือ สิ่งใดบ้างคะ

เพราะหนูคิดออกเพียง 3 คะ คือ บูชาพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์

 ขัน ที่ 4 เป็น พ่อแม่ ขัน  5  เป็น ครู ใช่หรือป่าวคะ

 คิดได้เหมือนกราบ 5 ครั้ง


 :25:
130  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหล้าปั่น, ภัยซ่อนเร้น ล่าเหยื่อวัยรุ่น-นักดื่มหญิง เมื่อ: ธันวาคม 11, 2010, 08:45:57 pm
เหล้าปั่น, ภัยซ่อนเร้น ล่าเหยื่อวัยรุ่น-นักดื่มหญิง
จากสถิติข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบว่า อัตราการดื่มของนักดื่มหน้าใหม่มีถึงปีละ 260,000 คน อายุน้อยที่สุด 9 ขวบ และเคยพบเด็ก 5 ขวบที่ลองดื่ม ข้อมูลตั้งแต่ปี 2539-2550 พบว่า เยาวชนอายุ 15-19 ปี เป็นนักดื่มประจำเพิ่มขึ้นกว่า 70%

จากการสำรวจพบว่า ร้านขายเหล้ากว่า 83.3% ขายเหล้าให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวนหอพักนักศึกษากลายเป็นที่ขายเหล้ามากถึง 25% ในขณะที่ร้านเหล้าปั่นขยายตัวมากขึ้นกว่า 3 เท่า และส่วนใหญ่อยู่ในรัศมี 200 เมตรรอบมหาวิทยาลัย

นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ และผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีวิธีการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชนคือ เปิดสถานจำหน่ายสุราใกล้สถานศึกษาเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้อยู่ในรูปของการจำหน่ายสุราเป็นการเฉพาะแบบบาร์หรือผับ แอบแฝงในลักษณะร้านขายเครื่องดื่มทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีการนำเหล้ามาปั่นกับน้ำแข็ง ผสมน้ำตาล ผสมสี ผสมกลิ่นให้ดูเหมือนกับว่าเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ ทำให้เด็กนักเรียนนักศึกษาดื่มได้ง่ายและสะดวก คล้าย ๆ กับไวน์คูลเลอร์ในยุคหนึ่ง แต่ไวน์ คูลเลอร์ยังมีขวดมีสัญลักษณ์ที่ชัดเจน แต่นี่เหมือนน้ำผลไม้ปั่นตามร้านที่ขายน้ำผลไม้ปั่น ที่เรียกว่า สมูทตี้ ซึ่งเหล้าปั่นมีการปรุงคล้าย ๆ กัน

อัตราการดื่มของผู้ดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนหญิง มีการดื่มเพิ่มขึ้น เพราะมีการปรุงแต่งให้เป็นน้ำหวานหรือพันช์ ที่ดื่มง่ายและหน้าตาไม่เหมือนเหล้า แต่เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ เพื่อชูรส ซึ่งเป็นวิธีส่งเสริมการตลาดที่แนบเนียน

การดื่มสุราไม่เหมือนการดื่มน้ำอัดลมทั่วไป ตรงที่น้ำอัดลมดื่มแล้วไม่ติด ไม่ได้มีผลต่อสมอง แต่สุราถ้าดื่มแล้ว ทำให้เกิดภาวะเสพติด เพราะว่าเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปควบคุม หรือแทรกแซงการทำงานของสมอง เมื่อดื่มติดต่อกันหลายครั้งแล้วรู้สึกมีความสุขจากการดื่มสุรา ก็จะเกิดภาวะเสพติดสุรา

ถ้าดื่มเพียงเล็กน้อยระยะต้น แม้สุราจะไปแทรกแซงหรือควบคุมการทำงานของสมอง แต่อาจไม่ได้ทำลายสมองมากนัก แต่ถ้าดื่มติดต่อกันระยะยาวหรือเป็นประจำวันละ 2-3 แก้ว ก็จะทำให้สมองถูกทำลาย มีภาวะเสื่อมของสมอง นอกจากจะทำลายตับแล้ว ยังทำลายสมองและเกิดโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิด

ที่สำคัญคือ การดื่มสุราทำให้การศึกษาเล่าเรียนทำได้ไม่เต็มที่ เพราะเมื่อสุราดื่มเข้าไปแล้ว จะทำลายสมองหรือแทรกแซงการทำงานของสมอง จะให้เด็กและเยาวชนไม่สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาในทางที่ดีและเหมาะสม

ประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กและเยาวชน ถ้าดื่มสุราจะควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้ เพราะว่าโดยปกติเด็กหรือเยาวชน ความสามารถของสมองส่วนหน้าที่จะไตร่ตรอง ควบคุมพฤติกรรมของตัวเองทำได้น้อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮอร์โมนเพศเริ่มทำงาน ก็จะกระตุ้นให้เกิดอารมณ์แปรปรวนเป็นพื้น

ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะมีความก้าวร้าวจากฮอร์โมนเพศเข้า ไปเสริมทักษะทางสังคมก็มีน้อย ถ้าหากเด็กเยาวชนไปดื่มสุรา ก็มักจะก่อความรุนแรง ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ เพราะเวลาที่เมาสมองถูกแทรกแซงโดยสุรา ก็จะทำให้ไม่สามารถไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ก่อนที่จะมีพฤติกรรมเลวร้าย ไม่เพียงเรื่องการใช้ความรุนแรงอย่างเดียว ยังรวมถึงเรื่องความก้าวร้าวทางเพศ

ปกติแล้วในวัยเยาวชน ฮอร์โมนเพศทำงานจะควบคุมตัวเองในเรื่องทางเพศได้น้อยมาก ยังไม่มีทักษะในการควบคุม อีกประการด้วยแรงกระตุ้นทางเพศ หรือ sexual stress จะรุนแรงกว่าทุกวัย เพราะฮอร์โมนเพศจะมีความเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ประกอบกับร่างกายมีความกระตือรือร้นที่จะไปมีเพศสัมพันธ์เป็นพื้นอยู่ เมื่อดื่มสุราเข้าไปก็ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยในเรื่องเพศ หรือดื่มจนครองสติไม่ได้ ถ้าดื่มแล้วยังพอมีสติอยู่บ้างก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้เลยเมื่อมีอารมณ์เพศ เช่นกัน นี่เป็นที่มาของการกระทำความผิดทางอาญาในด้านเพศ สุราจึงเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการกระทำความผิดทางอาญาที่สำคัญที่สุดปัจจัย หนึ่ง

นอกจากนี้ พบว่าการใช้ความรุนแรงในครอบครัวจำนวนมากก็เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา ปัจจัยที่กระตุ้นให้เด็กกระทำความผิด หน่วยงานวิจัยจากสถานพินิจ พบข้อเท็จจริงว่า ภายใน 5 ชั่วโมงที่เด็กหรือเยาวชนเหล่านี้ดื่มสุรา 4 ใน 10 คน ก่อการกระทำความผิด

จุดนี้เป็นประเด็นที่ร้ายแรงมาก ถ้าหากปล่อยให้มีร้านจำหน่ายสุราอยู่ใกล้โรงเรียน หรือสถานศึกษา โดยเฉพาะไม่ได้เป็นรูปของการจำหน่ายสุราแท้ ๆ อย่างชัดเจน แต่แฝงตัวอยู่ในรูปของน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ปั่น ทำให้การควบคุมทำยาก

"เหล้าปั่นดูเหมือนว่าแอลกอฮอล์จะเจือจางก็จริง แต่เป็นการล่อเหยื่อที่ร้ายแรง เพราะการดื่มเหล้าปั่นนั้นดื่มง่าย ดื่มสะดวกมากกว่าดื่มสุราแท้ ๆ เพราะคนที่ไม่เคยดื่มสุราก็สามารถดื่มได้สบาย ๆ เพราะไม่ต่างจากน้ำหวานหรือน้ำผลไม้มากนัก แต่ในระยะยาวจะทำให้เสพติดได้ หรือถ้าดื่มปริมาณมากพอสมควรก็ทำให้เมาได้"

นายสรรพสิทธิ์กล่าวด้วย ว่า เราไม่ได้ขัดขวางเรื่องการจำหน่ายสุรา เพียงแต่ควรมีข้อแม้และเงื่อนไขว่า รูปแบบการจำหน่ายสุราแบบสุราปั่น ถ้าจะจำหน่ายให้ไปจำหน่ายในสถานที่ที่จำหน่ายสุราโดยเฉพาะ ไม่ใช่ปะปนกับน้ำผลไม้ปั่น หรือไปจำหน่ายในสถานบริการ เพราะในสถานบริการมีกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์เข้าไป เพราะอย่างน้อยหากมีเด็กหรือเยาวชนเข้าไปในสถานบริการ ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ยังเห็นและรับรู้ได้ แต่ถ้าจำหน่ายตามร้านทั่วไป ผู้ปกครองจะไม่รู้ว่าเด็กกำลังดื่มน้ำผลไม้ปั่นหรือสุราปั่น

ดังนั้น การจำหน่ายเหล้าปั่นลักษณะนี้ต้องยุติในทันที และควรมีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมดูแลไม่ให้จำหน่ายให้แก่เด็ก โดยเฉพาะการออกเป็นกฎกระทรวง ไม่ให้ใส่แอลกอฮอล์ในน้ำหวานหรือในน้ำผลไม้ปั่น จำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป อีกประการคือ การควบคุมสถานที่จำหน่ายสุรา ผับหรือบาร์ ไม่ควรตั้งอยู่ในบริเวณใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา
131  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตของเรา ต่างอะไรกัน ผ้าขี้ริ้ว (อีกมุมที่น่าคิด) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 12:39:04 pm

ชีวิตของเรา ต่างอะไรกัน ผ้าขี้ริ้ว (อีกมุมที่น่าคิด)
   1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบาก

เพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย

ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

   2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา

เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว

มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

   3.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด

เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน
ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า

ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี

เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

   4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายาม

ทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์

ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต

ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

   5.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสา

ทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน

ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม

คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

   6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่ง

ที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็น

ของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้

บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้

ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

   7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจ

ที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงาน

ปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ

มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน

ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

   8.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน

ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้

เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย

คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

   9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่

เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท

จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อ

คำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจ

ในสิ่งนั้น  มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า

เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ

ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได

้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต

อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่า
132  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความรักของคนตาบอด เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 12:06:51 pm
ความรักของคนตาบอด



คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊ ?
 
 
 คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่....
 
 
 คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ
 
 
 เช่น..ตลาดนัด...
 
 
 พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ
 
 
 ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง...
 

 คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด...
 
 
 เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่...
 
 นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง...
 
 
 กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้
 
 
 ก็คือขันอลูมิเนียม...
 
 
 อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน..
 
 
 ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก..
 
 
 แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...
 
 
 และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน...
 
 
 ผมเห็นเขาจับมือกัน...
 
 
 วินาทีนั้น...
 
 
 ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด..
 
 คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า....
 
 
  ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ...
 
 
 เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า...
 
 
 คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร..
 
 
 คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น.
 
 
 เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน....
 
 
 ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี
 
 
 ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้...
 
 
 ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน...
 
 
 ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน..
 
 
 คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ...
 
 
 ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น.
 

 คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง...
 
 
 คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก...
 
 
 คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน...
 
 
 พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ?
 
 คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด
 
 
 จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน...
 
 
 คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ?
 
 
 :-)
 
 
 ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...
 
 
 หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน...
 
 
 หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด...
 
 
 แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...

 
  หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น. .

 
 เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ...
 

 อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...
 
 
 ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า...
 
 
 วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน...
 
 
 ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข....
 
 
 ตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว...
 
 
 พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆ เหมือนผมหรอก...คุณว่าไม๊
 
 
 ?
   ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้....
 
 
 ผมเชื่อว่าครั้งหน้า.ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น...
 
 
 คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...
 
 
 ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ...
 
 
 เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...
 
  Ps... ขอบคุณ...ที่อ่านจนจบ....
133  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลดเด็กอังกฤษหัวโตขึ้น 3 เท่า แพทย์เผยไม่เคยพบมาก่อน ( กรรมอันใด ฤา ) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 11:56:46 am
สลดเด็กอังกฤษหัวโตขึ้น 3 เท่า แพทย์เผยไม่เคยพบมาก่อน





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก     cosmo360.blogspot.com

          เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศ ตีแผ่เรื่องราวสุดสลดของเด็กทารกวัย 10 เดือน จากอังกฤษคนหนึ่ง ที่ป่วยเป็นโรคสมองบวมน้ำซึ่งไม่อาจรักษาให้หายได้ ขณะที่ทางพ่อแม่เด็กวอนขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรักษาชีวิตเด็กไว้ แม้ความหวังจะริบหรี่และไม่เคยมีใครรอดชีวิตก็ตาม

          โดยทารกผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ มีชื่อว่า น้องเคล้าส์ ป่วยเป็นโรคสมองบวมน้ำ หรือ Hydrocephalus ทำให้ศีรษะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า 3 เท่าของเด็กปกติ ซึ่งพ่อและแม่ของน้องเคล้าส์ได้เปิดเผยว่า ในช่วงแรกเกินนั้น เคล้าส์มีขนาดศีรษะเหมือนเด็กปกติทั่วไป คือประมาณ 35 เซนติเมตร แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปประมาณขวบเดือนที่ 8 พวกเขากลับพบว่า ศีรษะของเคล้าส์เริ่มขยายใหญ่ขึ้น และวัดขนาดได้ถึง 104 เซนติเมตรในขณะนี้ จึงวอนให้ทีมแพทย์ช่วยเหลือเคล้าส์อย่างถึงที่สุด

          ด้าน ดร. เดวิด จิเมเนซ กุมารแพทย์แห่งโรงพยาบาลในซานแอนโตนิโอ รัฐเท็กซัส ได้กล่าวว่าสำหรับกรณีของเคล้าส์นั้น เขาได้เริ่มเจาะเอาน้ำออกมาบางส่วนแล้ว และจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะศีรษะของเคล้าส์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ทีมแพทย์เองก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้หรือไม่ เพราะตั้งแต่ทำงานมา ก็ไม่เคยเจอผู้ป่วยที่มีสมองบวมได้ขนาดนี้มาก่อน ขณะที่ภาวะสมองบวมน้ำของ เคล้าส์กำลังจะทำให้เคล้าส์ตาบอดถาวร หูหนวก และสมองอาจจะถูกทำลายไปแล้วก็เป็นได้ ซึ่งตรงนี้ทีมแพทย์ไม่สามารถตรวจสอบและสรุปอะไรได้เลย ขณะที่ทางพ่อแม่ของเคล้าส์ก็เฝ้าแต่อธิษฐาน ขอให้ลูกมีชีวิตรอดและสู้กับโรคนี้ต่อไป แม้ว่าความหวังจะริบหรี่ก็ตาม

          สำหรับโรคสมองบวมน้ำ เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีน้ำในสมองเป็นจำนวนมาก  ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของสมองโดยกำเนิด คือมีการไหลเวียนและดูดซึมผิดปกติ ทำให้เกิดน้ำขังอยู่ในกะโหลก และส่งผลให้ศีรษะบวมขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เด็กไม่สามารถกลืนอะไรได้ และขยับศีรษะไม่ได้เพราะน้ำหนักของศีรษะถ่วงไว้ แต่หากเป็นในระยะแรกจะสามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการผ่าตัดแล้วต่อสายยางดูดน้ำให้ไปไหลเวียนใต้ผิวหนัง หรือเจาะกะโหลกดูดน้ำออกมา แต่ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์เกี่ยวกับองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง เช่น ปริมาณน้ำในสมอง เนื้อสมอง เป็นต้น แต่จากหลายกรณีที่ผ่านมา เด็กมักจะเสียชีวิตในที่สุด เพราะศีรษะมีขนาดใหญ่ หนัก และทำให้เป็นแผลติดเชื้อ ไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
blogspot.com
134  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การ เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 02:06:13 pm


ดอกบัวเจ็ดดอก คืออะไร

การ เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก มีที่มาจากภาพปริศนาธรรม ดอกบัวเจ็ดดอกที่รองรับรอยพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะวันประสูติ เดินได้เจ็ดก้าว มีดอกบัวรองรับเจ็ดดอก

พระอาจารย์กุสลจิตโต ไขปริศนาธรรม (เดินเจ็ดก้าวดอกบัวเจ็ดดอกรองรับ) มาเป็นกรรมฐาน "เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก" เดินตามรอยเท้าเจ็ดก้าว เดินไปเจ็ดก้าวกระทบส้นเท้าเดินกลับเจ็ดก้าวกระทบส้นเท้า ตามรอยเท้าเจ้าชายสิทธัตถะองค์น้อย

พรรษาแรกแห่งการบวชของพระอาจารย์ กุสลจิตโต(๒๕๓๖)ท่านตั้งสมมุติฐานว่า พระพุทธเจ้าประสูติ เดินได้เจ็ดก้าวมหัศจรรย์ยิ่งนัก ในโลกนี้จะมีใครเกิดแล้วเดินได้เจ็ดก้าวมีอีกบ้างไหม ท่านพิจารณาแล้วไม่มีใครนอกจากพระพุทธเจ้า พระอาจารย์กุสลจิตโต ตั้งสมมุติฐานต่อว่าจะเดินตามรอยพระพุทธเจ้าก็ต้องเดินให้ได้เจ็ดก้าวตามแบบ อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ เดินตามไปเรื่อยๆ ต่อไป เจ้าชายน้อยสิทธัตถะก็คือพระพุทธเจ้า

พระอาจารย์กุสลจิตโต จึงเกิดการค้นหา เดินอย่างไรจะเดินไปได้เจ็ดก้าว เดินกลับได้เจ็ดก้าวท่านทดลองค้นหาอยู่สามวัน จึงค้นพบ "เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก" และท่านใช้ศิลปะการเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอกนี้ค้นหาชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน


ข้าพเจ้า นางสาววรรณฤดี รัตนะ อาจารย์สอนวิชาพุทธศาสนา โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ได้ทดลองทำความเข้าใจชีวิตด้วยการเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก จากปี พ.ศ.๒๕๔๓ ถึงปัจจุบัน ได้ดอกบัวเจ็ดดอกในหัวใจ คือ หาทุกข์ พบทุกข์ เรียนทุกข์ รู้ทุกข์ ผ่านทุกข์ ถึงธรรม สำราญใจ

จึงนำมาแนะนำให้นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ได้ทดลองฝึกในคาบเรียน และได้จัดค่าย สติภาวนาดอกบัวเจ็ดดอก ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๗

ทำอะไร ใน ดอกบัวเจ็ดดอก

คำตอบคือ ฝึกสติ ฝึกปัญญาอันเลิศ เกิดพุทธะภายในตัวเอง ฝึกด้วยตัวเองรับรองตัวเองได้ว่าทุกข์ลดลง

ทำไมต้องเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก
พัฒนา จิต อารมณ์แจ่มใสเบิกบานทำงานนอกในด้วยใจร่าเริง สร้างวินัยเฝ้าดูตนเพียรอดทน ค้นหาพุทธะภายใน เปิดใจเรียนรู้ สู่การสร้างสรรค์ตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม

ทำอย่างไรให้เกิดพุทธะภายใน
๑. เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอกให้ถูกต้อง
๒. ฝึกสติสัมปชัญญะและโยนิโสมนสิการขณะสัมผัสทั้งหก เปิดให้อายตนะทั้งหกทำงาน อย่างอิสระ
๓. ร่างกายผ่อนคลาย กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
๔. ดื่มน้ำมากๆ เพื่อระบายความร้อน
๕. เดินนานๆ เพื่อฝึกความอดทน เดินจนเกิดทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์จากชีวิต เกิดการปล่อยวาง
๖. เดินเป็นประจำ เพื่อการเรียนรู้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
๗. สนุกสนานกับการเดิน เพื่อให้เกิดจิตเบิกบาน ยอมรับชีวิตตามความเป็นจริงไม่มีอคติ เดินเจ็ดก้าวกระทบให้ลงจังหวะเพลง
๘. ขณะเดินจงกรมปล่อยให้คิดอย่างเสรี คิดดี คิดชั่ว ปลดปล่อยความคิดอดีตออกมาให้หมด คิดเข้าสู่กระบวนการโยนิโสมนสิการ คิดแบบอริยสัจสี่ คิดแก้ปัญหาด้วยปัญญา
๙. หายใจให้ถูกวิธี หายใจเข้าลึก ท้องน้อยป่อง หายใจออกท้องแฟ่บ เพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้เต็มที่
๑๐.มีวินัยในการเดิน เดินให้ถูกต้อง ปล่อยให้คิด ดื่มน้ำมากๆ หายใจให้ถูกต้อง



มรรคปฏิบัติขณะเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก

ทางจิต
ปล่อย ให้คิดอย่างเสรี คิดดี คิดชั่ว ปล่อยให้คิดออกมา ไม่มีการกล่าวโทษตัวเอง เดินจงกรมไปด้วยคิดไปด้วย คิดโยนิโสมนสิการ คิดยอมรับชีวิตตามความเป็นจริง ไม่ตำหนิตนเอง วางใจ วางทีท่าชีวิตด้วยจิตเบิกบานท่ามกลางความทุกข์ ไม่มีอคติเมื่อตาเห็น ไม่มีอคติเมื่อหูได้ยิน ไม่มีอคติกับทุกเรื่อง

ใคร มีอดีตที่เจ็บปวด เดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอกก็จะมีความคิดในอดีตที่เจ็บปวดออกมาในทุกแง่มุมอย่า หนีความจริง อย่าหลอกตัวเอง อย่าบังคับจิตไม่ให้คิด จะปวดหัว อย่าบังคับสายตา อย่าเดินเกร็งตัว ปลดปล่อยให้ความคิดที่เจ็บปวดออกมา อย่าไปหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่เจ็บปวด จึงต้องมีพี่เลี้ยงช่วยที่จะให้คิดถึงอดีตที่เจ็บปวดได้ พี่เลี้ยงคือ เสียงเพลง เดินให้ลงจังหวะเพลง เดินให้เร็ว เดินให้ลงจังหวะ เดินให้เร็ว ๘ รอบต่อนาที

เดินคิด สืบสวน สอบสวน ชีวิตตัวเอง ตรวจสอบ ประเมินผลชีวิตตนเองที่ผ่านมา คิดต่อไปถึงการปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมชีวิตของตนอย่างไร ที่จะออกมาจากวังวนแห่งความทุกข์นั้น จะคิดวางแผน จัดการชีวิตอย่างไรที่จะไปสู่ความก้าวหน้าความสำเร็จ คิดไปเลย เดินคิดได้อย่างเต็มที่

ทางกาย
ขณะเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก เดินให้ถูกต้อง ตามแบบของการเดินจงกรมดอกบัวเจ็ดดอก ซึ่งเป็นสาระที่สำคัญมากที่สุด เพราะแบบการเดินเจ็ดก้าว เท้ากระทบส้นชัดเจนถูกต้องจิตเบิกบานนี้จะก่อเกิดสติสัมปชัญญะอย่างรวดเร็ว สนุกสนานกับการเดินให้ลงจังหวะเพลง หายใจยาวลึกถึงท้องน้อย หายใจออกอย่างผ่อนคลาย ให้ลงจังหวะกับการก้าวกระทบและลงจังหวะกับการเดินและเสียงเพลง

การ กระทบของส้นเท้าจะมีผลต่อสมองโดยตรง เพราะกระทบส้นเท้าซ้ายจะไปโดนปลายเส้นประสาทที่โยงไปกระทบเส้นประสาทสมองซีก ขวา กระทบส้นเท้าขวา จะมีผลต่อปลายประสาทที่โยงใยไปกระทบเส้นประสาทสมองซีกซ้าย

เมื่อสมอง ซีกซ้าย และสมองซีกขวา ถูกกระทบอย่างสมดุล ทำให้สมองสองซีกแข็งแรง เกิดปัญญา เกิดไหวพริบในการตัดสินปัญหาชีวิต เกิดสมาธิจิตนำไปสู่การพัฒนาการเรียนรู้ได้รวดเร็ว

ในสมองก็ปล่อยให้ คิด ทำจิตใจให้มาสนใจสนุกกับการเดินด้วยลูกเล่น ลีลา ร่าเริงกับการเดินให้ลงจังหวะเพลง ไม่เกร็งกล้ามเนื้อ หน้ามองตรง มองทุกอย่างที่ผ่านมาอย่างอิสระ กระดูกสันหลังตรง

เดินให้เร็ว ๘ รอบต่อนาที ความเร็วของการเดินจะเกิดเป็นแรงเหวี่ยงที่จะให้ความคิดหลุดออกไปจากสมองได้ อย่างรวดเร็ว เดินเร็ว ๘ รอบต่อนาที จะทำให้เดินลงกับจังหวะเพลง จะเกิดความเพลิดเพลินสุนทรีย์ในจิตใจ เกิดการผ่อนคลายเส้นประสาทสมองได้อย่างรวดเร็ว
***เดินนาน ๆ รับรู้สภาวะทุกข์ ปวดขา ปวดเมื่อยตามความเป็นจริง ปัญหามา ปัญญาเกิด หาปัญญา
***ขณะ เดินเร็ว ๘ รอบต่อนาที เดินนาน เกิดกระบวนการสันดาปภายใน ความร้อนจะเกิดขึ้น เพราะต้องใช้พลังงานมาก จะรู้สึกร้อนเหงื่อออกเหนื่อย หิวเร็ว จะรู้สึกปากแห้ง คอแห้ง รู้สึกกระหายน้ำ อย่าทิ้งไว้ แสดงว่าร่างกายขาดสมดุล น้ำไม่เพียงพอ จุดนี้จะเป็นตัวก่อโรคภายในร่างกายเกี่ยวกับระบบการหายใจ

ให้หยุดการ เดินจงกรม และไปดื่มน้ำมากๆ ๑ ลิตร และกลับมาเดินใหม่ จะรู้สึกอึดอัดที่ดื่มน้ำมาก ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ เดินจงกรมต่อไป น้ำจะซึมซับเข้าสู่เซลล์ประสาท เซลล์สมอง ซึมซับเข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย จะสร้างความสดชื่นให้ชีวิตชัดเจน

หลังจากดื่มน้ำแล้ว การเดินจงกรมเร็ว ๘ รอบต่อนาทีจะทำให้เกิดการหิวเร็วขึ้น ต้องรับประทานให้สมดุล กล่าวได้ว่า ปลูกบัวให้งามต้องถึงน้ำถึงปุ๋ย ใส่น้ำ ใส่ปุ๋ย ให้กับชีวิต ให้สมดุล คุณภาพชีวิตจะเกิดขึ้น

เดินนานๆ รับรู้สภาวะทุกข์ ปวดขา ปวดเมื่อยตามความเป็นจริง ปัญหามา ปัญญาเกิด หาปัญญามาแก้ไขด้วยรอยยิ้ม เดินลงจังหวะเพลง จิตไม่อยู่กับความเจ็บ จิตมาสนุกกับการเดินลงจังหวะเพลง ไม่มีอคติต่อความเจ็บ ยอมรับความเจ็บด้วยจิตเบิกบาน เจ็บก็รู้ว่าเจ็บ เดินต่อไป จนเห็นภาวะความเกิดดับของความเจ็บ เห็นภาวะการเกิดดับของความคิด จนเกิดปัญญาเห็นชีวิตตามความเป็นจริงทุกอย่างทุกสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรน่ายึดถือ ยึดติด เมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น จิตเกิดการปล่อยและวาง ภาวะความทุกข์ทั้งหลายก็จะจางคลายไปโดยอัตโนมัติ

นอก จากความปวดเมื่อยแล้ว ขณะเดินนานๆ จะเกิดความเหนื่อยเพราะเดินเร็ว เดินนานอย่าถอย เดินต่อไป มีลีลาลูกเล่นกับการเดิน และหายใจยาวลึกต่อไป ขณะกระทบส้นเท้า หายใจเข้าลึกถึงท้องและผ่อนลมหายใจออก ถึงจุดหมุนกระทบส้นเท้าให้หายใจเข้าให้พอดี จิตอย่าไปอยู่กับความเหนื่อย ให้จิตสนุกกับการเดิน จิตสนุกกับการหายใจยาวลึก หายใจผ่อนคลาย รับรู้ว่าเหนื่อยตามความเป็นจริง และมาแก้ไขความเหนื่อยด้วยการหายใจผ่อนคลาย อย่าถอนความเร็ว ยังคงเดินเร็ว ๘ รอบต่อนาทีอย่างสม่ำเสมอต่อไป ความเหนื่อยเกิดขึ้นความเหนื่อยตั้งอยู่ ความเหนื่อยก็ดับไป

เมื่อสามารถผ่านสภาวะทุกข์หลายรูปแบบ สภาวะทุกข์ทางความคิดก็ปล่อยให้คิดออกมาให้หมด ความคิดปัญญาเกิดมาแทนที่

สภาวะทุกข์ ปวดเท้า เมื่อยขา มีลีลาลูกเล่นกับการเดินผ่อนคลายเส้น ความปวดขาก็หายไป
สภาวะทุกข์ ความเหนื่อย เดินต่อไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ หายใจผ่อนคลายยาวลึกข้าไป
ความเหนื่อยก็หายไป

สุดท้ายสิ้นสุดการเดินจงกรมดอกบัว ๗ ดอก แผ่เมตตา ส่งความรักปรารถนาดีให้กับทุก
สรรพสิ่ง และยืดเส้นคลายเส้น ให้เลือดลมเดินได้สะดวกยิ่งขึ้น
และจบด้วยการนั่งเจริญสติพุทธลีลา เคลื่อนไหวมือตามแบบอย่างสมเด็จพ่อพระพุทธเจ้า
ในสามปาง ปางมารวิชัย ปางปฐมเทศนา และปางสมาธิ เป็นการผ่อนคลายสมอง ผ่านเส้นประสาทมือ
และหายใจยาวลึกประกอบการเคลื่อนไหวนิ่ง เป็นการเก็บพลังชีวิต
ผล ทั้งกายและใจ เข้าสู่สภาวะโล่ง โปร่ง เบาสบาย จิตเป็นสมาธิ พร้อมที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ฝึกไปเรื่อยๆฝึกประจำ อะไรเกิดขึ้น
สติจะคม ปัญญาจะไว ไหวพริบจะมีสันติสุขเต็มที่ สุขนอกสงบใน

เดินจงกรมดอกบัว ๗ ดอกและ พุทธลีลา


แหวกว่ายทะเลทุกข์
ข้ามแดนนรก สู่แดนพุทธะ
ทำแบบฝึกหัดบำบัดทุกข์หลากหลายที่เข้ามาเยือนชีวิต
ด้วยจิตแจ่มใส
ญาณวิเศษ คือ ฝึกสติสัมปชัญญะอย่างสนุกสนานร่าเริง
กับพี่เลี้ยงคือ เสียงเพลง
บนพื้นฐาน ๗ ก้าวเท้ากระทบ ตามรอยเท้าเจ้าชายสิทธัตถะ
ดอกบัว ๗ ดอกบอกความเบิกบานใจ
ผนวกกับการปลดปล่อยความคิด คิดดีคิดชั่ว คิดออกมาอย่างเสรี
บนกระบวนการคิดโยนิโสมนสิการ ทุกรูปแบบ
ทั้งอริยสัจสี่ อิทัปปัจจยตา
เห็นที่มาของปัญหา เกิดปัญญา
จัดการกับชีวิต ด้วยจิตพุทธะ
มีสรณะ คือ พระรัตนตรัย


น.ส. วรรณฤดี รัตนะ
๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗

สอบถามรายละเอียดทางmsn boy7lotus@ hotmail.com


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=7lotus&group=2
135  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฟัง รายการ RDN เรื่องการให้ธรรมทาน แล้ว จำไม่ค่อยทัน ในเรื่องของการให้ เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 01:56:34 pm
อยากให้พระอาจารย์ สรุปเรื่องการให้ธรรมทาน ให้อ่านเพิ่มคะ ได้ฟังแล้วจดไม่ทันและไม่รู้พระอาจารย์จะพูดอีกตอนไหน คะ

 :25:
136  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กี่ครั้งที่ต้องทะเลาะกัน...เพราะคนอื่น เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 02:14:46 pm



กี่ครั้งที่ต้องทะเลาะกัน...เพราะคนอื่น

"ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่มีใครเคยนับบ้างว่าที่ผ่านมา
มีกี่ครั้งที่เราทะเลาะกันเพราะคนอื่น"
............................................................


เพราะตลอดชีวิต
เราต้องเกี่ยวข้องกับคนมากมาย
ชีวิตจึงต้องแยกออกเป็นหลายส่วน
และแต่ละส่วนลเวนต้องการการดูแลที่เหมาะสม
การจะให้ชีวิตกับความรัก
เดินจับมือกันไปได้อย่างลงตัว
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

.
.
.
.
.
ท่ามกลางความหลากหลายของวิถีชีวิต
ท่ามกลางผู้คนที่ต่างก็มีความคิดเห็นของตัวเอง
ทำให้หลายครั้งที่เราต้องทะเลาะกันเพราะคนอื่น
ด้วยไม่อาจจะแยกแยะได้ว่า
ส่วนไหนคือชีวิต ส่วนไหนคือความรัก

เวลาไหนควรเด็ดขาด และเวลาไหนควรโอนอ่อน
เมื่อสองสิ่งล้ำเส้นกันปัญหาจึงเกิด

"การใช้ชีวิตในเรื่องความรัก
ไม่ได้ใช้แค่หัวใจ
หรือแค่รู้ว่าเรารักใคร
และใครรักเราเท่านั้น
แต่เราต้องมีหัวใจที่เด็ดขาด"
.
.
.
.
กล้ายอมรับและกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง
อย่าปล่อยให้สิ่งแวดล้อม
มีอิทธิผลมากกว่าสมองและหัวใจ

<<อย่ารอให้รักจากไปแล้วจึงเข้าใจว่ารักกัน>>
137  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 7 เทคนิคดูแล "ลูกสมาธิสั้น" อย่างสร้างสรรค์ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:24:59 pm
ได้ ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของลูกสมาธิสั้น หรือสมาธิบกพร่อง คงต้องรับบทหนักกันหน่อย เพราะเด็กในกลุ่มนี้จะมีความบกพร่องในการใส่ใจ การคงสมาธิ ทำให้วอกแวก อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น วู่วาม หรือทำอะไรโดยไม่ทันได้คิด จึงมักประสบอุบัติเหตุจากความซน และความไม่ระวังของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

           
       ในเรื่องนี้ พญ.อังคณา อัญญมณี จิตแพทย์ เด็ก และวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ บอกว่า การดูแลลูกที่เป็นสมาธิบกพร่อง พ่อแม่ต้องมีความรู้ และความเข้าใจ เพราะเด็กในกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเรียน การเล่น หรืออื่น ๆ ดังนั้น เด็กไม่ได้แกล้งซน แกล้งไม่เชื่อฟัง หรือขาดความรับผิดชอบ แต่มันเป็นอาการผิดปกติการทำงานของสมอง ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
       
       "ลูกที่มีสมาธิ บกพร่อง เป็นเด็กเลี้ยงยากที่พ่อแม่มักเกิดอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย บางครั้งจึงใช้วิธีตีลูก เพื่อให้ลูกทำในสิ่งต้องการ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกเป็นว่าลูกไม่ได้แกล้งดื้อ หรือแกล้งซน เมื่อเป็นเช่นนี้จะยิ่งทำให้ลูกมีอาการของตัวโรคมากขึ้น นำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว และใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา" จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นท่านนี้กล่าว
       
       ดังนั้น พ่อแม่ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น หรือสมาธิบกพร่อง จำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้อง เพื่อช่วยในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของเด็ก ซึ่งการตี หรือการลงโทษทางร่างกาย เป็นวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ผล และจะมีส่วนทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธ หรือแสดงพฤติกรรมดื้อต่อต้าน จนก้าวร้าวมากขึ้น

ที่มา
Fwd mail

       
       7 เทคนิคดูแลลูกสมาธิสั้นอย่างสร้างสรรค์
       
       1. ลดสิ่งเร้า
       
       สิ่งเร้าเป็นตัวสำคัญที่ทำให้สมาธิของลูกน้อยลง ดังนั้นการลดสิ่งเร้า สมองจะไม่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เด็กไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญ นำไปสู่การมีสมาธิกับสิ่งสำคัญได้มากขึ้น
       
       สำหรับวิธีลดสิ่งเร้านั้น คุณ หมอแนะนำว่า พ่อแม่ควรจัดบ้านให้เรียบง่าย และเรียบร้อย ไม่ควรมีลวดลายสีฉูดฉาด หรือของตกแต่งบ้านมากเกินไป พร้อมทั้งจัดของให้เป็นระเบียบ เก็บของในตู้ทึบแทนตู้กระจก
       
       - ควรจัดที่เงียบ ๆ ให้ลูกได้ทำงาน หรือทำการบ้าน ต้องไม่มีเสียงโทรทัศน์รบกวน ส่วนบนโต๊ะควรมีเฉพาะสมุด ดินสอ และยางลบ
       
       - มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสงบ พูดกับเด็กด้วยเสียงเบา ไม่ตะโกน โวยวาย รวมทั้งพ่อแม่ไม่ควรทะเลาะ หรือใช้ความรุนแรงต่อหน้าลูก
       
       - หัดให้ลูกอยู่ในบรรยากาศที่สงบ หรือทำกิจกรรมเงียบ ๆ เช่น หัดให้นั่งเล่นในสนามหญ้าเงียบ ๆ ลดการเที่ยวศูนย์การค้า ไม่ซื้อของเล่นให้มากเกินไป อีกทั้งจำกัดเวลาดูโทรทัศน์ เล่นเกม และคอมพิวเตอร์
       
       ด้านสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน ควรจัดให้เด็กมานั่งใกล้ ๆ ครู ไม่ควรให้นั่งใกล้ประตูหน้าต่าง หรือเพื่อนที่ชอบเล่น ชอบคุย

       2. เฝ้ากระตุ้น
       
       - จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่คอยติดตาม และตักเตือนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กเล็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดเวลา แม้จะรู้ และเข้าใจว่าควรทำสิ่งใดก็ตาม
       
       - เด็กต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่ และครูตลอดเวลา
       
       - ทำบันทึกร่วมกันระหว่างพ่อแม่ และครู
       
       วิธีการกระตุ้น
       
       - เตือนเด็กเมื่อถึงเวลาทำงาน หรือเตือนเมื่อหมดเวลาเล่น
       
       - โน้ตข้อความสำคัญในที่ที่เด็กเห็นได้ง่าย เช่น กล่องดินสอ โต๊ะเรียน ผนังห้อง หรือกระดาน
       
       - ตั้งนาฬิกา หรือเครื่องจับเวลาให้เด็กเห็นชัด ๆ ขณะทำงาน เพื่อให้เด็กกะเวลาได้ดีขึ้น และตั้งใจทำงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด
       
       - แบ่งงานให้สั้นลง โดยให้เด็กได้พักเป็นช่วง ๆ
       
       - แนะเคล็ดวิธีช่วยจำให้ลูก เช่น การย่อ ทำสัญลักษณ์ ผูกเป็นโคลง
       
       - ให้เด็กอ่านออกเสียง หัดขีดเส้นใต้ขณะเรียน
       
       3. หนุนจิตใจ
       
       - เด็กมักทำสิ่งต่างๆ ไม่สำเร็จ เพราะได้รับแต่คำตำหนิติเตียน หมดความมั่นใจ เด็กจึงต้องการกำลังใจอย่างมากจากพ่อแม่ และคุณครู
       
       - ระวังที่จะไม่เข้มงวด จับผิด แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิด
       
       - ช่วยเด็กหาวิธีแก้ไขจุดอ่อน เช่น ขี้ลืม
       
       - หาเรื่องตลกขำขันมาคุยกับเด็ก เล่นกับเด็กอย่างสนุกสนาน หรือพาเด็กออกกำลังกายบ้าง
       
       - ชมเด็กบ่อย ๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี หรือมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ
       
       - บอกสิ่งที่สังเกตได้ในทางบวก เช่น เหนื่อยไหม แม่เห็นลูกทำมานานแล้ว วันนี้ลูกคิดได้เร็วกว่าเมื่อวานเยอะเลยนะ หรือ ทำมาได้ตั้ง 3 ข้อแล้ว เอ้าเหลืออีก 2 ข้อเองคนเก่งของพ่อ

 

 4. ให้รางวัล
       
       เด็กที่สมาธิบกพร่อง มักจะเบื่อ และขาดความอดทน แต่หากมีรางวัลตามมา เด็กจะรู้สึกท้าทาย และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น โดยการให้รางวัล ควรให้ง่ายๆ บ่อยๆ มากกว่าที่ให้เด็กทั่วไป และต้องให้ในทันที
       
       นอกจากนี้ควรเปลี่ยนรางวัลบ่อยๆ เพื่อให้เด็กได้สนุก และสนใจ อาจให้เด็กได้ลองคิดรางวัลเองบ้าง หรือให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการให้แต้ม/รางวัลแก่เด็กตลอดเวลา
       
       สำหรับการให้รางวัล ถือเป็นแรงจูงใจที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็กได้ โดยมีขั้นตอนการให้รางวัลง่ายๆ คือ
       
       - ระบุพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นทดแทนพฤติกรรมปัญหา (เลือกให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่มีผลต่อเด็กในระยะยาวก่อน)
       
       - ให้รางวัลกับพฤติกรรมใหม่ทุกครั้งที่เห็น
       
       - หลังจากฝึกได้ 1-2 สัปดาห์ เริ่มใช้การลงโทษแบบไม่รุนแรง เช่น Time out ตัดสิทธิ์ อดรางวัล เมื่อเกิดพฤติกรรมปัญหา
       
       - ใช้วิธีการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ
       
       5. การพูดกับเด็ก
       
       - ไม่พูดมาก ไม่เหน็บแนม ประชดประชัน ไม่ติเตียน
       
       - บอกกับเด็กสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าต้องการให้ทำอะไรในตอนนี้
       
       - หากไม่แน่ใจว่าเด็กฟังอยู่ เข้าใจ พ่อแม่ควรให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่ง หรือพูดไปคืออะไรบ้าง
       
       อย่างไรก็ดี หากเด็กไม่ทำตามคำสั่ง พ่อแม่ควรใช้วิธีเดินเข้าไปหา จับมือ แขน หรือบ่า สบตาเด็ก พูดสั้น ๆ จากนั้นให้เด็กพูดทวน หากเด็กไม่ทำ ให้พาไปทำด้วยกัน หลีกเลี่ยงการบังคับ หรือออกคำสั่งตรงๆ แต่ใช้วิธีบอกกับเด็กว่าเขามีทางเลือกอะไรบ้าง เช่น หากต้องการให้เด็กเริ่มต้นทำการบ้าน แทนที่จะสั่งให้เด็กทำการบ้านตรงๆ อาจพูดว่า “เอาล่ะได้เวลาทำการบ้านแล้ว...หนูจะเริ่มทำภาษาไทยก่อน หรือจะทำเลขก่อนดีจ้ะ” เป็นต้น
       
       6. นับสิ่งดี
       
       - หาเวลาหยุดพักสั้น ๆ ในแต่ละวัน
       
       - เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เด็กไม่ได้ตั้งใจทำตัวให้มีปัญหา แต่เด็กมีความผิดปกติในการทำงานของสมอง ทำให้คุมตัวลำบาก หยุดตัวเองได้ยาก และไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้
       
       - ให้อภัยแก่เด็ก ตัวเราเอง และทุกคนที่อาจไม่เข้าใจในพฤติกรรมของลูก
       
       - คิดถึงความน่ารัก และความดีในตัวเด็ก และตัวเรา (พ่อแม่) เอง
       
       7. มีขอบเขต
       
       - มีตารางเวลา หรือรายการสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้เด็กรับรู้ขีดจำกัด และช่วยควบคุมให้เด็กทำตามง่ายขึ้น
       
       - เรียงลำดับกิจกรรมง่าย ๆ ให้ชัดเจน และแน่นอน เช่น เวลาตื่น เวลานอน เวลาทำการบ้าน อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นๆ
       
       - ไม่ปล่อยปละละเลย หรือตามใจมากเกินไป เพื่อไม่ให้เด็กสับสนและผัดผ่อนต่อรองบ่อย ๆ
       
       การ ดูแลลูกสมาธิสั้น สำคัญที่สุด พ่อแม่ต้องมีทัศนคติต่อเด็กในทางบวก ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าลูกไม่ได้แกล้งซน แกล้งดื้อ จากนั้นใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมที่ไม่ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของ เด็กให้ลดลงตามวิธีที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อรู้จักลูกของเราแล้ว เรามาเลี้ยงเขาอย่างสร้างสรรค์กันดีกว่า
138  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / คำสอนเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 02:25:19 pm
คำสอนเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต



........คน เรา เมื่อมีลาภก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็มีเสื่อมยศ เมื่อมีศุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา เปนของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดา ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดร้อนเนื้อร้อนใจ ก่อนที่จะทำอะไรเราคิดแล้วว่า ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าร้ายใส่เราอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวนกลัวใครติเตียนทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่าๆ

ธมฺมวิตกฺโก
139  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / สาเหตุที่ทำให้เว้บช้า จากการทดสอบ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 09:28:51 pm


สาเหตุหนึ่งจากที่ดู นะคะไม่ใช่เกิดจากโหลดเว็บจาก host เองหรอกคะ



ที่เห็นได้ชัด ๆ เลย ว่ารอเว็บสถิติ อยู่คะ ถ้า server ที่ฝั่งสถิติมี overload ก็จะทำให้เว็บไม่โหลดหน้า



เนื่องด้วยเครื่องที่ใช้งานเป็นระบบของโรงเรียน speed วิ่งที่ 6 mb



จะเห็นได้ว่า ปัญหาจริง ๆ อาจจะอยู่ี่ Tracker ของเว็บสถิติเองด้วยคะ

 :smiley_confused1:
140  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดีร้าย แล้วแต่ใครจะมอง เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 12:06:35 pm
หญิงสาวคนหนึ่ง หงุดหงิดใจกับเหตการณ์ที่ๆทำงาน ที่เกิดขึ้นทุกวัน
เนื่องจากในออฟฟิศของเธอนั้น มีแต่คนที่ชอบให้ร้ายกันและกันเสมอ............


บ้างก็จับกลุ่มนินทาผู้อื่น
บ้างก็ชอบจับกลุ่มบ่นระบายเรื่องไม่พอใจและปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน
หัวหน้าที่ชอบดุด่า เพื่อแสดงอำนาจ
ลูกน้อง ที่แอบนินทาว่าเจ้านายลับหลัง

หญิงสาวจึงมาทำงานทุกวันด้วยความเบื่อหน่าย
และอยากจะลาออกไปให้พ้นๆๆ จากบริษัทแห่งนี้
ทุกๆวันเธอจึงเฝ้าแต่มองหาที่ทำงานใหม่
ที่เธอคิดว่า สังคมในการทำงานจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่......
----------------------------------------------------
วันหนึ่ง.....หญิงสาว ไปท่องเที่ยวที่วัด ๆ หนึ่ง

มีสุนัข 2 ตัว กำลังยืน ประจันหน้า และพร้อมที่จะเข้ากัดกัน
ต่างฝ่าย ต่างก็ ขู่ คำราม เสียงดัง เป็นที่หนวกหู แก่ผู้คน

ด้วยความรำคาญ หญิงสาว จึงเข้าไปไล่.....

สุนัข เมื่อ ถูกไล่ ก็ วิ่งหนีไปด้วยความกลัว
แต่ไม่ช้า สุนัข ทั้งสอง ก็กลับมา คำราม ขู่กัน ในพื้นที่เดิมอีก
หญิงสาว ก็เดินเข้าไปไล่มันอีก มันก็ วิ่งหนี และกลับมา แบบเดิมอีก

หญิงสาว ไล่สุนัข จนเหนื่อย รู้สึกรำคาญ กับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก
เธอเริ่มคิดว่า ทำไม? วัดนี้ไม่มีคนมาคอยดูแล
คอยไล่สุนัข เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่มาวัด
แถมสุนัขจรจัดก็มีมาก สร้างความสกปรก และความรำคาญให้แก่ผู้คน

" หลวงพี่ ไม่รำคาญเสียงสุนัข บ้างเลยหรือ มันเห่าเสียงดัง ทำไมไม่ไล่มันไปเสีย "

พระหนุ่มจึงตอบว่า
" เราไม่เห็นได้ยินเสียงเห่าของสุนัขเลย โยม จะให้รำคาญได้อย่างไร"


หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
" เอ๊ะ หลวงพี่ เสียงหมาเห่าออกจะดังขนาดนี้ ยังบอกว่าไม่ได้ยินเหรอ"

" หูอาตมาไม่ได้หนวก เสียงสุนัขนะได้ยิน อยู่
แต่อาตมาได้ยินว่ามันทะเลาะกัน
เดี๋ยวทะเลาะกันเหนื่อย มันก็เลิกไปเอง
ไม่เห็นได้ยินเสียงเห่า ว่า น่ารำคาญ อย่างที่โยม บอก.....
ว่าแต่โยม เถอะ ไปทะเลาะกับสุนัข 2 ตัว นั้น ด้วย เหรอ
ถึงได้ หงุดหงิดเดือดเนื้อร้อนใจ ไปกับมันด้วย ? "
---------------------------------------------------------
.....หากเรามองว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความทุกข์
แต่เป็นเพียง เรื่องโชคร้าย ที่ผ่านเข้ามาในบางจังหวะของชีวิต
เราก็จะไม่ทุกข์.....
และจะมีกำลังใจที่จะต่อสู้ กับเหตุการณ์โชคร้ายที่จะเกิดขึ้นได้.....

......เราปฎิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำให้เราร้อนรนจิตใจ
ถ้าเรา เพียงแค่มองสิ่งเหล่านั้น ด้วยการมีเมตตา
เราจะสามารถรู้สึกสงบ และเป็นสุขได้.....

.....การมีชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย.....

.....การฝึกมองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ด้วยความเมตตา
จะเป็นเกราะป้องกันจิตใจเรา ให้อยู่ห่างไกลจากความทุกข์
และจะรู้สึกเบาสบาย เป็นสุขได้ทุกเวลา.....






"ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี

เป็นคนโชคดีที่สุด ลืมอะไรก็ลืมได้

แต่อย่าหลงใหลลืมตัว "

ขอบคุณภาพประกอบ ด้วยคะ ให้เครดิตอย่างไร ? ดีนะจำไม่ได้
141  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีป้องกันผีหลอกในโรงแรม เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 11:56:03 am
*โปรดใช้วิจารณญาณในการจะเชื่อ หรือปฎิบัติ*

วิธีป้องกันผีหลอกในโรงแรม

นี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าคุณจะป้องกันตัวคุณเองได้อย่างไร

๑. ก่อนที่จะเข้ายังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง
แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

๒. หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด
และมีอาการ "ขนลุก" จงออกจากห้องไปเงียบ ๆ และโดยทันที
แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว
พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

๓. หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที
พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

๔. ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน
บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็นการแสดงถึงหลัก "หยิน-หยาง"
เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

๕. จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟห้องน้ำยิ่งดี

๖. หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่
อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้ เช่น
กระ เป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

เราเตือนคุณแล้ว...

...............................

นอกเหนือจากนี้ ควรจะต้องสวดมนต์ "แผ่เมตตา" ทุกครั้งก่อนนอน
ก็จะแคล้วคลาดไม่เจอ "แขกพิเศษ" เหล่านั้นเลย ..ย ..ย

นี่เป็นอีกวิธีป้องกัน

- อย่านอน เตียงที่มีใต้เตียงโล่ง
ถ้ากลัวมากๆก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทนปล่อยผีนอนบนเตียง ไ ป

- ถ้ากลัวผีช่องแอร์ให้เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน

- ถ้ากลัวไฟปิดเปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวงเช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง
ก็ให้ เปิดมันทิ้งไว้

- ถ้าอยู่ดีๆได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูนมาดม

- ถ้า อยู่ดีๆได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง

- ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี

- ถ้าเพื่อนโดน ผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจผีก็จะเซ็งออกไปเอง

- ถ้ามีเงา อะไรผ่านหน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆหน้าต่าง ทำเงาผ่านย้อน ไ ปบ้าง

- ถ้ากลัว จะมีใครมายืนอยู่ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ปลายเตียง
(ดูซิจะไปยืน ไหน)

- ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง(ในกรณี ที่เป็นชั้น
3 ขึ้นไป) ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง

- ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผีในตู้เสื้อ ผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า "ที่หมานอน"

- ถ้าถ่ายรูปแล้ว ติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก

- ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่าสามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน สาขา อะไร
รับบัตรเครดิตหรือเปล่า?

- ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?
โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ

- ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้านบอก ให้ผีไปทำเรื่องย้ายช
ื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน

*Thanks & Best Regard*

*Jatupol P.*

* Laser EQE. Mass I*

*Tell.**035-215-225** ext.**3133*

*Mobile**: **086-1330659*

*Emergency: **# 6247*
142  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยอดพุทธมนต์ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 05:48:31 pm


143  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 20 ปรัชญา ..ชาวบ้าน เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 12:44:55 pm
เรื่องเล่าดีดี ปรัชญาน่ารักๆ   
for everyone

1.อย่าขับรถเร็วเกินที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

3. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

4."อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด"

5. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าทุกๆ4 คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณ
สัก3คนสิถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหละ

6. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคนแต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

7. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจแต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

8.สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

9.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

10. คนๆหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆเมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

11. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

12.มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

13.คุณค่าของคนๆหนี่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

14. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวันแล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด

15. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

16.ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

17. เมื่อคุณพูดความจริงคุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

18. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก

19.คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

20.มีศัตรูร้อยคนไม่น่ากลัวเท่ากับมีมิตรที่ทรยศเพียงคนเดียว

144  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใจเขา ใจเรา เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 12:41:32 pm
อยู่ในสังคมมนุษย์
สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไป
ใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก

เมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่น
ไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใคร
อย่าเอาเปรียบเขาก็พอ


เมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเอง
แต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่น
เราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บ
แต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัว

ถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้ว
ก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิด
ไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขา
หรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น
145  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 30 สิ่งที่น่าอยากทำ เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 12:39:25 pm
• 1. ทำอะไรที่น่าตื่นเต้นในแต่ละวัน
• 2. ไปเที่ยวที่ที่คุณไม่เคยไป กับคนที่คุณไม่เคยคิดจะลืม
• 3. ซื้อความสุข ด้วยรอยยิ้ม
• 4. คุยกับคนแปลกหน้า เพื่อหาเพื่อนใหม่
         
          • 5. ช่วยคนอื่น เมื่อคุณสามารถช่วยได้
          • 6. สังเกตสิ่งรอบๆตัว อาจพบความสุขเล็กๆ เข้ามาในชีวิต
          • 7. อยู่เงียบๆ กับตัวเองวันละ 5 นาที... เพื่อคิด
          • 8. ทุ่มตัวเองเต็มที่ กับการหาทางแก้ปัญหา ที่คุณกำลังเผชิญอยู่
                   
                    • 9. คบคนที่มองโลกในแง่ดี
                    • 10. เข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติม ในเรื่องที่คุณสนใจ
                    • 11. จัดเวลา นัดเจอ เพื่อนสนิท ในแต่ละเดือน ไป กิน เที่ยว เล่น
                    •  12. มองพระอาทิตย์ขึ้น สัปดาห์ละครั้ง

• 13. ดูพระอาทิตย์ตกดิน สัปดาห์ละครั้ง
• 14. ปลูกผักเอง เอาไว้ทานเอง
• 15. ไปหาเพื่อน ที่ไม่ได้เจอกันมานานนับปี
• 16. หยุดตามกระแสสักนิด และทำตามแนวคิดที่เหมาะสำหรับตัวเอง
         
          • 17. บอกตัวเองว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป
          • 18. ค้นหา ประสบการณ์ดีๆ แปลกใหม่ ให้กับชีวิต
          • 19. เลิกกังวลกับสิ่งที่คุณไม่มี และมีความสุขในสิ่งที่คุณมี
          • 20. โรแมนติก ทำเซอร์ไพรซ์คนที่คุณรัก
                   
                    • 21. หยุดเสียเวลา กับเรื่องหยุมหยิมที่ไม่จำเป็น
                    • 22. รับประทานอาหารให้ช้าลง ลิ้มรสความอร่อย
                    • 23. ขอความช่วยเหลือ เมื่อต้องการ เพราะคุณจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ หากไม่เอ่ยปาก
                    • 24. ถามคำถาม เมื่อสงสัย... ช่วยประหยัดเวลา และลดความยุ่งยากใจ

• 25. เล่นสนุกบ้าง ชีวิตมีแค่ครั้งเดียว
• 26. ทำอะไรทีละอย่าง จะได้ทำออกมาได้ดี
• 27. ฝึกความพอเพียง – พอดี เมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ จะไม่มีใคร เอาไปจากคุณได้
• 28. รักษาสัญญา
         
          • 29. ดูตลก ฟังเรื่องตลก และแบ่งปันกับคนอื่น
          • 30. เปิดโลกความคิดสร้างสรรค์ของคุณ กับงานศิลปะ เช่นดนตรี ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ฯลฯ
 :25: :88: :25:
146  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คุณค่าของ ธนบัตร ที่หลายท่านอาจจะไม่ได้สนใจ คะ เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 03:32:28 pm
จาก ฟอร์เวิร์ดเมล์

และเครดิตที่เว็บเด็กดี คะ

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1902832



แต่ละวัน...คุณใช้"ธนบัตร"ราคาไหนบ้างครับ


        แน่นอน คุณรู้ว่า "ธนบัตร" มีค่า แต่คุณรู้ไหมครับว่านอกจาก "ค่า" คือราคาของตัวเองแล้ว "ธนบัตร" ยังมี "คุณค่า" เพราะ "หลังธนบัตร" มีสิ่งดีๆที่สอนเราอยู่

        แต่เราไม่เคย "อ่าน" นอกเหนือจากไม่ค่อยสังเกตุว่า "หลังธนบัตร" แต่ละราคาเป็นภาพของกษัตริย์องค์ไหน

        ผมเลยขอนำ"คุณค่า"หลังธนบัตรมาบอก..
ธนบัตร ๒o บาท ...คุณรู้ไหมว่าเป็นภาพของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหน

        คำตอบก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล และ "คุณค่า" หลังธนบัตรนี่ มีข้อความว่า

        "ถ้าคนไทยทุกคน ถือว่าตนเองเป็นเจ้าของชาติบ้านเมือง และต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ด้วยความสุจริตและถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมแล้ว ความทุกข์ยากของบ้านเมือง ก็จะผ่านพ้นไปได้"
มาถึงแบงก์ร้อย
        ส่วนใหญ่คงจำกันแม่นว่า "หลังธนบัตร" สีแดงใบละร้อย เป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราช แต่คุณเคยรู้ "คุณค่า" หลังธนบัตรนี้ไหม คำตอบนี่ครับ..

        "ประเพณีทาสที่มีอยู่ในพระราชอาณาจักรสยาม ถึงเป็นวิธีทาสทำสารกรมธรรม์
        ขายตัวด้วยใจสมัคร มิใช่ทาสเชลย ที่เป็นการกดขี่อย่างร้ายแรงก็จริง
        แต่เป็นเครื่องกีดขวางทางเจริญ ประโยชน์และสุขสำราญ ของมหาชนอยู่อย่างหนึ่ง
        ซึ่งจำเป็นจะต้องเลิกถอน อย่าให้มีประเพณีทาสในพระราชอาณาจักรนี้
        กรุงสยามจึงจะมีความสมบูรณ์เท่าทันประเทศอื่น"
แบงก์ ๕oo ล่ะ ใช้ธนบัตรสีม่วง รู้ไหมเป็นภาพพระองค์ไหน

        แน่นอนว่าหลายคนคงนึกไม่ออก ..เพราะเป็น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้ในเราทราบคือ..

        "การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา
        แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเสียทีเดียว"
แบงก์ใหญ่ที่สุด ธนบัตรใบละ ๑ooo บาท

        หลายคนทราบดีว่าเป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เคย "อ่าน" สิ่งที่มี "คุณค่า" หลังธนบัตรไหมครับ

        เศรษฐกิจแบบพอเพียง … เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
       

นี่คือ"คุณค่า"หลังธนบัตรที่เราไม่ค่อยสังเกตกันครับ 
147  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ไม่ใช่แค่จะรัก แต่ แม่พวกหนู ก็รัก เทิดทูน พ่อด้วยอีกคน เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 02:59:32 pm
ฝาก วีิดีโอ ที่แสดงถึงความรัก ต่อ พ่อ

ดูแล้ว ทุกคนก็คงจะซึ้ง ไม่ว่าจะชนชาติ ใด ลูก ก็ต้อง รัก พ่อ รัก แม่ ด้วยความผูกพัน อยู่แล้วคะ



กตัญญู กตเวทิตา เป็นคุณธรรม ที่ลูก ควรจะแสดงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่มี คุณพ่อ คุณแม่

ให้แสดงคุณธรรม ข้อนี้คะ

 :88:
148  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ถ้าเรามีญาต ป่วยโดยการนอนเฉย ๆ เป็นเดือน ๆ แล้วช่วยอย่างไรคะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 05:44:05 pm
ญาตลูกพี่ ลูกน้องของหนูนอนป่วย คือนอนไม่ตื่น ต้องให้อาหารทางสายยางและ อ็อกซิเย่นอยู่ตอนนี้เดือนกว่า ๆ แล้ว ทุกคนก็หวังอยากให้ตื่นขึ้นมา

ในกรรมฐาน มีวิธีช่วยเรื่องนี้หรือป่าวคะ

 :03: :25:
หน้า: 1 2 3 [4]