ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "ราหุลัง ชาตัง" บ่วงเกิด..กำเนิดองค์ต้นกรรมฐานมัชฌิมาฯ ตอนที่ ๒.  (อ่าน 3921 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





บรรยากาศงานเททองหล่อ พระราหุลเถระเจ้า
และสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๖
ณ โรงหล่อพระพุทธรูป ยงค์เจริญการช่าง นครชัยศรี นครปฐม
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร

ในวันที่ ๗ พระราหุลมารดา ทรงส่งพระกุมาร ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์พรรษา ๗ ปี ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า และทรงสั่งพระโอรสว่า ดูกรราหุล พระสมณะนั้น เป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดกต่อพระองค์เถิด

ฝ่ายพระกุมารครั้นพอเสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลับเกิดความรักในพระบิดา มีพระหฤทัยรื่นเริงยินดี ยืนรับสั่งถ้อยคำเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นอันมาก โดยมิได้รับสั่งเรื่องที่พระมารดาสั่งให้มาทูลพระบรมศาสดา

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเสร็จภัตกิจแล้ว กระทำอนุโมทนา เสด็จลุกจากพระที่นั่งกลับไป

ฝ่ายพระกุมารเมื่อทรงนึกถึงถ้อยคำที่พระมารดาสั่งไว้ได้จึงได้ทรงติดตามไปทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงพระอาราม แล้วทรงพระดำริว่าทรัพย์อันใดของบิดาที่ราหุลนี้ปรารถนา ทรัพย์อันนั้นเนื่องด้วยวัฏฏะ เป็นไปกับด้วยความคับแค้น เราจักทำเธอให้เป็นเจ้าของมฤดกอันเป็นโลกุตตระ
     ดังนี้แล้วรับสั่งหาท่านพระสารีบุตรมา แล้วตรัสว่า ราหุลกุมารนี้ขอทรัพย์มฤดก
     เพราะเหตุนั้นท่านจงบวชราหุลกุมารนี้เถิด






ในสมัยนั้น ตั้งแต่พระบรมศาสดาทรงโปรดให้ พระสารีบุตรอุปสมบทพระราธเถระ และทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธี ไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วย "วิธีญัตติจตุตถกรรม" อันเป็นวิธีอุปสมบท โดยมีสงฆ์เป็นใหญ่
    พระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และ
    พระราธะ เป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก

    การอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


ส่วนบรรพชา(สามเณร) ยังมิได้เคยมีมาก่อน เพราะเหตุนั้น ความสงสัยจักเกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตว่า ชื่อว่าบรรพชา (สามเณร) นี้ จะพึงทำด้วยกรรมวาจา เหมือนอุปสมบท (พระภิกษุ) หรือว่า พึงทำด้วยไตรสรณคมน์ เพื่อตัดความสงสัยเช่นนี้พระธรรมเสนาบดี จึงทูลถามว่า ข้าพระองค์จะผนวชพระราหุลกุมารอย่างไร พระเจ้าข้า ?

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตร เป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์

     ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรผู้มีอายุ ยังพระราหุลกุมารให้ผนวชแล้ว
     โดยพระมหาโมคคัลลานเถระปลงพระเกศาของพระกุมารแล้วถวายผ้ากาสายะ
     พระสารีบุตรได้ถวายสรณะ
     พระมหากัสสปเถระได้เป็นโอวาทาจารย์

___________________________________________________________
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-rahoon.htm




บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พระพุทธองค์ทรงโปรดสั่งสอนพระราหุล

เมื่อพระราหุลบรรพชาแล้ว พระศาสดาก็ได้ตรัสราหุโลวาทสูตร เป็นโอวาทเนือง ๆ แก่พระราหุลนั้น ตั้งแต่พระราหุลมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาจนถึงเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษา

ในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๗ พรรษา ทรงแสดง อัมพลัฎฐิยราหุโลวาทแก่ราหุลสามเณรนั้นว่า ราหุลอย่ากล่าว สัมปชานมุสา(โกหกทั้งที่รู้) แม้เพื่อจะเล่าโดยความเป็นเด็กเลย ดังนี้เป็นต้น

ในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๑๘ พรรษา ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร แก่ราหุล ผู้เดินบิณฑบาตตามหลังของพระตถาคต มองดูรูปสมบัติของ พระศาสดาและของตน ตรึกวิตกที่เนื่องด้วยครอบครัว

ส่วนราหุโลวาท ในสังยุตก็ดี ราหุโลวาทในอังคุตตรนิกายก็ดี เป็นฐานแห่งวิปัสสนาของพระเถระทั้งนั้น





พระราหุลบรรลุพระอรหันต์

ภายหลัง ในเวลาที่ราหุลเป็นภิกษุได้ครึ่งพรรษา ประทับอยู่ที่ป่าอันธวัน เขตพระนครสาวัตถี พระศาสดาทรงทราบว่า ธรรมเจริญด้วยวิมุตติ ๑๕ ของพระเถระแก่กล้าแล้ว จึงทรงตรัส จุลลราหุโลวาทสูตร ความในพระสูตรนั้นมีโดยย่อดังนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นประทับอยู่ในที่รโหฐาน ได้เกิดพระปริวิตกทางพระหฤทัยขึ้นอย่างนี้ว่าราหุลมีธรรมที่บ่มวิมุตติแก่กล้าแล้วแล ถ้ากระไร เราพึงแนะนำราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้นเถิด ฯ

ต่อนั้น พระผู้มีพระภาคทรงครองสบง ทรงบาตรจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถีในเวลาเช้า ครั้นเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาพระกระยาหารแล้วได้ตรัสกะท่านพระราหุลว่า ดูกรราหุล เธอจงถือผ้ารองนั่ง เราจักเข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักผ่อนกลางวันกัน ท่านพระราหุลทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วจึงถือผ้ารองนั่งติดตามพระผู้มีพระภาคไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ ก็สมัยนั้นแล เทวดาหลายพันตนได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปด้วยทราบว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงแนะนำท่าน พระราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้น

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าถึงป่าอันธวันแล้ว จึงประทับนั่ง ณ อาสนะที่ท่านพระราหุลแต่งตั้ง ณ ควงไม้แห่งหนึ่งแม้ท่านพระราหุลก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า






     ดูกรราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
     จักษุ เที่ยงหรือไม่เที่ยง
     รูป ...จักษุวิญญาณ...จักษุสัมผัส ...โสตะ ...ฆานะ ...ชิวหา ...กาย...มโน...
     ธรรมารมณ์ ...มโนวิญญาณ ...มโนสัมผัส เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
     เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ


     พระราหุล ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
     พระผู้มีพระภาค ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ฯ
     พระราหุล เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
     พระผู้มีพระภาค ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่ จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรานั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
     พระราหุล ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า ฯ

     พระผู้มีพระภาค ดูกรราหุล อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
     ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ...แม้ในรูป ...แม้ในจักษุวิญญาณ...แม้ในจักษุสัมผัส
     ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น ฯ
     ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสตะ ...แม้ในเสียง ...แม้ในฆานะ แม้ในกลิ่น
     แม้ในชิวหา...แม้ในรส ...แม้ในกาย...แม้ในโผฏฐัพพะ ...แม้ในมโน ...แม้ในธรรมารมณ์
     แม้ในมโนวิญญาณ...แม้ในมโนสัมผัส
     ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น ฯ


     เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้วและทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น และเทวดาหลายพันตนนั้นได้เกิดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีหมดมลทินว่า
     "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา"

__________________________________________________________
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-rahoon.htm



บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

vichai

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 207
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
มาศึกษาธรรมะ ครับ ยินดีรู้จักทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ครับ
เครดิต คุณกบแย้มกะลา