ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "พิสูจน์ไม่ได้" ไม่ใช่ว่าเราพิสูจน์ไม่ได้แล้วผู้อื่นจะพิสูจน์ไม่ได้  (อ่าน 1944 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แมนแมน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0



คำว่า "พิสูจน์ไม่ได้" ไม่ใช่ว่าเราพิสูจน์ไม่ได้แล้วผู้อื่นจะพิสูจน์ไม่ได้
อย่างนักวิทยาศาสตร์เองก็ใช่ว่าจะพิสูจน์ได้ทุกเรื่อง

- กาลิเลโอ ตั้งทฤษฎีว่าโลกกลม แต่ว่าพิสูจน์ให้ผู้อื่นดูไม่ได้ เลยต้องติดคุกยันแก่
- ไอน์สไตน์โชคดีหน่อย ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของตนเองได้ ด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นแค่ไม่กี่ครั้งในรอบหลายร้อยปี
- พี่น้องตระกูลไรท์พยายามแล้วพยายามอีก จนพิสูจน์ได้ว่าคนสามารถบินได้ ไม่เช่นนั้นก็เป็นคนบ้าต่อไป

พระพุทธองค์ตรัสชัดเจนในคราวตรัสรู้ใหม่ ๆ ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นลุ่มลึกยิ่งนัก เหลือวิสัยที่คนในโลกที่จิตใจเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง จะพึงเข้าใจได้
แต่เพราะยังมีคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย คือ ในจิตใจมีโลภ โกรธ หลง น้อย จะสามารถเข้าใจสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้
อย่างเช่น อุปติสสะ กับ โกลิตะ โตมาก็เที่ยวดูการละเล่นอย่างคนอื่นเขา แต่ดูไปดูมาก็รู้สึกเบื่อ เห็นว่าไม่มีแก่นสาร
จึงชวนกันออกค้นหาสัจธรรม คนในโลกอื่น ๆ คิดได้อย่างนี้ไหม คือ เห็นว่าโลกนี้ไร้แก่นสาร
ความสุขในโลกล้วนน่าเบื่อและไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น วิธีพิสูจน์ให้หายสงสัยน่ะมี แต่มันยากตรงที่เราต้องละตัณหาคือความอยาก
ละมานะคือความถือดี ละทิฎฐิคือความยึดถือ

ให้ทำทานเพื่อให้จิตใจปล่อยวางจากวัตถุ ก็ไม่เอาไม่อยาก เพราะว่าจิตใจยึดเหนี่ยวทรัพย์เหนี่ยวแน่น
ให้รักษาศีลเพื่อให้จิตใจไม่คิดร้ายใคร ก็ไม่เอา เพราะว่าเราอยากจะดีกว่าผู้อื่น อยากเอาเปรียบผู้อื่นอยู่ร่ำไป
ให้นั่งสมาธิเพื่อให้ละความยึดถือ ให้ใจปล่อยวาง ให้ละวางความสงสัยก็ไม่เอา เพราะว่าอยากมีเวลาไปแสวงหาสิ่งที่เป็นกิเลส

แล้วจะทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ยากที่สุดในโลก แต่มันจะไม่ยากหากเรายอมละวางสิ่งเหล่านั้น

อย่าว่าแต่สมัยนี้ที่ผู้คนจิตใจตกต่ำเลย ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เองทั้ง ๆ ที่ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้ทะลุปรุโปร่ง
แต่ก็ไม่เคยตรัสเล่าให้ใครฟัง แต่พอพระโมคคัลลานะเห็นเปรตเท่านั้นแหละ พระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันว่าจริง
และตรัสบอกว่าทรงเห็นมาตั้งแต่ตรัสรู้ใหม่ ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ตรัสเล่าเพราะไม่มีพยาน
ผู้ที่ฟังจะไม่เชื่อแถมยังจะปรามาสว่าเพ้อเจ้อ ทำให้ผู้นั้นมีบาปกรรมร้ายแรงติดตัวไปอีก

ในสมัยพุทธกาลซึ่งมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์มากมายพระองค์ยังต้องระวังขนาดนี้
แล้วในยุคนี้จะยิ่งต้องระวังกันขนาดไหน อีกทั้งกรรมกิเลสที่อยู่ในจิตใจผู้คนนั้น
จะทำให้เรื่องดีกลับเป็นร้ายได้เสมอ เราเคยไหมทั้ง ๆ ที่เราไม่มีเหตุผล แต่เราก็เถียงเพื่อเอาชนะ
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงสนับสนุนให้ใช้ปาฏิหาริย์ในการเทศนาเพื่อให้ผู้คนละวางกิเลส
มากกว่าจะเป็นไปเพื่อความศรัทธาเพียงอย่างเดียว

หากอยากพิสูจน์ว่านรกสวรรค์มีจริงไหม อาจจะยาก แต่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาตรัสสั่งสอนนั้นเป็นเรื่องจริง
ที่คิดจินตนาการเอาไม่ได้นั้น ไม่ได้ยากมาก เพียงแค่เราฝึกทำสมาธิ ละวางนิวรณ์คือมลทินที่ปิดบังจิตใจเอาไว้ให้เบาบางลงไป
เราก็สามารถพิสูจน์ให้ตัวของตัวเองประจักษ์ได้แล้วว่า ยังมีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ไม่เห็นอีกมาก
ยิ่งนิวรณ์ดับไปมากเท่าไร ยิ่งเข้าใจมากขึ้น มากจนวิทยาศาสตร์เป็นวิชาของเด็กอนุบาลไปเลย

พิสูจน์ไ่ม่ได้ หรือไม่ได้พิสูจน์ หรือพิสูจน์ไม่ถูกวิธี ก่อนที่จะสรุปอะไรน่าจะลองพิสูจน์ให้ถูกวิธีดูก่อน

จากคุณ    : พักผ่อน
บันทึกการเข้า