ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จุดยืนของนักภาวนา : ธรรมะยู-เทิร์น  (อ่าน 937 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จุดยืนของนักภาวนา : ธรรมะยู-เทิร์น
« เมื่อ: ตุลาคม 10, 2014, 10:06:09 am »
0



จุดยืนของนักภาวนา : ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

             เอวังวิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง
             ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ  สันโต อาจิกขะเตมุนิ

             มุนีผู้สงบ ย่อมกล่าวเรียก ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น ไม่เกียจคร้าน
             ทั้งกลางวันกลางคืนว่า ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม

                (ภัทเทกรัตตคาถา บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น สำนักสวนโมกขพลาราม)

ในความหมายนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หมายถึงนักบวช ผู้ปฏิบัติธรรมรู้ธรรมตามความเป็นจริง ถึงแม้จะมีอายุแค่หนึ่งวัน ก็ยังประเสริฐกว่าคนที่ไม่รู้ธรรมเลย ถึงแม้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมจะอายุยืนเป็นร้อยปี ก็ไม่ประเสริฐ สู้ความประเสริฐของคนที่มีธรรมแค่วันเดียวไม่ได้เลย

 :25: :25: :25: :25:

การมีธรรม ก็คือ การมีสติ เมื่อสติมีกำลังมากพอก็สามารถบังคับจิตให้เป็นสมาธิได้ เมื่อสมาธิมีกำลัง ก็สามรถพิจารณาให้เกิดปัญญา และเมื่อปัญญามีกำลังแล้ว ก็สามารถถอดถอนกิเลสตัณหาทั้งที่ฝังอยู่ในจิตในใจได้ เพราะการถอดถอนกิเลส ไม่ใช่ว่า จะทำได้เลยในวันเดียว ก็ต้องอาศัยเวลาในการภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ท้อถอยแม้เพียงวันเดียว

การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ครั้งละหนึ่งชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมง ไม่ได้เกี่ยวว่ามากหรือน้อย แต่คนส่วนใหญ่ต้องอาศัยทำมากๆ ทำบ่อยๆ ทำให้เป็นกำลัง ทำให้เป็นนิสัยก่อน ถ้าทำจนเป็นนิสัยแล้ว ก็ไม่ต้องใช้เวลามากในการพิจารณาถอดถอนกิเลส และเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนเห็นประโยชน์ ความเพียรจะเป็นไปเอง ไม่งั้นครูบาอจารย์ท่านจะกล่าวหรือว่า จะมีอะไรที่สุขไปกว่าการอยู่กับวิหารธรรม คือสมาธิ เมื่อมีสมาธิจะไม่อยากยุ่งอะไรเลย ใครมาพูด ก็เห็นเป็นเพียงอารมณ์เท่านั้น


 :96: :96: :96: :96:

ถ้าคนไหนฝึกไปได้ จนกระทั่งจิตใจเห็นคุณประโยชน์ของการภาวนา มันจะเป็นไปเอง จะให้ทิ้งการภาวนา ก็ไม่ทิ้ง มีแต่จะวิ่งใส่ หนักหนาสาหัสอย่างไรก็ทำ แต่มันลำบากตอนที่ยังไม่เห็นผลนี่แหละ ขนาดผู้ที่อบรมบารมีมาพร้อมทุกอย่าง ดังพระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ว่าทำง่ายเลย ใครจะลำบากอย่างพระพุทธเจ้า อดอาหารก็อด จนเห็นว่าไม่ถูกทาง ล้มเลิกในการอดอาหาร แล้วก็หันมาทำเจริญจิตตภาวนา กระทั่งปัจจวัคคีหนีจากท่านก็ยังภาวนาต่อของท่านไปบนทางสายกลาง

ก่อนนั้น ท่านอดอาหารตั้ง ๔๙ วันตามตัวเหลือแต่กระดูก ผอมมาก แต่ท่านก็มีความเพียรกล้า เป็นนักสู้ มีความทรหด มีศรัทธาแรงกล้า ไม่งั้นทำไม่ได้หรอก คนเรา ลองบอกว่าให้มาภาวนาอดข้าววันหนึ่งเอาไหม ไม่เอาจะตายแล้ว ไปกินข้าวดีกว่า


 ans1 ans1 ans1 ans1

ดังนั้น คนที่จะเดินไปได้ ต้องหนักแน่น ต้องสู้ มีจุดยืนที่เดียวคือ ถ้าไม่ตายก็ไม่ถอย ความหมายนี้ คือ ผู้ปฏิบัติธรรม แม้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม  อย่างนี้จึงจะสู้กับกิเลสมันได้ ไม่งั้นก็โดนมันหลอกหมด

สังคมทุกวันนี้ คนที่จะสนใจภาวนาลึกซึ้งแทบจะไม่มี หรือน้อยมาก มีแต่คนสนใจว่า ทำอย่างไรจึงจะมีเงินใช้ ทำอย่างไร สามีจึงกลับมา ทำอย่างไรภรรยาจึงเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องปัญหาโลกแตก จริงหรือไม่ ลองพิจารณาดู


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20141008/193611.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ