ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “นิมิต” ในสมาธิ ภาพลวงตาหรือภาพวิญญาณ.?  (อ่าน 422 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




“นิมิต” ในสมาธิ ภาพลวงตาหรือภาพวิญญาณ.?

นึกเป็นห่วง “เรนนี่” (ใน “ช่องส่องผี) ที่กำลังอธิบายภาพในวิญญาณในรายการ “ช่องส่องผี” (ทางยูทูบ) ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงบอกสิ่งที่เห็น ที่คนอื่นไม่เห็น แต่บอกด้วยว่า มีการพูดคุยกับวิญญาณด้วย และดูเหมือนจะบอก(โดยวิญญาณ) ด้วยว่าใครเคยเกิดเป็นอะไร ซึ่งเท่ากับท่านรู้ด้วย “ญาณ” อันวิเศษกว่าความรู้ทั่วไป

การเห็นวิญญาณของเรนนี่ เกิดขึ้นภายหลังประสบอุบัติเหตุ ซึ่งท่านสลบ-หมดสติไป 49 วัน ซึ่งมีผู้ใช้คำว่าท่านตายแล้วฟื้น ไม่ใช่เกิดจากการทำสมาธิหรือเข้าฌานตามที่กล่าวในทางศาสนา

ผมมีความเชื่อว่า เมื่อคนเราตาย ก็หมายถึงขันธ์ 5 (รูป/เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ดับลง เมื่อขันธ์ 5 ดับ ก็เท่ากับรูป(ส่วนที่เป็นกายและส่วนที่เนื่องด้วยกาย) พร้อมกับ เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำได้ ความหมายรู้) สังขาร(ความคิด) และวิญญาณ (ความรับรู้ทางอายตนะ)ทุกอย่างดับลงไปด้วย

รูปที่ใส่วงเล็บว่า ส่วนที่เป็นกาย หมายถึงส่วนหยาบของกาย เช่น เนื้อ หนัง ผม เล็บ เป็นต้น และ “ส่วนที่เนื่องด้วยกาย” เช่น เสียง เพศ เป็นต้น (หรือแม้แต่ลมหายใจ)

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราเรียกว่าส่วนนาม (นามธรรม) หรือ “ส่วนจิต”

เรื่องขันธ์ 5 นี้ จำแนกแจกแจงไว้โดยพระพุทธเจ้า ในเรื่องอริยสัจจ์ 4 ถ้าจะอธิบายให้ครบถ้วน ต้องมีเรื่องขันธ์ 5 ด้วยจึงจะเข้าใจได้ดี


@@@@@@

ในศาสนาอื่น โดยเฉพาะศาสนาฝ่ายเทวนิยม (ถือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง) ไม่มีคำอธิบายว่า จิตมาจากไหนและมีสภาวะเป็นอย่างไร แต่ในพุทธศาสนา เรารู้ว่ามีสภาวะแสดงออกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ในขันธ์ 5) แต่ก็ไม่บอกชัดๆว่าเป็น “จิต” (แสดงว่า จิตเนื่องอยู่กับกาย แสดงอาการเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

แต่ก็ไม่ใช่ “สมอง” เพราะสมองเป็นกาย (ส่วน “รูป”) เมื่อคนตาย สมองก็ดับ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ในขันธ์ 5) ดับลง

ผมมีความเชื่อว่า เมื่อคนเราตายลง ความรู้สึก(เวทนา) ความจำได้หมายรู้(สัญญา) ความคิด (สังขาร) และ การรับรู้ทางอายตนะ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ก็ไม่มีเหลืออยู่ได้

ไม่เชื่อว่า วิญญาณที่เรนนี่เห็น จะมีความรู้สึก มีความจำ มีความคิด และมีการรับรู้ใดๆ อย่างที่มนุษย์มี เพราะวิญญาณนั้นๆ ที่เรนนี่เห็นไม่มีขันธ์ 5 แล้ว (ถ้ามีก็เป็นขันธ์ 5 ที่ต่างจากขันธ์ 5 ของมนุษย์) ซึ่งสื่อสารกับมนุษย์ไม่ได้

เคยฝึกทำสมาธิ (มีพระกรรมฐานเป็นครูฝึก) มีเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งปกติเป็นคนกลัวผี ได้ถามพระกรรมฐานว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ เห็นตัวเอง (ขณะเดินจงกรม) เป็นโครงกระดูกเดินอยู่ทำให้กลัว เลิกเดินจงกรมกระทันหัน

@@@@@@

พระกรรมฐานแนะนำว่า นั่นเป็น “อุคคหนิมิต” (ภาพนิ่ง) ซึ่งเป็นเพียง “มโนภาพ” ถ้าเลยจากนั้น จะเห็นภาพ “ปฏิภาคนิมิต” (ภาพเคลื่อนไหวตามที่ใจนึก)

ท่านให้ใช้วิธี “เพ่ง” ภาพที่เห็น จนมันหายไป (ไม่ให้หยุดสมาธิโดยกระทันหัน และไม่ให้เพลินไปกับภาพนั้น)

แสดงว่า ในสมาธิ(ระยะแรกๆ) มีนิมิตเกิดขึ้น ผมคิดเอาเองว่านิมิตนั้นคือ “มโนภาพ” ซึ่งเกิดจาก “มโนวิญญาณ” เป็นการเห็นทางใจ ซึ่งเป็นขันธ์ 5 นั่นเอง ถ้าไม่ตื่นตกใจ ก็เพ่งมัน แล้วมันก็จะหายไป แล้วจึงทำสมาธิต่อไป

พระกรรมฐานเล่าว่า เคยนั่งเห็นโครงกระดูกเหมือนกัน และนึกไปว่า มันจะมากัดที่หู โครงกระดูกนั้นก็มากัดที่หูจริงๆ (ได้ยินเสียงแก๊บๆ ด้วย) แต่ก็รู้เท่าทัน ได้เพ่งมัน แล้วมันก็หายไปเอง

เมื่อผมคิดเอาเองว่า การเห็นนิมิตนั้นเป็นการเห็นทางมโนวิญญาณก็เลยคิดว่า สมองคนเราซึ่งเป็นขันธ์ 5 อย่างหนึ่ง สามารถสร้างมโนภาพหรือเกิดนิมิตต่างๆได้

จึงคิดว่า เมื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง คงจะเกิดปรากฎการณ์ได้แปลกๆ เช่น คิดเลขได้เร็วกว่าคนทั่วไป จำอะไรต่อมิอะไรได้มากมายขึ้นมาเอง เป็นต้น (อย่างที่เคยพบและเคยทราบด้วยตัวเอง)

ภาพที่เห็นนั้นเป็น “นิมิต” ในสมองซึ่งได้รับกระทบกระเทือนอย่างแรง ไม่ใช่ภาพในสมาธิ


@@@@@@

ถ้าอ่านเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตอนบำเพ็ญสมาธิอย่างหนัก “เห็นว่า กว่าจะถึงสมาธิขั้น “จตุตถฌาน” (อุเบกขา-จิตสงบนิ่งไม่รู้สึกสุขทุกข์ และเอกัคคตา-จิตรวมเป็นหนึ่ง ) เกิดปรากฏการณ์มากมาย(ภายในจิต) กว่าจะเห็นแสงสว่างและเห็นภาพเคลื่อนไหวต่างๆได้ ต้องผ่านการเข้าฌาน (สมาธิ) ต่างๆก่อน ไม่ใช่การทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง หลังจากได้จตุตถฌานแล้ว จึงเกิด “ญาณ” ต่างๆ (เช่นระลึกชาติทั้งของตนเอง และของผู้อื่นได้เป็นต้น)

อยากให้เรนนี่ ซึ่งมักจะอ้างว่าตนเป็นชาวพุทธ (และได้เรียนธรรมจนได้ธศ.เอก) เห็นแก่พระพุทธศาสนาของตน อย่าให้เป็นบาปติดตัวไปอีกเลย อยากให้รู้ว่า การรู้การเห็น(ภาพวิญญาณ) ของท่านนั้น ไม่ได้เกิดจาก “ญาณ” หรือ “ฌาน” หรือ “สมาธิ” อย่างพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด เป็นเพียงอาการทางสมองมากกว่า คือเป็นเพียง “มโนภาพ” ในระดับขันธ์ 5 เท่านั้นเอง เมื่อไม่ใช่ฌานหรือญาณ อันเป็นโลกุตตระอย่างพระพุทธเจ้า การรู้การเห็นนั้น ก็จะเป็นสัญญาวิปลาส” (บาลีใช้คำว่า “สัญญาวิปัลลาส” ความจำได้หมายรู้ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น เห็นเชือกเป็นงูเป็นต้น) และจะมีวันเสื่อมได้ อันต่างจากการรู้การเห็นแบบ “ญาณทัสสนะ” ที่เกิดจากญาณชั้นสูง

แต่เรนนี่ก็จะต้องรักษามันไว้ เพื่อให้คนเข้าใจว่า ตัวเองมีการรู้การเห็นอย่างนั้นอยู่ การรู้การเห็นนั้นก็จะกลาย “วิชาชีพ” ของเรนนี่ไปในที่สุด และในที่สุด เรนนี่ก็จะกลายเป็น “นักแสดง” โดยไม่รู้ตัว

@@@@@@

“อุตตริมนุสสธรรม” (การอวดอ้างฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์) หรือแม้แต่คุณธรรม เช่น ฌานสมาบัติและการบรรลุธรรมต่างๆ ที่ไม่มีจริงในตน คงเป็นบาปมากอยู่ พระพุทธเจ้าจึงปรับเป็นอาบัติ “ปาราชิก” แก่พระภิกษุที่อวดอ้าง ซึ่งเป็นการปรับโทษที่รุนแรงที่สุดถึงขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ก็ไม่ได้ บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลก็ไม่ได้) อยากให้ชาวพุทธสำนึกว่า แม้ตนจะไม่ใช่พระภิกษุ ก็ควรจะยำเกรง การละเมิดเรื่องนี้ให้จงหนัก เพราะอุตตริมนุสสธรรมทำให้คนเชื่อผิดๆตามๆกันได้

อยากให้ดูปฏิปทาของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง บางเรื่อง (เช่น ภาพเปรต อสุรกาย หรือนรกสวรรค์) พระพุทธเจ้าคงรู้ดีและคงเห็นได้ไม่ยาก แต่พระองค์ก็ไม่นำมาพูด ไม่นำมาสอน ให้คนเข้าใจว่าพระองค์มีความรู้ (หรือมีญาณ) เหนือกว่าคนอื่น เมื่อพระมหาโมคคัลลานะ กราบทูลเรื่องภูตผีที่ตนเห็นที่ภูเขาคิชฌกูฏ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ทรงเห็นอย่างพระมหาโมคคัลลานะเห็น แต่ก็ไม่บอกใครๆ เมื่อมีผู้เห็น จึงบอกแก่ใครๆว่า เปรตอสุรกายมีอยู่อย่างไร เพื่อให้ผู้เห็นนั้นเป็นพยานนั่นเอง

แสดงว่า พระพุทธเจ้าเองก็ไม่อวดอ้างอุตตริมนุสสธรรม (ทั้งๆที่มีจริง) เพราะจะทำให้คนที่ไม่เชื่อเป็นบาปนั่นเอง

เมื่อรู้ไม่จริง หรือไม่รู้ด้วยญาณอันเกิดจากสมาธิหรือฌานความรู้นั้นก็จะเสื่อมหรือเพี้ยนไปเอง สังเกตจากความเห็นของเรนนี่ที่กล่าวว่า พุทธศาสนาจะมีอายุดำรงอยู่ในโลกได้ หรือการบรรลุธรรมเห็นอริยบุคคลใน 500 ปี ซึ่งในพระไตรปิฎกไม่มีปรากฏข้อความอย่างนั้นเลย


@@@@@@@

ในพระไตรปิฎกมีแต่กล่าวว่า สังสารวัฏฏ์ (การเรียน ว่าย ตาย เกิดในภพต่างๆ) ไม่มีที่สิ้นสุด หาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่ได้เลย (ไม่ใช่เพียง 500 ชาติ หรือกี่ภพชาติก็ตาม)

ในทำนองเดียวกัน การบรรลุธรรม(หรือการสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์) ก็ไม่มีข้อกำหนดจำนวนวันเดือนปีแห่งการบรรลุธรรม อาจจะเกิดขึ้นได้ภายในวันเดียว หรือภายในเจ็ดวัน หรือในภพชาติใดๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติธรรมเป็นสำคัญ

เข้าใจว่า เรนนี่เรียนมาทางเป็น “หมอดู” ในระยะหลังๆจึงมีความเชื่อแบบหมอดู ซึ่งเป็นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์โบราณ

ในศาสนาพราหมณ์ (หรือศาสนาฮินดู) มีความเชื่อว่า อายุของโลกจะมีประมาณ 5,000 ปี (ปัจจุบัน ฮินดูเชื่อว่าเป็น “กลียุค”) และเชื่อว่า กรรม(หรือเคราะห์กรรม) สามารถแก้ไขได้ จึงมีการ “สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ความเชื่ออย่างนี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก และไม่เชื่อว่า ชื่อ(และนามสกุล) จะมีความสำคัญแก่ชีวิต จึงมีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุลกันอยู่ทั่วไป ทางหมอดูก็มีความเชื่อไปทางนี้ (แม้แต่ชื่อ “เรนนี่” ก็ตั้งโดยหมอดูคนหนึ่ง

แนวทางอย่างนี้ ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ก็น่าสังเกตว่าพวกหมอดูและพวกเข้าทรง รวมถึงพวกหมอผีต่างๆมักจะอ้างว่าตนเป็นชาวพุทธเต็มปากเต็มคำ และมักจะสวดมนต์ (อย่างน้อยก็สวด “นะโม” ได้) แต่พิธีกรรมของพวกเขา ก็เป็นแบบฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์กันทั้งนั้น

@@@@@@

เรื่องนี้ไม่แปลกใจ เพราะความเชื่อแบบศาสนาพราหมณ์ กับความเชื่อของไทยแต่โบราณ เป็นความเชื่ออย่างเดียวกัน โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณที่เชื่อว่าวิญญาณมีประเภท “สัมภเวสี” (แสวงหาภพที่เกิด) ซึ่งล่องลอยไปเป็นแสงเป็นดวง เมื่อพวกหมอดูทำนายทายทักและทำพิธีต่างๆ เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น คนทั่วไปก็ไม่ติดใจ แม้แต่เรื่องกรรมและการเกิดใหม่ คนไทยแต่โบราณก็มีความเชื่อแบบศาสนาพราหมณ์

ว่าไปแล้ว เรื่องราวใน “ช่องส่องผี” เป็นการแสดงความเชื่อแบบพราหมณ์ทั้งสิ้น คำกล่าวของเรนนี่ ที่กล่าวถึง “วิญญาณ” ก็กล่าวแบบศาสนาพราหมณ์

ต้องยอมรับว่า ทั้งรายการ “มือปราบสัมภเวสี” (ของหมอปลา) ทั้งรายการ “ช่องส่องผี” (ของเรนนี่ มีส่วนทำให้ผู้คนหันมาทำความดีและทำบุญไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ผู้คน “งมงาย” เพิ่มขึ้น

คำกล่าวของคุณ “บ๊วย” (เจ้าของรายการ) ที่ชอบกล่าวว่า “ปาฏิหาริย์จะมีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่กฎแห่งกรรมมีจริงอย่างแน่นอน” นั้น ก็มีส่วนถูก แต่กฎแห่งกรรมใน “ช่องส่องผี” ต่างจากกรรมในคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นกัน ความเข้าใจเรื่องกรรมทั้งของหมอปลาใน “มือปราบสัมภเวสี” ทั้งของเรนนี่ (ใน “ช่องส่องผี”) ยังไม่ใช่กรรมที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นกรรมตามความเชื่อแต่โบราณของไทย


@@@@@@

น่าเสียดาย ที่เรนนี่ ซึ่งเคยเรียนธรรมะมาก่อน ไม่ได้ถือโอกาสบอกให้คนเข้าใจเรื่อง “วิญญาณ” และเรื่อง “กรรม” ที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งนี้ เป็นเพราะว่า เรนนี่เองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 เรื่องอริยสัจจ์ 4 เรื่องปฏิจจสมุปบาท และเรื่องมรรคมีองค์ 8 (อันเป็น “พรหมจรรย์” ของพุทธศาสนา

โดยเฉพาะเรื่องขันธ์ 5 ซึ่งมีทั้งเรื่องธาตุ เรื่องจิตและเจตสิก เรื่องอายตนะเป็นต้น ถ้าเรนนี่เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 อย่างแจ่มแจ้ง ก็จะเข้าใจเรื่องสมาธิ เรื่องฌาน และเรื่องญาณ จะทำให้ “ช่องส่องผี” ช่วยงานเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ไม่น้อย




ขอบคุณ : https://siamrath.co.th/n/173446
สยามรัฐออนไลน์ , 1 สิงหาคม 2563 , 00:10 น. , ศาสนา-ความเชื่อ , คนข้างวัด โดยอุทัย บุญเย็น
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ