สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 07:18:31 am



หัวข้อ: วิปัสสนากรรมฐาน คำตอบที่ “ใช่” ของชาวตะวันตก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 07:18:31 am

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/ECB109E2396645299706916D10C46372.jpg)


วิปัสสนากรรมฐาน คำตอบที่ “ใช่” ของชาวตะวันตก
โดย...วรธารที ภาพ ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน

ครั้งหนึ่ง “หลวงพ่อชา สุภัทโท” วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เคยพูดไว้ว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง วันหนึ่งเมื่อถูกน้ำเซาะก็จะหล่นลงไปในแม่น้ำแล้วหายไป ส่วนพระพุทธศาสนาในโลกตะวันตกกำลังมีอนาคตสดใส ซึ่งถ้าวันใดที่คำหลวงพ่อชาพูดไว้เกิดเป็นจริงขึ้นมา พวกเราชาวพุทธคงต้องมานั่งเสียใจ

ทว่า ณ เวลาหลายปีนี้ดูท่าว่าจะเริ่มเห็น “เค้าลาง” แล้วล่ะชาวพุทธเอ๋ย รู้สึกอะไรเหมือนผมไหม? ประเทศไทยเรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ภาวะความเป็น “พุทธ” ในหัวใจของเรากับไม่มี เราห้อยพระก็จริง แต่เราไม่ได้ทำตัวเป็น “พระ” ที่แท้จริงเลย และเราก็ถูกพระอรหันต์ “กำมะลอ” หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ เมื่อเราลืมตาเงยหน้าขึ้นมองไปที่โลกตะวันตกและอเมริกา ณ เวลานี้ เขาสนใจพระพุทธศาสนาเป็นทวีตรีคูณ ศึกษาค้นคว้า ทั้งเขียนตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาออกเผยแผ่ ขายดิบขายดี มีศูนย์วิปัสสนากรรมฐานเกิดขึ้นมากมาย

และสัญลักษณ์หนึ่งที่ปรากฏชัดเจน สามารถจับต้องมองเห็นได้ คือ เราเริ่มเห็น “พระฝรั่ง” บวชในพระพุทธศาสนามากขึ้นเป็นลำดับ แต่ครั้นหันกลับมามองที่ “พุทธเมืองไทย” เรากลับถูกอรหันต์ “กำมะลอ” หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...(เฮ้อ)



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/62EC471FEE694208937DBB7D567DF229.jpg)


เหตุที่ชาวตะวันตกสนใจพุทธ

ความสนใจพระพุทธศาสนาของชาวตะวันตกมาจากสาเหตุอะไร นั้นจะหาใครที่ให้คำตอบได้ครบถ้วนกระบวนความ ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ชัดเจนกว่า “พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี” หรือ “ว.วชิรเมธี”

ที่ กล้ายืนยัน เพราะพระนักเผยแผ่หนุ่มรูปนี้ ได้รับนิมนต์จากชาวต่างประเทศและชาวไทย ให้เดินทางไปเทศน์และอบรมวิปัสสนากรรมฐานให้กับชาวยุโรปใน 10 กว่าประเทศ รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดเวลา 5 ปีนับจนปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อกลางเดือน ก.ค. ก็เพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐ หลังไปเทศน์สอนวิปัสสนาให้กับชาวอเมริกันเป็นเวลา 1 เดือน

ว.วชิรเมธี เล่าว่า สาเหตุที่ชาวยุโรปและอเมริกันสนใจพระพุทธศาสนา มาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

“ปัจจัยภายใน คือ ชาวยุโรปและอเมริกันมีความเครียดเยอะ เพราะอยู่ในประทศที่วัตถุนิยมเต็มรูปแบบ มีการแก่งแย่ง ไขว่คว้าหากำไร ทุกอย่างต้องใช้เงิน เลยทำให้เกิดความทุกข์ จนต้องไปแสวงหายาแก้เครียด ยานอนหลับ แก้โรคซึมเศร้า ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็ไปแสวงหาธรรมเพื่อบำบัดทุกข์ และเมื่อมาพบการเจริญสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนา ก็รู้ว่าคือคำ ตอบที่ใช่

ขณะที่ปัจจัยภายนอก คือ พวกเขามีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ในวัตถุต่างๆ ทุกอย่าง แต่สภาพจิตใจยังกลวงหลวมอยู่ ดังนั้น เขาจึงแสวงหาอาหารใจที่เขายังขาดอยู่ และอาหารใจที่ดีที่สุดของเขาคือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่มีความเป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาสาสตร์ ที่สามารถทำให้เขาหายจากโรคเครียด ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังของชาวตะวันตกและอเมริกันได้”



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/A599D8F2EF4A4A8B83480FB6E9EC8222.jpg)


วิปัสสนากรรมฐานคือคำตอบ

พระนักเผยแผ่ชื่อดัง เล่าการไปบรรยายธรรมที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาซูเชตส์ ว่ามีฝรั่งคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าสงสารชาวอเมริกัน ที่หวังความสำเร็จในเชิงวัตถุสูงจนเป็นเหตุให้ต้องเข้าสู่ลู่วิ่งของการแข่งขัน ยิ่งแข่งยิ่งเครียด จนไม่รู้วิธีที่จะออกจากความเครียด ต่างจากเขาได้ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าก็สอนให้รู้จักการแบ่งปัน สอนให้ให้รู้จักวิธีออกจากความเครียดได้

“คนนี้พอร่วมฟังเทศน์แล้วก็ขอเข้าคอร์สภาวนา เกิดความสนใจมากเป็นพิเศษ พร้อมกับบอกว่าปีหน้าจะขอเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะนิมนต์อาตมาไปจัดคอร์สวิปัสสนากรรมฐานที่บอสตัน แมสซาซูเชตส์”

ขณะที่การจัดคอร์สวิปัสสนาในประเทศฝรั่งเศส พระนักวิปัสสนาหนุ่ม เล่าว่า มีผู้กำกับภาพยนตร์ รวมทั้งนักร้องโอเปร่ามาร่วมเข้าคอร์สภาวนาวิปัสสนาด้วย น่าสนใจคือหลังจบคอร์ส เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นความโชคดีของชีวิต เพราะทั้งชีวิตต้องกินยานอนหลับมาตลอด แต่พอเข้าคอร์สวิปัสสนาสั้นๆ 3 คืน 4 วัน ก็ไม่ต้องใช้ยานอนหลับเลย เพราะหลับดีทุกคืน

“ที่เขาหลับสบายเพราะได้ฝึกสมาธิจนจิตเข้าสู่ความสงบ พอจิตสงบก็หลับง่ายหลับดาย เขายังบอกอีกว่าถ้ารู้อย่างนี้ตั้งนานคงไม่ต้องเสียเงินค่ายานอนหลับมานับ 10 ปี อาตมาว่านี่คือสิ่งที่เขาได้จากการที่ได้มาฟังเทศน์และเข้าคอร์สวิปัสสนากับ อาตมา”

 :25: :25: :25:

หันไปประเทศเนเธอร์แลนด์ ไม่เพียงมีชาวดัตช์เท่านั้นที่มาฟังเทศน์และเข้าคอร์สภาวนา แต่มีฝรั่งหลายชาติมาเข้าคอร์สภาวนาด้วย ที่สำคัญ เมื่อจบคอร์สภาวนาแล้วได้มีฝรั่งจำนวนหนึ่งอาสาแปลบทสวดมนต์ ที่พระนักเผยแผ่หนุ่มนำไปด้วย และมีคำพูดหนึ่งที่ไม่อยากเชื่อว่าจะออกจากปากของฝรั่งที่เพิ่งมาเข้าฟังธรรม เข้าคอร์สครั้งแรก ก็คือ เขาอยากแปลหนังสือเพื่อถวายพระพุทธเจ้า

“อัศจรรย์มากที่เนเธอร์แลนด์ ไม่อยากเชื่อที่นี่มีฝรั่งหลายชาติที่มาฟังเทศน์และเข้าคอร์สภาวนา พอจบคอร์ส มีฝรั่งคนหนึ่งเข้ามาหา ขอแปลบทสวดมนต์ที่อาตมาทำขึ้นเฉพาะ ซึ่งมีบทสวดมนต์หลายบท รวมถึงพระสูตรที่น่าสนใจหลายพระสูตร เช่น กาลามสูตร กกจูปมสูตร เป็นภาษาดัตช์ อีกคนขอแปลบทเทศนาของอาตมาเป็นภาษาเยอรมัน ภาษาดัตช์ และฝรั่งเศส เขาบอกว่าอยากทำถวายพระพุทธเจ้า ผมยังบอกว่าเท่าที่ฟังเทศน์มา ไม่เคยมีครั้งไหนทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้เท่าครั้งนี้ และตอนนี้เขาเข้ามาเป็นอาสาสมัครแปลบทสวดมนต์ได้ 6 ภาษาแล้ว”

ว.วชิรเมธี เล่าว่า ฝรั่งชอบกาลามสูตรมาก และใครฟังก็ชอบ เพราะเป็นพระสูตรที่มีท่วงทีลีลาวิทยาศาสตร์ ที่สอนให้คนเราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แม้กระทั่งอ้างในพระไตรปิฎกก็ยังบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ

“กาลามสูตร คือ พระสูตรที่ว่า อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ สิบประการ คือ อย่าเชื่อเพราะว่าบอกต่อๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะปฏิบัติต่อๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะข่าวลือ อย่าเชื่อเพราะอ้างตำรา อย่าเชื่อเพราะอ้างตรรกะ อย่าเชื่อเพราะการอนุมาน อย่าเชื่อเพราะว่าเข้ากันได้กับความคิดความเห็นของเรา อย่าเชื่อเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่ออาตมาแปลแล้วก็นำไปให้ฝรั่งสวด แล้วเขาก็บอกว่า โอ้โฮ ทำไมพระพุทธศาสนาทันสมัยขนาดนี้ จับจิตจับใจมาก”



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/258BD6847EEB413DB0A672D83D259C53.jpg)


ชาวยุโรปและอเมริกันสนใจพุทธศาสนานานแล้ว

ว.วชิรเมธี กล่าวว่า ความจริงชาวตะวันตกสนใจพระพุทธศาสนามานานแล้ว ถ้าจะว่าไปคงเริ่มตั้งแต่ตอนที่มีฝรั่งแปลคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสูภาคภาษาอังกฤษ เช่น วรรณกรรมเรื่อง ประทีปแห่งทวีปเอเชีย แต่งโดยเซอร์เอดวินด์ อาโนลด์ ต่อมามีการตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งมีการเขียนตำราเกี่ยวพระพุทธศาสนาออกมามากมาย และได้รับความนิยมอย่างเหลือล้น

“ที่สำคัญชาวตะวันตกและอเมริกัน รู้จักนักเผยแผ่ชาวพุทธหลายคนและรู้มานานแล้ว พวกเขารู้จัก หลวงพ่อชา ที่มีลูกศิษย์พระฝรั่งมากมาย นำเอาพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในยุโรปและอเมริกา จนทำให้ชาวตะวันตกรู้จักพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นอย่างดี ท่านโกเอนก กูรูด้านพุทธศาสนาที่ฝรั่งรู้มากที่สุดคนหนึ่งโดยเฉพาะในอเมริกา เป็นชาวอินเดีย สัญชาติพม่า เป็นคนนำวิปัสสนากรรมฐานจากพม่าไปเผยแผ่อยู่ทั่วโลก ตอนนี้มีศูนย์วิปัสสนากว่า 300 ศูนย์ ซึ่งได้รับความนิยมมาก “

นอกจากนี้ มี ท่าน “ดาไล ลามะ” ที่ เดินสายเรียกร้องสันติภาพไปทั่วโลก ทำให้ชาวตะวันตกรู้จักพระองค์และพระพุทธ ศาสนามหายาน ท่านคือผู้จุดประทีปธรรมให้กับชาวตะวันตกที่ได้ผลดีที่สุด อีกท่านหนึ่ง คือ ติช นัท ฮันห์ ชาวเวียดนาม ลี้ภัยหลังเวียดนามแตก ไปก่อตั้งชุมชนนักปฏิบัติธรรมชื่อ Plum Village ที่เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส แล้วเดินสายบรรยายธรรมและจัดภาวนาไปทั่วโลก และซูซูกิ ปรมาจารย์สายเซนจากญี่ปุ่น นำพระพุทธศาสนานิกายเซนไปเผยแผ่ที่อเมริกา ตอนที่อเมริกันชนต่อต้านสงครามเวียดนาม โดยตั้งหลักปักฐานที่ชิคาโก และซานฟรานซิสโก



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/F31EC36B3C6240418B266E8671A024C4.jpg)


หันมองพุทธในไทยคืออะไร

พระนักคิดนักเขียน ให้ความเห็นเกี่ยวกับพุทธศาสนาในไทย โดยบอกว่าพระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนเพชรพลอยที่มีมูลค่า แต่บางทีคนไทยก็มองไม่เห็นคุณศาสนาที่ตัวเองนับถืออยู่ โดยไปหยิบเอาก้อนกรวดก้อนหินซึ่งเป็นเป็นเพียงเปลือกกระพี้มาเชิดชู เช่น คิดว่าการมียศทรัพย์ อำนาจ การมีลาภสักการะ การมีชื่อมีเสียง การมีบริษัทบริวาร เป็นการประสบความสำเร็จเป็นแก่นแท้ ความจริงไม่ใช่เลย

“แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ความมีเมตตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นแก่นแท้ที่ฝรั่งต่างชาติเขาจับหลักได้ แล้วก็หันมาสนใจและก้าวข้ามขุนขลังขมังเวทไปเข้าไปเอาแก่น แต่พุทธในเมืองไทยยังคงคลุกคลีตีโมงอยู่กับเปลือกกระพี้”

พระนักคิดนักเขียน เสนอว่า ในส่วนขององค์กรปกครองคณะสงฆ์ ขอให้เน้นการปฏิบรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ อย่าไปเน้นการใช้อำนาจมากเกินไป อันได้แก่ เน้นการปกครองสนองเรื่องอำนาจ แต่งตั้งสมณศักดิ์ให้พระสงฆ์เป็นหลัก ทั้งๆ ที่ตามหลักการปกครองต้องสนองเรื่องการศึกษา

“องค์กรปกครองสงฆ์ต้องสนองเรื่องการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นอันดับแรก ถ้าไม่ปฏิรูปแต่เดี๋ยวนี้ พระพุทธศาสนาอาจเคลื่อนย้ายไปอยู่ซีกโลกตะวันตก เหมือนคำทำนายของหลวงพ่อชาก็ได้ ดังนั้น ถ้าเราสามารถยุติหรือทดแทนการสร้างพระอิฐพระปูนที่ใช้งบประมาณมหาศาลมาสร้างพระพูดได้ ซึ่งอาตมาหมายถึงพระธรรมทูต เมืองไทยจะสามารถเผยพระพุทธศาสนาให้ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกเสียที

ทุกวันนี้เราเป็นศูนย์กลางวัดวาอารามทางพระพุทธศาสนาของโลก แต่ยังไม่ใช่ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในเชิงเนื้อหาสาระที่แท้จริงของโลก อย่างเพิ่งภูมิใจ” ท่านว.ฝากให้คิดทิ้งท้าย



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/07/23/939AFF3A8DFA4C1086B7D086B98DF14F.jpg)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/235878/วิปัสสนากรรมฐาน-คำตอบที่-ใช่-ของชาวตะวันตก  (http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/235878/วิปัสสนากรรมฐาน-คำตอบที่-ใช่-ของชาวตะวันตก)


หัวข้อ: Re: วิปัสสนากรรมฐาน คำตอบที่ “ใช่” ของชาวตะวันตก
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 01:22:51 pm
(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSxW0EmdfZJKMHmuM7YSnbdHk34EPVLbJ12UDhI-V5R29FlakxksQ)

ท่านมหาวุฒิชัย ว.วชิรเมธี พูดเทศน์หลักการจะกี่ครั้งก็เสนาะสนานโสตผม แต่ปริยัติก็ปริยัติต้องหลักการพูดเป็น ปฏิบัตินี่สิไม่พูดมากเคี้ยวหมากฟังอย่างเดียว ผมยังเชื่ออยู่ว่าวิปัสสนาบำบัดฝรั่งตาน้ำข้าวเขาเข้าใจเพียงนั้น จะถึงขั้นอภิญญาฌานคงยาก เพราะพระธรรมฑูตเป็นเพียงนิสิตมิใช่ถ่องแท้แน่เรื่องฌานอภิญญาฝรั่งเชาว์มาได้ก็เขลาเเสื่อม หากแต่รากฐานศาสนาจะเปลี่ยนฐานศูนย์ไปยุโรป-อเมริกันชนแล้วหละก็โลกถึงคราเปลี่ยนยุควิปัสสกคงเพียบครับ.!



http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSxW0EmdfZJKMHmuM7YSnbdHk34EPVLbJ12UDhI-V5R29FlakxksQ