« เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2013, 11:37:44 am »
0
จิตที่ยึดติด
จิตทั้งหลายที่ไม่ได้ผ่านการอบรมจิตมาอย่างเพียงพอ จิตนั้นจะไปติดอยู่ในกุศลกรรม และอกุศลกรรม จิตจะเชื่อว่าบาปเป็นของตน บุญเป็นของตน ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วคิดว่าเป็นของของตน พอตายไปก็กลับมาเกิดเพราะยังไม่สิ้นกรรมที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ จิตดวงนั้นยังยึดไว้ว่าเป็นของของตนเอง แม้กระทั่งกองบุญต่างๆ จิตก็เข้าไปยึดไว้อย่างไม่ยอมปล่อยวาง
เมื่อยึดมั่นถือมั่นไว้ว่า บุญนั้นเป็นของของตน มันก็ต้องเกิดภพชาติขึ้นมาเพื่อรองรับกรรม ทั้งกรรมดีที่เรียกว่าบุญ และกรรมชั่วที่เรียกว่าบาป จิตดวงนี้ต้องมีภพขึ้นมาเพื่อรองรับกรรมต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็นของตนไว้ พอจิตรองรับกรรมก็เกิดภพเกิดชาติขึ้นมา ยึดมั่นถือมั่นกรรมอันใดไว้ คิดว่าเป็นของของตน จิตก็จะดำเนินโดยเอากรรมมาเป็นบทบาทของชีวิตใหม่ ทำกรรมดีไว้ก็ได้ผลบุญ โครงสร้างเรื่องราวของชีวิตก็จะชักนำไปยังบุญนั้นมาเป็นกรรมที่ตนได้รับ ทำบาปทำอกุศลกรรมไว้ก็ได้รับความทุกข์ บทบาทของชีวิตก็ได้รับเอาความทุกข์ความเดือดร้อนเข้ามา
ดังนั้น ชีวิตก็จะสลับกันทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งทุกข์ทั้งสุข สลับกันไป แล้วแต่ว่ากรรมใดส่งผลก่อนหลัง ใครทำกรรมดีไว้มาก ก็มีเรื่องดีเข้ามามาก เปรียบเสมือนคนที่ฝันดี เป็นสุข คนเราก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความฝัน ความคิดอันเป็นกรอบทำให้ความคิดของคนมันออกไปไม่ได้ ดวงจิตวิญญาณที่หลงยึดมั่นถือมั่นในความคิดความฝัน แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความฝัน พอฝันเรื่องนี้จบไป ฝันเรื่องใหม่ก็เข้ามา เราออกจากความฝันเราเองไม่ได้เพราะว่ายึดมั่นถือมั่นคิดว่าเป็นจริง จิตยึดที่ไหน ปรุงที่ไหนก็จะยึดเป็นตัวเป็นตนที่นั่น
จิตออกไปจากวังวนของการยึดมั่นถือมั่น ออกจากวังวนของบุญและบาปไม่ได้ ออกจากวังวนกุศลกรรม อกุศลกรรมไม่ได้ จิตก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ ก็ให้รู้ว่า
กระบวนการการเกิดการตายเป็นอย่างนี้ แต่แค่รู้เฉยๆ มันก็ไม่ถึงพระนิพพาน
เหมือนคนที่รู้จักพระนิพพาน ก็รู้จากการจินตนาการคาดเดาจากการฟังการอ่านแล้วก็จินตนาการ
ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่รู้จักพระนิพพาน แต่การที่จะสำเร็จพระนิพพานต้องเป็นการเข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงด้วยดวงจิตที่เข้าถึงสภาวะพระนิพพาน มีแต่การปฏิบัติเท่านั้นที่ดวงจิตจะเข้าถึงพระนิพพานได้
คือจิตที่เท่าทัน เท่าทันทุกอย่าง เท่าทันหมดสิ้นแล้วก็เข้าถึงพระนิพพาน เป็นการเกิดปัญญาเรียกว่าปัญญาพระนิพพาน พอจิตเกิดหลุดพ้นก็ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เพราะจิตมันเท่าทันอะไรก็ตามที่เป็นอวิชชาที่ครอบงำจิตให้หลง พอจิตรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งทุกอย่างแล้ว จิตก็ไม่มีที่ยึดที่เกาะ ไม่มีกรรมอะไรที่ไปยึดมั่นถือมั่นไว้ จิตก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก จิตที่กลับมาเกิดก็เพราะยังมีความหลงอยู่ ยังคิดว่าเป็นของของตนอยู่ ยังคิดว่าเรื่องราวที่มีอยู่เป็นเรื่องจริง คิดว่าเป็นทรัพย์สิน คิดว่าเป็นสมบัติ เป็นของของเราจริงๆ
เมื่อตายไป...ความยึดมั่นถือมั่นนี้ยังคงอยู่ไม่ยอมปล่อยวาง ยังยึดติดอยู่ การที่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของไม่ได้ตายไปด้วย ยังจองว่าเป็นของของตน เลยทำให้ดวงจิตวิญญาณนี้หลงว่าเป็นเจ้าของดวงจิต
แท้ที่จริงแล้วมโนธาตุนี้เป็นธาตุรู้เฉยๆ แต่พอจิตเกิดอวิชชายึดมั่นถือมั่น คิดว่าเป็นของของตนขึ้นมาก็เลยมีเจ้าของ มโนธาตุตัวนี้เลยมีเจ้าของขึ้นมาเป็นจิตของเรา เป็นวิญญาณของเรา เพราะว่ามีเจ้าของขึ้นมาแล้ว แต่เดิมนั้นเป็นธาตุรู้เฉยๆ แต่พอมีเจ้าของขึ้นมาก็เลยกลายเป็นจิตวิญญาณของเรา.ที่มา
http://www.thaipost.net/tabloid/190513/73740ขอบคุณภาพจาก
http://www.madchima.org/