การประหารกิเลสได้ในภาษา กรรมฐาน นั้นเรียกว่า วิมุตติ คือ พ้น ให้ผลคือ หมดสังโยชน์ ตามลำดับชั้น
ซึ่งมีคำหลายคำที่ใช้ วิมุตติ บ้าง ปหาน บ้าง เป็นต้น
ในภาษากรรมฐาน นั้นมักจะใช้อยู่ 2 ความหมาย
ถ้าใช้คำว่า ประหารกิเลส โดยตรงก็ใช้คำว่า ปหาน
ปหาน ในบท 2 มีดังนี้
1.สมุจเฉทปหานะ การละด้วยการตัดขาด จัดเป็นโลกุตตรมรรค
2.ปฏิปัสสัทธิปหานะ การละด้วยการสงบระงับ จัดเป็นโลกุตตรผล
ปหาน ในบท 3 มีดังนี้
1.เนกขัมมปหานะ เป็นเครื่องสลัดออกจากกาม
2.อรูปฌาน เป็นเครื่องสลัดออออรูปฌาน
3.นิโรธ เป็นเครื่องสลัดออกจากสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ปหาน ในบท 4 ดังนี้
1.เมื่อรู้แจ้งทุกขสัจ ด้วยการกำหนดรู้ ชื่อว่าย่อมละ ( กิเลสที่ควรละ )ได้
2.เมือรู้แจ้งสมุทัยสัจจะด้วยการละ ชื่อว่าย่อมละ ( กิเลสที่ควรละ ) ได้
3.เมื่อรู้แจ้งนิโรธสัจด้วยการทำให้แจ้ง ชืื่อว่าย่อมละ ( กิเลสที่ควรละ ) ได้
4.เมื่อรูแจ้งมัคคสัจด้วยการเจริญ ชื่อว่าย่อมละ ( กิเลสที่ควรละ ) ได้
ปหาน ในบท 5 มีดังนี้
1.วิกขัมภนปหานะ การละด้วยการข่มไว้
2.ตทังคปหานะ การละด้วยองค์นั้น เพียงแค่นั้น
3.สมุจเฉทปหานะ การละด้วยการตัดขาด
4.ปฏิปัสสัทธิปหานะ การละด้วยการสงบระงับ
5.นิสสรณปหานะ การละด้วยการสลัดออก
การละนิวรณ์ ด้วยการข่มไว้ ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญปฐมฌาน
การละทิฏฐิสังโยชน์ด้วยองค์นั้น ๆ ย่อมมีแก่บุคคละผู้เจริญสมาธิซึ่งเป็นส่วนแห่งการชำแรกกิเลส
สมุจเฉทปหานะ เป็นโลกุตตรมรรค
ปฏิปัสสัทธิหานะ เป็นโลกุตตรผล
นิสสรณปหานะเป็นนิโรธ คือ พระนิพพาน
อะไร เป็นสิ่งที่ ควรละ
จักขุควรละ รูปควรละ จักขุวิญญาณควรละ จักขุสัมผัสควรละ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุข
เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยควรละ เป็นต้น
พระโยคาวจรเมื่อเห็นรูป ชื่อว่าย่อมละ ( กิเลสที่ควรละ )ได้ เมื่อเห็นเวทนา ( ขันธ์ 5) ชื่อว่าย่อมละ
เมื่อเห็นจักขุ ชื่อว่าย่อมละ เมื่อเห็น ชราและมรณะ ย่่อมละ เมื่อเห็นธรรมที่หยั่งลงสู่อมตะคือนิพพาน
เพราะมีสภาวะเป็นที่สุด ชื่อว่าย่อมละ ธรรมใด ๆ ที่ละได้แล้ว ธรรมนั้น ๆ เป็นอันละได้แล้ว เป็นต้น
เจริญพรแต่เพียงเท่านี้