ของพระอาจารย์อุดม วัดป่าหนองเลง
เห็นว่ามีคติธรรมดี ก่อนที่จะหายไปจาก Profile ก็เลยนำมาให้อ่านกันคะ
เจริญพร ยินดีได้รู้จัก คุณโยมสนใจอ่านบทความธรรมะก็เชิญอ่านได้นะ
จะได้นำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือปฏิบัติเป็นอยู่แล้วจะมาพักที่วัดได้นะ
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่คุณโยมและคุ้มครองรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุขนะ
ขอเจริญพร หลวงพ่ออุดม วัดป่าหนองเลง
ป.ล. ขออภัยที่ตัดบทความเป็นตอนๆ เพราะส่งที่เดียวไม่ได้แล้วทั้งหมดมี ๑๕ บท
หน้าใหม่ ของ คติธรรม กรรมและวิบากกรรมที่ควรรู้
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหันมาประพฤติธรรม เป็นกรรมใหม่ จึงจะได้รับผลของวิบากอันเป็นสุข การประพฤติธรรมก็เปรียบดังการปฏิวัติจิตใจของเรา ให้มีการคิดใหม่ทำใหม่อยู่อย่างสม่ำเสมอในจิตใจของเรา ถ้าไม่เช่นนั้นจิตของเราก็มีแต่จะอยู่ในวงจรของการคิดรู้ ด้วยความรู้สึกยินดี ยินร้าย พอใจ หรือไม่พอใจ เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา การปฏิบัติธรรมก็คือการสร้างความคิดรู้ และความรู้สึกเสียใหม่ คือความรู้สึกที่ปล่อยวาง และวางเฉยเสียได้ นี้เรียกว่าเป็นจิตธรรมหรือกุศลจิต ควรทำให้มีการเกิดขึ้นในจิตอยู่เสมอ ที่เรียกว่าเพียรชอบ
ความยินดี ยินร้าย พอใจ หรือไม่พอใจ คืออาการของกิเลส อาการของความยึดมั่น ถือมั่น ที่เป็นเหตุให้เกิด ตัญหา โลภะ โทสะ โมหะ นี้คือจิตที่เรียกว่าอกุศลจิตเป็นสิ่งควรละ จึงต้องมีการกำจัดอาการเหล่านี้ไม่ให้มีในจิตในใจของเรา การจะละอกุศลจิตก็ต้องอาศัยการอบรมจิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ ว่าเราจะไม่ยินดี ยินร้าย พอใจหรือไม่พอใจ ต่อการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกายมีเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง และการตามดูที่จิตใจอย่าให้หลงความคิดเรื่องในอดีต
เพราะเรื่องในอดีตที่เข้ามาลบกวนจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบก็จัดเป็นมารอย่างหนึ่งเรียกว่ากิเลสมาร การทำได้เช่นนี้เรียกว่าเป็นผู้รู้สังวรอินทรีย์ ถ้าทำได้เช่นนี้เป็นประจำ ไม่ช้าจิตนี้ก็เกิดความสงบ เกิดเป็นบุญเรียกว่าบุญอันเกิดจากการภาวนา หรือภาวนามัย หรือเรียกว่าปุญญาภิสังขาร คือรู้ปรุงแต่งจิตไปในทางบุญ ท่านทั้งหลายจงพากันตั้งใจปฏิบัติธรรมกันเทิด ท่านจะได้พบความสุขอันแท้จริง มีสุขชาตินี้ สุขชาติหน้า และสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพาน
ขอเจริญพร พระอุดม วัดป่าหนองเลง
บทที่ ๗. คติธรรม กรรมและวิบากกรรมที่ควรรู้
ทุก ๆ ชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ นั้นก็คือวัฏฏะ ๓ อย่าง วัฏฏะแปลว่า วนหรือวงเวียน คือกิเลส-กรรม-วิบาก กิเลสเป็นเหตุให้กระทำกรรม กรรมเป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบาก การทำกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง เมื่อทำกรรมแล้วก็เกิดผลแห่งกรรมที่กระทำ เรียกว่าวิบาก
ผลของวิบากปรุงแต่งให้บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาแล้วมีผิวพรรณวรรณะดี มีความเป็นอยู่ที่ดี สถานที่เกิดก็ดี มีสุขไม่ค่อยเดือดร้อน มีชีวิตที่สบาย มีสถานที่ ๆ อยู่สบาย อาหารการกินไม่ลำบาก มีญาติมิตรดี มีบริวารมาก เป็นผู้มีทรัพย์มาก แต่เพราะกรรมบางอย่างที่กระทำไว้ ตั้งแต่อดีตชาติก็ดี หรือปัจจุบันก็ดี ส่งผลให้ชีวิตต้องเปลี่ยนไป กลายเป็นคนตกอับ ศูนย์สิ้นทุกสิ่งก็มี
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาแล้ว มีผิวพรรณวรรณะไม่ดี มีความเป็นอยู่ที่ลำบาก สถานที่เกิดก็แห้งแล้งลำบากขัดสน ไม่ค่อยมีกิน ไม่ค่อยมีใช้ เปรียบดังตกนรก เช่นคนที่เกิดในแอฟฬิกาเป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่ยกมาชี้ให้เห็น ให้เข้าใจ
สรุปสิ่งที่เป็นไปในชีวิตของคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ ล้วนมีผลมาจากกรรมที่กระทำไว้เป็นตัวส่งผลให้ชีวิตของคนที่เกิดมา มีความเป็นไปต่าง ๆ นาๆ ที่เรียกว่าวิบาก จึงควรพิจารณาให้เข้าใจเพื่อความไม่หลงให้จิตเป็นทุกข์ นี้เรียกว่าการกำหนดรู้ในทุกข์
ดังคำกล่าวไว้ในบทสวดมนต์แผ่เมตตาว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผล ของกรรมนั้น ๆ สืบไป” อ่านหน้าต่อไป>
Aeva Debug: 0.0005 seconds.