ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระผู้เป็นองค์แทน สังคายนาฝ่าย พระอภิธรรม คือใครครับ  (อ่าน 10826 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
ปกติ เรารู้กันดีอยู่ว่า การทำสังคายนาครั้งที่ 1 นั้น

มีพระมหากัสสปะ เป็นประธาน

มีพระอุปาลี เป็นฝ่ายชำระ ส่วนวินัยปิฏก

มีพระอานนท์ เป็นฝ่ายชำระ ส่วนพระสุตตันตปิฏก

แต่ในส่วนพระอภิธรรม นั้น ไมทราบว่าใครเป็น ผู้ชำระครับ


ผมใช้คำผิดหรือป่าว ขออภัยด้วยนะครับ

บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
:015: :015: :015:  ???  :015: :015: :015: :043:ปฐมสังคายนาพระไตรปิฏกนั้นเหตุเพราะมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้าหลังได้ทำการปลงพระพุทธสรีระแล้ว เมื่อพระมหากัสสปเถระได้สดับก็ให้เศร้าใจว่า แม้พระบรมศาสดาจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วมิทันนานก็มีผู้กล่าวจาบจ้วงถึงเพียงนี้ จึงดำริที่จะต้องมีการสังคายนาพระธรรม ในครั้งนั้นได้มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกกระทำสังคายนา โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน มีพระอุบาลี(เอกทัคคะในด้านพระวินัย) สังคายนาในส่วนพระวินัยสงฆ์ มีพระอานนท์(เอกทัคคะในด้านพหูสูตร) สังคายนาในส่วนของพระสุตตันตปิฏก สำหรับในส่วนของพระอภิธรรมสงฆ์ที่เข้าร่วมทำสังคายนามิมีรูปใดยกอ้างไว้แต่ได้ให้เป็นความดีแห่งพระธรรมมหาเสนาบดี(พระสารีบุตร)เพียงผู้เดียว นี่แสดงถึงคุณลักษณะแห่งการนอบน้อมไว้ซึ่งความเคารพในครูบาอาจารย์ (โดยเฉพาะศิษย์สายมัชฌิมา แบบลำดับ ของพระราหุลเถรเจ้า เนื่องมาแต่พระธรรมมหาเสนาบดีพระสารีบุตร(อัครสาวกเบื้องขวา ผู้ทรงภูมิปัญญาเป็นเลิศ) ถึงพระอัสสชิ(ในสายพระปัญจวัคคีย์)
:043:พระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส ท่านก็ยืนยันรับรองเยื้องนี้แก่เหล่าบรรดาศิษย์ทั้งหลาย.
                                                                                                                          :coffee2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 24, 2010, 05:41:40 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ประวัติพระอภิธรรม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2010, 09:36:48 pm »
0
  การทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกนั้น ทำหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

 และที่สำคัญ "พระสารีบุตร" ก็ปรินิพพานไปก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก

 เมื่อพระสารีบุตรไม่อยู่ แล้วใครกันที่ทำสังคายนา

 มีเรื่องหนึ่งที่ยังสังสัยกันอยู่ก็คือ ในครั้งปฐมสังคายนา

 พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น ๓ หมวดแล้วรึยัง

 คิดเล่นๆ คำว่า "ธรรมวินัย" ควรแบ่งเป็น ธรรม และวินัย เท่านั้น

 พบกับคำตอบบางส่วน ได้ ณ บัดนี้


-------------------------------------- 

ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
          การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งหลักฐานเรื่องการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือการพิมพ์เป็นเล่ม

          ในเบื้องแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ

         ๑. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุปฐากรับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก

        ๒. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก

         ๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปากเปล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไมมีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัว หนังสือ

         ๔. พระมหากัสสป ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร และพระจุนทะ น้องชายพระสาริบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ดังจะกล่าวต่อไป
 
ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ
--------------------------------------------------------------- 

ประวัติพระอภิธรรม

ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรง พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับพระอภิธรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) อันเป็นแก่นของธรรมะในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ๗ วัน ในขณะที่ทรงพิจารณาเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัยในปรมัตถธรรมอันเป็นที่มาของคัมภีร์ปัฏฐานอยู่นั้น ก็ปรากฏฉัพพรรณรังสี (รัศมี ๖ ประการ) มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีม่วง และสีเลื่อมพราย เหมือนแก้วผลึก แผ่ออกจากพระวรกายอย่างน่าอัศจรรย์

ในช่วง ๖ พรรษาแรกของการประกาศศาสนา พระพุทธองค์ยังมิได้ ทรงตรัสสอนพระอภิธรรมแก่ผู้ใด เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้อง กับปรมัตถธรรมล้วนๆ ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย บุคคลที่ จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธา อันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่ กาลก่อน

 แต่ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธา และมีความเชื่อใน
พระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคาสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้ พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ ทราบเพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะ เกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็น ครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจาพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณ ของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติพระองค์ได้ ๗ วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันดุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจานวนหลายแสนโกฏิ มาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันดุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม แก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดาร ตลอดพรรษากาล คือ ๓ เดือนเต็ม

สาหรับในโลกมนุษย์นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์ แรก คือในระหว่างที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์ แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทน์ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระ อโนดาตเพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน

หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรง สรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน (พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ) เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรงกระทาเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงพระอภิธรรมบนเทวโลก จบสมบูรณ์แล้วการแสดงพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนาเทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรม และสันดุสิตเทพบุตร(พุทธมารดา)ได้สาเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคล

เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นามาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระพุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระ อภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย

ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัย ศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้เป็นค้างคาว อาศัยอยู่ในถ้าแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปที่อาศัย อยู่ในถ้านั้นเช่นกัน กาลังสวดสาธยายพระอภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรมก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรม เท่านั้นหาได้รู้ความหมายใดๆ ไม่ แต่ก็พากันตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้น จากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจึงได้จุติจาก เทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็น

ภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียน พระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมาการสาธยาย ท่องจาและการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
ภายหลังที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วในวันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ หลังจากถวายพระเพลิงได้ ๕๒ วัน ท่านมหากัสสปเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนทเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนเป็นปฏิสัมภิทัปปัตตะ๖ ฉฬภิญญะ๗ และเตวิชชะ๘ ได้ช่วยกันทา สังคายนาพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และได้กล่าวยกย่องพระ อภิธรรมว่าเป็นหมวดธรรมที่สาคัญมากของพระพุทธศาสนา การทา สังคายนาครั้งนี้ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก

ที่มา
คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมทางไปรษณีย์
เรื่อง สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม
เรียบเรียงโดย วิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม จัดพิมพ์เป็นธรรมทาน
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 05, 2010, 09:44:48 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตำนานพระอภิธรรม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2010, 09:42:56 pm »
0

ตำนานพระอภิธรรม


เมื่อพระอานันทเถรเจ้า ได้วิสัชชนาสังคายนาพระสุตตันตปิฎกจบลงแล้ว ต่อนั้นพระสงฆ์ก็เริ่มสังคายนาพระอภิธรรมปิฎกสืบต่อไป สำหรับหน้าที่ปุจฉาและวิสัชชนาคงรับสังฆานุมัติให้ถวายพระมหากัสสปะ และพระอานันทเถระ ซึ่งได้รับความไว้วางใจที่ประชุมสงฆ์มาดีแล้วแต่ต้น

ครั้นได้เวลาและ โอกาสจากพระสงฆ์แล้ว พระมหากัสสปะสังฆวุฒาจารย์ ประธานมหาสังฆสันติบาต จึงเริ่มถามพระอภิธรรมปิฎกกับพระอานันทเถระว่า ดูก่อนอาวุโส อานนท์ พระอภิธรรมปิฎกนี้ สมเด็จพระมหามุนีบรมสุคตเจ้า ทรงแสดง ณ ที่ใด ทรงปรารภใครให้เป็นเหตุ จึงได้ตรัสเทศนาและมีเรื่องราวเป็นมาประการใด ลำดับนั้นพระเถระเจ้าก็ชี้แจงแสดงไข สังคายนาถวายพระอรหันต์ทั้งหลายโดยพิสดาร ดำเนินนิทานวจนะเบื้องต้นว่า สตฺถา ปาฏิหาริยํ กโรนฺโต ว เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ณ ควงไม้มหาศาลคันฑามพฤกษ์ ด้วยพระเดชอันพิลึกมหึมา ทำลายเสียซึ่งความหยาบช้าของเหล่าเดียรถีย์อันธพาล ผู้มีจิตอหังการให้ปราชัยด้วยพระพุทธบารมี ยังมหาชนให้เปรมปรีปราโมทย์ พากันออกโอฐเล็งเห็นเป็นอัศจรรย์เกิดโลมชาติชูชันด้วยความเบิกบาน แซ่ซ้องสาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว ยิ่งกว่าครั้งใดๆ บรรดามี ต่อนั้นสมเด็จพระชินศรี ก็ทรงพระจินตนาการว่า อดีตพุทฺธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่กาลก่อน เมื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้วจำพรรษา ณ ที่ใด และก็ทรงทราบแน่ในพระหฤทัยว่า พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทุกๆพระองค์ เมื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว ก็เสด็จขึ้นไปจำพรรษากาลในดาวดึงส์พิภพ โดยทรงปรารภถึงพระพุทธมารดา แสดงพระอภิธรรมเทศนา สนองพระคุณพระมารดา ในเทวโลกสถาน เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จึงทรงกำหนดว่า เวลานี้ควรที่ตถาคตจักไปจำพรรษาสนองพระคุณมารดา ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ที่ทรงบำเพ็ญมา

ครั้งพระพุทธองค์ ทรงพระจินตนาแน่ในพระหฤทัยด้วยพระพุทธอัธยาศัย ที่หนักในพระกตัญญูกตเวทิตาการ ครั้นเสร็จสิ้นยมกปาฏิหาริย์แล้ว ก็ทรงยกพระบาทเบื้องขวา เหยียบยอดไม้คัณฑามพฤกษ์ชาติ แล้วยกพระบาทเบื้องซ้ายเหยียบยอดภูเขายุคันธร อีกก้าวหนึ่งก็ทรงยกพระบาทเบื้องขวาอันบวรเหยียบยอดสิเนรุบรรพต รวม ๓ ก้าว ที่พระบรมสุคตเสด็จเยื้องย่างโดยพระยุคลบาท ขึ้นประทับนั่งเหนือ
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ควงไม้ปาริกชาตในดาวดึงส์สวรรค์ ท่ามกลางทวยเทพชุมนุมกันถวายอภิวาท แวดล้อมพระบรมโลกนาถอยู่สะพรั่ง แล้วต่างก็ประทับนั่งบังคมอัญชลี เมื่อสมเด็จพระชินศรีทรงทอดพระเนตร มิได้ประสบพบพระมารดา จึงเอื้อนพระโอฐออกอรรถตรัสถามท้าวอมรินทราผู้เป็นเทวราชาแห่งเทวพิภพ ว่าดูราท่านผู้เป็นเผ่าแห่งมฆมานพสุชัมบดี เออ! ไฉนสมเด็จพระมหา มายาเทวี พระมารดาแห่งตถาคตจึงมิได้เสด็จมาปรากฏในเทวสมาคมแห่งทิพยสถาน ชะรอยจะไม่ทรงทราบข่าวสาส์นที่พระตถาคตเสด็จมา


เมื่อท้าวสักกะอม รินทรา สดับพระดำรัสของพระบรมศาสดารับสั่งถามหา สมเด็จพระมหามายาเทวีพุทธชนนีนาถก็ทรงทราบถึงเหตุที่เสด็จยุรยาตรขึ้นมายัง เทวพิภพ ของพระพุทธองค์ โดยมีพระพุทธประสงค์จะสนองพระคุณพระมารดา จึงได้ถวายบังคมลาพระบรมยุคลบาท ขอประทานโอกาสขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระมหามายาเทวี ยังเทพวิมานรัตนรังษีดุสิตสวรรค์ ทูลเชิญให้พระนางเจ้าเสด็จลงไปบังคมคัลพระตถาคต ซึ่งเป็นบรมปิโยรสรัตนวิสุทธิทศพล และเชิญให้เสด็จประทับนั่งภายในเบื้องทักษิณมณฑลบัณฑุลกัมพลศิลาอาสน์เบื้อง ขวา ของสมเด็จพระบรมศาสดา นั้นแล

สตฺถา ตํ ทิสฺวา ครั้นพระบรมศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระมารดา เสด็จมาประทับอยู่ในเทวสมาคมสถาน ก็มีพระกมลเบิกบานสมบูรณ์ด้วยกตัญญูกตเวทีที่เตือนให้พระชินศรีทรงพระ อนุสรณ์ จึงยกพระหัตถ์ออกจากกลีบจีวรทุกุณพัตร์ เอื้อนพระโอฐออกอรรถตรัสปราศรัยด้วยพระศิริเทวมหามายาว่า ขอพระมารดาเชิญเสด็จมาประทับที่นี้ พระองค์ได้ทรงพระเมตตาปรานีเลี้ยงดูพระตถาคตเจ้ามาเป็นอเนกชาติ ทรงเป็นพระแม่เจ้าที่สามารถยากที่จะหาเสมอทุกสมัย จัดเป็นสมุทัยแห่งคุณากรขอพระแม่เจ้าที่สามารถยากที่จะหาเสมอทุกสมัย จัดเป็นสมุทัยแห่งคุณากร ขอพระแม่เจ้าจงรับค่าน้ำนมและข้าวป้อนและหยูกยา ซึ่งได้อุปถัมภ์พระตถาคตมาเป็นอเนกประการ ตถาคตจะแสดงอภิธรรมคุณมหาศาลประทานแด่พระมารดา ตลอดเทพเจ้าในฟากฟ้าสิ้นทั้งหมด ขณะพระแม่เจ้าได้ทรงสดับรับอมตรสแห่งสันติวรบทนิโรธคุณ เพื่อพระมารดาจะได้นิรามัสสุขอันไพบูรณ์นั้นเถิด


เมื่อสมเด็จพระบรม ศาสดา ทรงประกาศเกียรติคุณของพระมารดาให้ปรากฎแก่เทพเจ้าทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าแม่แล้ว ควรที่ทุกคนจะขวนขวายปฏิการสนองพระคุณตามควรแก่กำลังของตนๆ ให้สมกับที่แม่ได้ทุกข์ทนอุปถัมภ์เลี้ยงดูมา ต่อนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมรวม ๗ คัมภีร์ โดยพิสดารตามพระบาลีเริ่มต้นแต่คัมภีร์พระอภิธรรมสังคณี เป็นปฐม โดยเทศนานิยมว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เป็นอาทิ จนถึงคัมภีร์ที่ ๗ คือ มหาปัฏฐาน มี เหตุปจฺจโย เป็นต้น เป็นประธาน มี อวิคตปจฺจโย เป็นธรรมปริโยสาน เสร็จสิ้นอภิธรรมบรรหารที่พระบรมศาสดา ทรงประทานแก่เทพยดา รวม ๗ พระคัมภีร์ ตลอดเวลา ๙๐ ทิวาราตรีในไตรมาสที่พระองค์ทรงพระมหากรุณา ประกาศในสรวงสวรรค์ สิริรวมเป็นขันธ์ได้ สี่หมื่นสองพันพระธรรมขันธ์ เทพเจ้าได้บรรลุอริยมรรค อริยผล เป็นอเนกอนันต์สุดที่จะพรรณนา นับตั้งแต่สมเด็จพระมหามายา พระพุทธมารดา เป็นต้น สมดังพระกมลพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกประการ

ปุจฺฉาวิสชฺชนาปริ โยสาเน ในกาลเมื่อพระมหากัสสปะและพระอานันทเถระเจ้าปุจฉาวิสัชชนาพระอภิธรรมปิฎกจบ ลงแล้ว พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ก็สังวัธยายพระอภิธรรมปิฏกนั้นๆ เป็นคณะๆเป็นพวกๆกัน โดยยกขึ้นสู่สังคายนาด้วยประการฉะนี้

ท่านผู้หนักในธรรม ทั้งหลาย ! ตามนัยแห่งบรรยายเรื่องนี้ ดังที่แสดงมาแล้วนั้น แสดงออกไว้แจ่มแจ้งทีเดียวว่า “กุสลา ธมฺมา” นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เทวดาฟัง มิใช่แสดงให้ผีที่ไหนฟัง ทั้งฟังเป็นบุญเป็นกุศลอันสำคัญยิ่ง แต่ถึงดังนั้นก็ยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจผิดไปว่า กุสลา ธมฺมา นี้ สำหรับพระสวดให้ผีพัง ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าบ้านใดมีใครตายลง ญาติมิตรต้องนิมนต์พระมาสวดให้คนตายฟัง ที่คิดมากออกไปไกลถึงทึกทักว่า เมื่อมีการสวด กุสลา ธมฺมา ขึ้นแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแต่ผีที่ตายฟังเท่านั้น แม้ผีทั้งหลายอื่นก็พอใจ พากันมาประชุมฟัง ถึงกับบ้านใกล้เคียง มีบางคนไม่กล้าจะออกจากห้อง หรือออกจากมุ้ง กลัวผีถึงคลุมโปงจนเหงื่อออกชุ่มผ้าก็มี บางแห่งกลายเป็นโอกาสให้คนร้ายลอบเข้าฉกลักทรัพย์สมบัติได้ ดูประหนึ่งว่าบท กุสลา ธมฺมา เป็นมนต์มหาเสน่ห์เรียกผีมาประชุมดีนัก หรือไม่ก็เป็นมนต์ที่ภูตผีทั้งหลายพอใจฟัง คือฟังไพเราะ รู้เรื่องดี อนิจจา! เป็นไปได้ถึงเพียงนี้

ท่านทั้งหลาย ผู้ที่เข้าใจเช่นนี้ ปรากฏว่า เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยซ้ำไป ดูเถิดแม้พุทธศาสนิกชนยังเข้าใจนอกทางไปเช่นนี้ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนเขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่เห็นไปว่าเราเล่นตลก หรืองมงายจนเกินพอดี เห็นว่าควรจะแก้ เพราะยังพอแก้ได้ ทั้งแก้ก็ไม่ยาก ถ้ารักจะแก้ คือให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ ตามนัยที่บรรยายมาแล้วข้างต้นว่า กุสลา ธมฺมา นั้น เป็นพระอภิธรรม เป็นธรรมชั้นสูง ควรแก่การศึกษาและการฟังอย่างยิ่ง เป็นธรรมสำหรับคนฟัง ไม่ใช่สำหรับผีสาที่ไหนฟัง ที่บางแห่งพระเริ่มจะสวด เมื่อจุดธูปเทียนแล้วก็ไปเคาะโลงบอกให้ผีฟัง ท่านทั้งหลายเอย ผีในโลงฟังออกหรือ? ยังฟังพระสวดได้อยู่หรือ? ยังรับคำตักเตือน ให้ฟังสวดได้อยู่หรือ? เป็นไปไม่ได้แน่ๆ แม้แต่เมื่อยังไม่ตายก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง หรือบางคนก็ไม่เคยฟังด้วยซ้ำไป แล้วเหตุใดตายแล้วจะฟังอภิธรรมออก ดูไปเกณฑ์ให้เกียรติแก่คนตายมากเกินไป ยังไม่ตายฟังไม่ออก ไม่พอใจฟัง ตายแล้วกลับฟังออกและพอใจฟัง น่าขันแท้ๆ ทำเหมือนคนตาย เป็นคนสำเร็จ มีฤทธิ์มีญาณพิเศษอะไรทำนองนั้น ช่างปล่อยให้ทำกันตามสบายน่าอายแก่ท่านผู้รู้เรื่องอย่างยิ่ง

ความจริงนั้น การสวดอภิธรรม เป็นการสวดให้คนเป็น คือ ญาติมิตรของผู้ตาย ซึ่งโดยปกติมีความเศร้าโศก เสียดาย อาลัยถึงผู้ตายนั้น เพื่อบรรเทาความโศก โดยรู้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกายมนุษย์ต้องแตก ต้องทำลาย ไม่มีใครจะพ้นได้ทั้งจะร้องไห้ จะพูด จะทำอย่างไร ผู้ตายก็หารู้สึกไม่ ญาติมิตรควรจะตั้งใจฟังให้เป็นบุญเป็นกุศล แล้วตรวจน้ำอุทิศผลบุญกุศลที่ตั้งใจฟังสวดนั้น ไปให้ผู้ตายด้วยน้ำใจอันงาม สมกับที่เรารักและอาลัยคิดถึงเขา หรือสงสารเขาก็ตามเถิด บ้านที่เข้าใจในเรื่องนี้ ถ้ามีการสวดอภิธรรมขึ้นที่บ้านนั้น จะเห็นญาติมิตรของเขาพร้อมใจกัน รับเป็นเจ้าภาพสวดให้เป็นวันๆ ตั้งอกตั้งใจฟัง ทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตาย

บ้านที่ไม่เข้าใจ ในเรื่องนี้ เมื่อมีการสวดอภิธรรมขึ้นในบ้าน คนในบ้านมักจะพากันเลี่ยง ลางที่มีแต่พระสวด ไม่มีคนฟัง เข้าลักษณะสวดให้ผีฟัง เพราะไม่มีคนฟัง เห็นแล้วน่าสลดใจ
เพราะฉะนั้น ขอเตือนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้โปรดช่วยกันแก้ไขในเรื่องนี้ ทำให้ถูกกับเรื่อง ให้เกิดเป็นบุญกุศล เพื่อจะได้อุทิศผลของการสดับอภิธรรมแก่ญาติมิตรของเราในกาลต่อไป

อภิธมฺมสงฺคหาวสา เน เมื่อพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายได้สังคายนาพระอภิธรรมจบลงในครั้งนั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์ แผ่นปฐพีบันดาลบันลือลั่นสนั่นไหว สะเทือนสะท้านลงไปถึงน้ำรองพระธรณี ทั้งหมู่เทพเจ้าก็พากันยินดีแซ่ซ้องสาธุการอนุโมทนา โปรยปรายทิพย์รัตน์บุยผาปาริกชาติ อีกปทุมมาศบัวบานบูชาในขณะนั้น จัดว่าเป็นศรี เป็นมิ่งขวัญแก่พระศาสนาตลอดทุกคนผู้มีศรัทธาทั่วไป ขอมวลศิริมิ่งขวัญทั้งหลายดังพรรณนามาจงมีแด่พุทธศาสนิกบริษัทตามสมควรแก่ วิสัย ขอยุติข้อความในเรื่องสังคายนาพระอภิธรรมแต่เพียงนี้
—————————
คติธรรม
อันสุราเมรัยล้วน ให้โทษ หักประโยชน์ก่อประมาทมาตรฐาน
ทอนกำลังปัญญา ปรีชาชาญ เสริมสันดานหุนหันทำจัญไร
“ธรรมสาธก”
 (บรรยาย ๑๕ มิถุนายน ๒๔๙๙)
http://tipitaka.2pt.net/ตำนาน/ตำนานสวดมนต์/ตำนานพระอภิธรรม/


--------------------------------------------- 

สมาชิกท่านใด ยังติดใจประเด็นไหน สอบถามได้นะครับ

 ผมมีข้อมูลอยู่พอสมควร

 ขอให้ธรรมคุ้มครอง
:25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว เปลี่ยนทัศนะคติ เกี่ยวกับสวด พระอภิธรรม ไปมากเลย

นึกว่าสวดให้วิญญาณฟัง

ที่แท้ การแสดงพระอภิธรรม เหมือน ปาฏิหาริย์


อนุโมทนา ด้วยครับ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ขอเอาใจคนชอบอภิธรรมสักหน่อย
ขอนำข้อความในหนังสือ พระอภิธรรมเป็นพุทธพจน์ และประวัติคัมภีร์สัททาวิเสส
ของพระคันธสาราภิวงศ์  วัดท่ามะโอ จ.ลำปาง  http://www.wattamaoh.com

มาแสดงบางส่วน เพื่อยืนยันว่า
พระอานนท์ และพระมหากัสสปะ เป็นผู้สังคายนาพระอภิธรรม





บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ISSARAPAP

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 129
  • โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย สัจจะธรรมแท้ ไม่มีสูตร
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ของพระคันธสาราภิวงศ์  วัดท่ามะโอ จ.ลำปาง  http://www.wattamaoh.com

มาแสดงบางส่วน เพื่อยืนยันว่า
พระอานนท์ และพระมหากัสสปะ เป็นผู้สังคายนาพระอภิธรรม

อ้างถึง
พระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส ท่านก็ยืนยันรับรองเยื้องนี้แก่เหล่าบรรดาศิษย์ทั้งหลาย.


จะเชื่อใคร ดี ต้องมี องค์หนึ่ง ต้องมั่ว แล้ว

จากสาระที่ได้อ่าน ของคณปุ้มแล้ว น่าเชื่อถือมาก เพราะพระอภิธรรม มีการเผยแผ่ในสายพม่ามาก ๆ  แต่พระพม่ามีจำนวนเยอะกว่า พระประเทศไทยอีก ตัวผมเองกับเคารพ พระไทยมากกว่า ด้วยจริยาวัตร เคยตาม พ่อแม่ ไป ที่พม่า อยู่เกือบ 2 ปี

แต่ผมเอง ก็ยังมีความเห็นในใจว่า ทั้งสองอัน ก็ยังมั่ว อยู่ดี
เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว พระไตรปิฏก ทำไมจึงไม่มีบันทึก ลงไปตรง ๆ เลย

ในส่วนของพระอภิธรรม ก็มีการแบ่งไม่ตรงกับการเรียบเรียงในพระไตรปิฏก ในหลักสูตร แบ่งเป็น จูฬ ขึ้นไป
แยกออกเป็นปริจเฉท ผมลองเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก แล้ว การดำเนินเรื่องในพระไตรปิฏก กับ หลักสูตร ของพม่า ก็ต่างกัน ผมว่าในส่วนของพม่าเป็นการรจนาเรียบเรียงตามอาจารย์ครับ อ่านของแท้ ก็ต้องในพระไตรปิฏก





ในส่วนสุดท้าย นั้น ผมว่าให้เราเข้าถึงธรรมชาติ ตามความเป็นจริง ใจก็ว่าง และ ว่างจากกิเลส ก็พอครับ
ไม่ต้องไปกำหนดอะไรให้มาก กับพิธีการ เราไปสมมุติกันเกินไปครับ

พระแท้ สว่างแล้วในใจ พระจริง ก็เ้กิดขึ้นภายในใจ กิเลสนั้นก็ดับแล้ว ภายในใจ
หากใจรู้เห็นตามความเป็นจริง ผมว่านี่แหละครับชื่อว่า อภิธรรม

 :smiley_confused1: :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ความสันโดษ เป็นบรมสุข

TCnapa

  • สมาชิก
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 82
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
จะเชื่อใคร ดี ต้องมี องค์หนึ่ง ต้องมั่ว แล้ว

อ่านแล้ว รู้สึกไม่ค่อยดี เลยคะ คุณปุ้ม ว่าอย่างไรคะ

คุณอิสรภาพ เป็นผู้เข้าถึงธรรมชาติ ซะด้วย

 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นครูบ้านนอก แต่ก็ไม่ออกจากศีล และธรรม นะจ๊ะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
จะเชื่อใคร ดี ต้องมี องค์หนึ่ง ต้องมั่ว แล้ว

อ่านแล้ว รู้สึกไม่ค่อยดี เลยคะ คุณปุ้ม ว่าอย่างไรคะ

คุณอิสรภาพ เป็นผู้เข้าถึงธรรมชาติ ซะด้วย

 :25:

แม่หญิงนภาขอรับ เข้าใจความรู้สึกของแม่หญิงดี

อย่าได้ใส่ใจในสมมุติบัญญัติเลย

คุณอิสรภาพ อาจแค่สะกิดด้วยความเป็นมิตรให้เราพิจารณา "กาลามสูตร"ก็ได้

ความเห็นของแต่ละท่าน ไม่ใช่คำพิพากษา ไม่เป็นที่สุด

ไม่ใช่ "The End of The World"

ขอแม่หญิงนภาได้โปรด "Take it easy"



ขอให้ธรรมคุ้มครอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2010, 04:11:34 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ