ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องแดนนรก ตายแล้วฟึ้น ของครูบุญชู ศรีผ่อง  (อ่าน 5812 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ท่องแดนนรก ตายแล้วฟึ้น

ครูบุญชู ศรีผ่อง อยู่ จ. อ่างทอง แกตายผิดระเบียบ เพราะคนที่จะตายชื่อ นางสาวบุญชู จิตทอง แต่ผู้ที่จะมารับแกแวะเล่นเอานางบุญชูเข้าให้ พวกรับผิดตัวเขาให้มารับนางสาวบุญชู บ้านอยู่ จ.สิงห์บุรี แล้วบุญชีเขาก็ชัดบอกบ้าน บอกตำบล บอกต้นไม้ บอกบ้านเลขที่เสร็จ แล้วก็บอกอาการโรคและเวลาทมี่จะตายด้วย คือว่าจะเป็นไข้ทับระดูตายเวลาตี 1 ครึ่ง แต่พ่อพวกนั้นมาตั้งแต่ตอนเย็น พ่อล่อเอานางบุญชูไปเลย
(เรื่อง นี้บังเอิญได้ไปพบ "หนังสือเที่ยวเมืองนรก" ซึ่งบันทึกโดย นางบุญชู ศรีผ่อง อดีตครูโรงเรียนวัดจุฬามณี จึงขออนุญาตินำมาเล่าให้ท่านฟังโดยละเอียดดังนี้)


ตายครั้งแรกพบชาย 4 คนมารับ

****** วันนั้นเป็นวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2495 ข้าพเจ้าทำกิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้า คือเป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ต.สามโก้ (วัด มงคลธรรมนิมิตร) อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง แต่วันนั้นเป็นวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกเกียจคร้านไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็ก และประกอบกับความง่วงผิดปรกติซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้อดนอนที่ไหนมา แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ

>>>> ในวันนั้นเลยเป็นเหตุให้จิตใจของข้าพเจ้าไม่เป็นปรกติแต่ข้าพเจ้าก็จำทนสอนต่อ ไปจนหมดเวลา 15.15 น. พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินกลับบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ 3 เส้นเศษ
>>>> เมื่อเสร็จงานบ้านแล้ว ข้าพเจ้านำเสือมานอนเล่นกับบุตร 2 คน ในขณะนั้นเวลา 16.30 น. ต่อมาข้าพเจ้าหลับไปเมื่อไรไม่ทราบ มารู้สึกตัวต่อเมื่อข้าพเจ้ามายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มองดูสวยงามแต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ใด

>>>> ข้าพเจ้า มองดูไปรอบ ๆ ตัวข้าพเจ้า บังเอิญข้าพเจ้ามองไปเห็นถนนสายหนึ่งยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ ข้าพเจ้าก็ยกท้าวเดินไปเที่ยวถนนสายนั้น แต่ยังไม่ทันที่ท้าวของข้าพเจ้าจะถูกกับถนน ข้าพเจ้าก็ต้องสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกินคล้ายตวาด เสียงนั้นดังมาจากข้างหน้าข้าพเจ้าว่า " อ้อ...บุญชู เหมาะเลย มาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว"

>>>> ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนั้นก็บอกเขาว่า "ไม่ไปหรอก" พร้อมกับผละออกวิ่งหนีทันที แต่ชายทั้ง 4 คนมารับก็เดินตามและพูดว่า "ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้"
>>>> ข้าพเจ้าก็หันไปบอกเขาว่า "ลุงไปบอกกับนายเถิดว่าฉันผลัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปหรอก" แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า "ผลัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผลัดเอง"

เมื่อหมดทางเลี่ยงข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า "ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อน ฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะมาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้" แล้วข้าพเจ้าก็เดินมาหน้าบ้าน และเดินเข้ารั้วบ้านขึ้นบันไดไป ก็พบว่าบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุ และมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ข้าพเจ้าขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งตรงจากบันไดไปหาสามีของข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่ ข้าง ๆ หมอ ข้าพเจ้าเสียหลักสะดุดชายเสื้อล้มลง

>>>> เมื่อ ข้าพเจ้าลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้านข้าง ๆ ข้าพเจ้านั้น ต่างพากันถอยหลังหนีไปรวมกัยอยู่หน้าครัวหมดและต่างชิงถามกันว่า "ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หรอกพวกฉันไม่ใช่หรือ"
>>>> ข้าพเจ้าก็บอกพวกนั้นว่า "อย่า กลัวฉันเลย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อยแล้วจะต้อง เพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันยังไม่อยากตาย ขอผลัดเขาเขาไม่ยอม เขาบอกให้ไปผลัดกับยมบาลเอง ฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วยทุก ๆ คนว่า ขอให้เก็ยศพฉันไว้ 3 วันก่อน ถ้าไม่กลับมาแสดงว่าเขาไม่ยอมจึงค่อยจัดการเผา"

>>>> พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึกบอกว่า "โน่นเขาเร่งมาแล้ว ฉันไปล่ะ ลาก่อนทุก ๆ คน"
นายเจ๊กที่เป็นหมอ จึงเอาธูปเทียนมาให้ข้าพเจ้า และบอก "พระอรหัง พระอรหัง" ตอนนี้ข้าพเจ้าจะเกือบหมดสติแล้ว รับคำ พระอรหังได้ 2 ครั้งก็หมดสติวูบไป มารู้สึกตัวว่าตัวของข้าพเจ้าเองได้มาเดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว



ตายครั้งที่ 2 พบยมบาล
>>>> ใน ระยะที่ข้าพเจ้าฟื้นและตายใหม่นี้ คือฟื้นตอนประมาณ 22.00 น. และตายไปใหม่ไปประมาณ 22.06 น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นข้าพเจ้าอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง 2 คน มีคนอยู่หน้า 1 คน หลัง 1 คน เดินไปพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งอยู่ข้างทางเดิน มีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยาและขนมอีกหลายชนิด คนทั้ง 4 ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกข้าพเจ้าว่า "บุญชูยังไม่ได้กินข้าวมากินเสียซี"

>>>> ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า "ของ ๆ ใครนี่เรามากินของ ๆ เขา เขาไม่ว่าหรือ" คนที่มีท่าทีว่าจะเป็นหัวหน้าบอกข้าพเจ้าว่า "ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเขาเซ่นผีไว้อีก 2 วัน ข้าจะกลับมาเอา"
>>>> ข้าพเจ้าถามว่า "บ้านใครเล่า" เข้าตอบว่า "โน่นยังไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพาน เขาทำบุญต่ออายุไว้อีก 2 วันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป" ข้าพเจ้า มองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้าง ๆ บ้านหนึ่ง มีลูกกรงสีเขียวต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่ 2 ข้างถนนต่างไชโยโห่ร้องรับข้าพเจ้า และร้องบอกกันว่า "พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย"

>>>> ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่า "ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก" พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกนั้นสวยมากเป็น
ทองคำทั้งดอก ใบเป็นสีเขียวเหมือมรกต ข้าพเจ้าตรงไปเก็บก็ถูกห้ามไม่ให้เก็บเขาบอกว่า ถ้ายังอยากจะกลับละก็อย่าไปเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ข้าพเจ้าเดินผ่านด้วยความเสียดาย


>>>> ต่อจากนี้มีบ้านเล็ก ๆ เป็นแถว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยเพราะน้อยบ้านนักที่จะมีคน 2-3 คน โดยมากบ้านละ 1 คน บางบ้านมีคนอยู่ใต้ถุนเต็มไปหมด ข้าพเจ้าถามจึงได้ความว่า ที่บางบ้านมีคนอยู่มากบ้าง น้อยบ้าง เกี่ยวกับทำบุญของแต่ละบุคคล บางคนทำบุญไว้ดีก็ได้อยู่บ้านสวยงาม บางคนร่วมกันทำบุญสร้างด้วยกัน ทำพร้อมกัน ก็ไปอยู่บ้านเดียวกัน บางคนทำบุญแต่ก่อนจะทำว่าเขาเสียก่อน ทำโดยไม่ตั้งใจจะไปอาศัยใต้ถุนบ้านเขาอยู่

>>>> ต่อจากบ้านที่มีเรียงรายไปอีกไกล เดินพักใหญ่ก็พบลานกว้างใหญ่ มีต้นไทนขนาด 20 คนโอบ มีแท่นหินและโต๊ะหินอยู่โคนต้นไทร มีชายคนหนึ่ง ดำ ผมหยิก ตาพอง รูปร่างใหญ่โตนั่งอยู่บนแท่นหินนั้น ชายทั้ง 4 และข้าพเจ้าเดินมาถึงตรงนี้ก็ถูกเรียกว่า "เฮ้ย...พามาตรงนี้ซิ มาถามไถ่กันดูก่อน อีนี่ดื้อนักเรียกไม่ค่อยจะมา"
 
>>>> ข้าพเจ้าและชาย 4 คนจึงเดินไปหยุดตรงหน้า พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกดีใจว่า ยมบาลคนนี้รูปร่างเหมือนนายเชย สิงหมี ผู้ใหญ่บ้านที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก จึงถามว่า "อ้าว...ตาเชยมาเมื่อไรเล่า" แต่กลับถูกตวาดว่า "เชย ๆ อะไร เอ็งรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อไร" ทำให้ข้าพเจ้าเงียบเสียงทันที แต่ก็นึกสงสัยว่า ยมบาลคนนี้ถ้าไม่ชื่อเชย ทำไมรูปร่างจึงเหมือนผู้ใหญ่เชยจริง ๆ คล้ายกับจะเป็นลูกฝาแฝดทีเดียว แต่ยมบาลตัวใหญ่มาก ข้าพเจ้าจะพูดกับยมบาลต้องแหงนหน้าดู "เอ็งทำไมดื้อนัก ข้าให้คนไปรับยังวิ่งหนี"

>>>> ข้าพเจ้าตอบไปว่า "ฉันห่วงลูกเพราะลูกยังเล็กอยู่" คราวนี้ยมบาลสะดุ้งทันที ร้องว่า "อ้าวพวกมึงทำไมทำระยำอย่างนี้เล่า ผิดตัวเสียแล้ว อีนั่นมันไม่มีลูกนี่หว่า"
>>>> เสร็จแล้วพลิกบัญชีดู และบอกว่า "อี คนนั้นชื่อ บุญชู จิตทอง บ้านต้นโพธิ์ หมู่ 1 จังหวัดสิงห์บุรี ตายเวลาตี 1ครึ่ง เป็นไข้ทับระดูตาย อีนี่ตายตั้งแต่ 5 โมงเย็น เป็นลมตาย ไม่ใช่ ๆ ผิดตัว เอ็งจัดแจงเตรียมตัวไปเอาอีคนนั้นมา"



เดินชมสภาพเมืองนรก
>>>> พอ 4 คนนั้นเตรียมตัวไป ยมบาลก็หันหน้ามาบอกข้าพเจ้าว่า "จะดูอะไรก็ดูเสีย ประเดี๋ยวจะให้เขาเอากลับไปส่ง" ข้าพเจ้าจึงเดินดูเห็นทนายความคนหนึ่งกำลังขึ้นต้นงิ้ว
>>>> ต้นงิ้วน่ากลัวมาก คือ สูง มองเห็นยอดลิบ ๆ หนามไม่ยาว แต่พอขึ้นไปหนามยาวออกเองได้ แทงทะลุท้อง ทะลุอก ออกมาตายอยู่กับหนาม เขาก็เอาคีมเหล็กจับตรงเอวดึงออกมาวางตรงโคนต้น เอาน้ำในโอ่งใหญ่มาราดแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีกจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะใต้ต้นก็มีทหารถือหอกคอยแทง


>>>> ข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งขึ้นต้นงิ้ว ซึ่งข้าพเจ้ารู้จัก ชื่อม้วน จึงถามเขาว่า "เอ๊ะ...ผู้หญิงขึ้นต้นงิ้วด้วยหรือ" เขาบอกว่า "ทำไมเล่า มันนอกใจผัวไปเป็นชู้กับตาหอม" ต่างขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เช่นนั้น
>>>> ข้าพเจ้ายังได้พบกับชายอีกคนซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จัก ชื่อนายเปลื่อง จินดาวัด ถูดตัดนิ้วมือด้วนกุดหมด ถามได้ความว่า ชอบยิงนกในวัดเสมอ บางคนก็เคยทุบหัวควาย ก็ถูกล่ามโซ่และถูกเชือดเนื้อเสียงร้อง อู้ ๆ น่ากลัวมาก ข้าพเจ้ามองดูด้วยความหวาดเสียว พอข้าเจ้าเดินดูต่อไปอีก ก็ได้ยินเสียงยมบาลบอกกับข้าพเจ้าว่า "หิวข้าวก็ไปกินซี ของเราอยู่โน่น"

>>>> ข้าพเจ้าจึงเดินไปดู เห็นโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งมีของเกือบเต็ม มีขันใส่ข้าว วึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า ขันลูกนี้ข้าพเจ้าเคยใส่ข้าวไปใส่บาตร ข่าวยังเต็มขัน และควันร้อนขึ้นฉุยอยู่ ทั้ง ๆ ที่ขันลูกนี้ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า หม้อแกง ถ้วย ชาม ถาด ที่ข้าพเจ้าพบที่นี่ ยังอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีน้ำขวดตั้งโต๊ะ ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่า "เอ๊ะ...ของฉันทำไมมีน้ำครึ่งขวดเท่านั้นเล่า และบางโต๊ะทำไมไม่มี" เขาบอกว่า "พวกเมืองมนุษย์นั้นเต็มที มันไปทำบุญมันเอาข้าวกับขนมไปทำเท่านั้น มันไม่เอาน้ำมาทำบุญจึงต้องอดน้ำ"

>>>> ข้าพเจ้าจึงถามวิธีการทำบุญด้วยน้ำ ก็ได้ความว่า ให้เอาน้ำไปใส่ขวดหรือขันตั้งอยู่หน้าพระสงฆ์ เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วจึงกรวดน้ำแผ่กุศลไป น้ำที่นำไปใส่ขวดหรือขันนี่แหล่ะจึงจะได้กินน้ำ ถ้ามิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้กินน้ำ ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า ฉันได้กลับมาจะมาบอกกับชาวบ้าน


พบบัญชีคนตาย
>>>> เมื่อ ข้าพเจ้าเดินออกมาตรงโต๊ะอาหาร ยมบาลก็โยนบัญชีมาให้ข้าพเจ้าดู ในบัญชีนั้นมีตัวหนังสือใหญ่ ๆ แผ่นกระดาษใหญ่เท่ากับแผ่นกระดานดำที่สอนเด็ก ข้าพเจ้ามองดูมีชื่อคนมาก แต่ข้าพเจ้าพยายามจำแต่คนที่
>>>> ข้าพเจ้ารู้จัก จำมาได้ดังนี้ คือ


1. บุญชู จิตทอง ตี 1 ครึ่ง ไข้ทับระดู 4 กุมถาพันธ์ 2495
2. นางหล่ำ 7 กุมภาพันธ์ 2495
3. นางฉาย บุญวงศ์ 4 มีนาคม 2495
4. นายแม่น ทองสติ 4 กรกฎาคม 2495
5.นายปลอด สีสิงห์ อีก 2 ปี ( 4 กุมภาพันธ์ 2497)


>>>> ข้าพเจ้าจะขอเปิดดูอีกแต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่า "เอ็ง หมดสิทธิ์ที่จะเปิดแล้ว เอ็งเป็นคนใจบุญเปิดไม่ได้หรอก เดี่ยวไปเที่ยวบอกเขาหมด เมื่อก่อนนี้ เอ็งเป็นคนทำบุญชีให้ข้า ข้าคิดถึงเอ็ง อีก 5 ปี ข้าจะให้ไปรับ เพราะเอ็งจะลำบากอีกมาก"
>>>> ข้าพเจ้าบอกว่า "อีก 5 ปี ฉันไม่มาหรอก"
>>>> ยมบาลหัวเราะแล้วพูดว่า "เอ็งอยากลำบากก็ตามใจเอ็ง แต่ถ้าเอ็งไม่มา เอ็งต้องบวชลูกให้ข้า ข้าก็ไม่ไปรับเอ็ง"
 
"แต่ว่าจะให้คาถาเอ็งไว้ป้องกันตัวบทหนึ่ง เอ็งพยายามท่องอยู่เสมอ อัตรายและความลำบากจะลดน้อยลงไป คาถานี้เอ็งบอกให้ทั่ว ๆ ไปเถิดเอาบุญ เพราะต่อ ๆ ไปในเมืองมนุษย์จะยุ่งกันใหญ่ เอ็งคอยจำนะข้าจะบอกให้ ก่อนท่องนะ ตั้งนะโม เสียก่อน แล้วท่องจะลงจากบ้านหรือจะนอน ท่องอยู่เสมอจะคุ้มภัยเอ็งได้"

ปะโตเมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ
จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ


>>>> ข้าพเจ้าจำไว้เพื่อนำมายังโลกมนุษย์ต่อไป และก็เป็นที่น่าแปลกว่าข้าพเจ้าได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้


พบ "บุญชู" ตัวจริง
>>>> และก็พอดีเขานำ บุญชู จิตทอง มา บุญชูคนนี้กับข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนกันมาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงยมบาลดุบุญชูว่า "เอ็งนี้จะตายแล้วยังก่อเวร ไปลักพุทราเขามากินและผิดสำแดงพุทราจึงตาย"
แล้ว ก็สั่งให้ตีบุญชู ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวจริง ๆ เพราะการทรมานต่าง ๆ ของนรกนี่น่ากลัวมาก เมื่อบุญชูคนโน้นถูกตีด้วยหวายแล้ว ยมบาลก็สั่งให้ชายทั้ง 4 นำข้าพเจ้ามาส่ง


>>>> มาระหว่างทาง ชายคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล้ายกับหัวหน้าได้เตือนข้าพเจ้า "เอ็งอย่าลืมนะ อีก 5 ปี เอ็งต้องบวชลูกให้พวกข้า" ข้าพเจ้ารับคำ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องผละออกเดินห่างจากแก เพราะเวลาแกพูดมีหนอนร่วงออกมาจากปากมาก จึงถามแกว่า "ลุงจ๋า ลุงชื่ออะไร ทำไมลุงจึงเป็นดังนี้"

>>>> แกบอกว่า "ข้า ชื่อเอื้อม คนดอนรัก (คนในตำบลดอนรัก) ไปถามดูเถอดมีคนรู้จัก ลูกข้าชื่อไอ้เจือ เมื่อก่อนข้าเลี้ยงช้างได้เงินค่าจ้างเดือนละตำลึง เงินเหลือข้าก็ซื้อเหล้ากิน ผลแห่งการกินเหล้านี้แหล่ะ หนอนจึงกินปากข้า"
        พอมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าเข้าบ้างไม่ได้ เพราะล้อมสายสิญจน์และซัดข้าวสารไว้ จนกระทั่งลุงเอื้อมแกจับข้าพเจ้าเหวี่ยงโครมขึ้นมาบนบ้าน ทำให้บ้านไหวยวบ คนหนีหมด เหลือแต่ลูกสาวของข้าพเจ้าอายุได้ 4 ปีนั่งอยู่และถามข้าพเจ้า "แม่ไม่ตายหรือ" พอบอกว่าไม่ตายหรอก จึงได้เรียกคนขึ้นมาบนบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายเพราะตอนที่ฟื้นขึ้นมานี้เป็นเวลา 08.05 น.เศษ และต่อโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว


>>>> พวกชาวบ้านและพระขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง และข้าพเจ้าได้ถามถึงลุงเอื้อม ก็ได้ความว่าเป็นพี่ชายนายทัน ผู้ใหญ่บ้านและตายไปประมาณ 30 ปีแล้ว ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีข้าพเจ้าก็นำมาเล่าให้ชาวบ้านและพระฟังจนหมด และต่อมาเมื่อวันที่ 7 นางหล่ำตาย วันที่ 4 มีนาคม นางฉายตาย วันที่ 4 กรกฎาคม นายแม่นตาย ต่อมาคนสุดท้ายนายปลอด สีสิงห์ กำหนด 2 ปี พอครบพอดีก็ตาย แต่ก่อนตายแกเที่ยวไปขุดละลายหัวคันนาที่แกเคยรุกเขา มาคืนให้เจ้าของหมด

>>>> และต่อมาชายคนหนึ่งทางห้วยคันแหลม ได้สั่งลูกหลายไว้ หลังจากข้าพเจ้าฟื้นมาแล้ว "กูตายไปละก้อ มึงเอาขวานใส่โลงไปให้กูด้วย กูจะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว" พอตายลูกหลานก็เอาขวานใส่ไปให้จริง ๆ ต่อมาแกกลับมาเข้าทรงเด็ก ๆ ให้ไปขุดขวานขึ้นและแกบอกว่า "ไม่ไหวละ มันเอาขวานทุบหัวเสียอีกด้วยซิ แทนที่จะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว" ในที่สุดพวกลูกต้องไปขุดเอาขวานขึ้น



(จบ บันทึกของครูบุญชูไว้เพียงแค่นี้ เรื่องตายแล้วฟื้นนี้มีผู้ประสบเหตุการณ์หลายราย การที่ไปพบเห็นในสภาพต่าง ๆ คล้ายๆ กันนั้นก็เป็นไปตามอำนาจของบุญกุศลของผู้นั้น หรือแล้วแต่เจ้าหน้าที่เขาจะอนุญาติให้พอเห็นได้ แต่ก็พอเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ นรก สวรรค์มีจริง ทำกรรมดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอน
)

ที่มา http://www.kaobanghoey.com/index.php?type=webboard&add=2&update=1&id=316831

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ท่องแดนนรก ตายแล้วฟึ้น ของครูบุญชู ศรีผ่อง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 05:42:37 pm »
0
อ่านแล้ว ยิ่งต้องระวัง กลัวบาปกรรม มากขึ้น คนสมัยนี้ถ้ากลัวบาป กันมาก ๆ หน่อย ก็จะไม่มีเรื่อง มีราวกันแน่

 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

sanrak

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 116
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ท่องแดนนรก ตายแล้วฟึ้น ของครูบุญชู ศรีผ่อง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 09:27:33 am »
0
อ่านเรื่องนี้ แล้ว เห็น บุญ บาป ทันทีเลย

 :25: :25:
บันทึกการเข้า