ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากฝึกธรรมแต่จิตยังดิ้นรน..ทําอย่างไรจะหาย  (อ่าน 1657 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

        ขอให้ลองตรวจสิ่งนี้ดูก่อน เพราะเป็นพื้นฐานสําคัญมา ที่ในพระสูตรพระพุทธเจ้า ได้ระบุและชี้ชัดเอาไว้

           บารมีธรรมตามขั้น.......ของท่านมีหรือยัง 
     
      ทาน  ศิล  ภาวนา
    ท่านจะมาภาวนา แต่ท่าน ไม่เคยทราบในสิ่งนี้  เพราะ สิ่งนี้เป็นเรื่องของ อาการยอมรับความจริงของจิตโดยตรง

      เพราะเป็นการฝึก ด้วยอุบายของการสละ และรักษา ในสองขั้นต้น

       เพื่อให้จิตยอมรับฟัง และยอมรับความจริง ก็คือ เป็นความพอกพูน อุเบกขา เป็นเรื่อง เริ่มต้น

          เพื่อเปิดฐานธาตุหนึ่งให้ทํางาน ฐานธาตุนํ้าพระโอกันติกา เป็นธาตุปล่อยวางเพราะ ครูอาจารย์กล่าวว่า ธาตุนํ้าไหลลงร่องอก

          จึงจะสามารถ พาทุกธาตุลงไป หมุนพันกัน เป็นวงกลมอุคหนิมิต  และทําลายกิเลสทั้งรูปนามที่ ศูนย์กลางกาย และสัมปยุตธรรม ที่นาภีสะดือได้ และปิดอบายภูมิด้วยอานาปา

            ห้องพุทธคุณ หนึ่ง สอง และ สาม เป็นทาง เดินมา

        แต่ก็ล้างทุก ไปได้บ้าง พอควร

       ตั้งแต่อนุโลมปฏิโลม ขึ้นไป  ได้ล้างธาตุ การล้างธาตุก็คือล้างทุกข์



          ให้ออกไป จากกายและใจ ก็คือรูปนาม ตามขั้นตอน อุบาย วิธี ของครูผู้เห็น ทั้งรูป ทั้งสี ของ ลูกศิษย์

...งง


กลับไป ที่ขั้นทาน ศิล กันต่อเรื่อง ฝึก สมาธิยังไม่ต้องพูด เพราะใจมันยังขืนเหมือน วัว เหมือนควายอยู่ เพราะมันยังมีความร้อนอยู่มาก

          ต้องไปเริ่มรู้จัก ความเย็น มาตามลําดับ

   เพราะบุญคือความเย็น เป็นความสุข และเป็นวิปัสสนาเริ่มต้น

            วิปัสสนาคือความปล่อยวางจิต เพื่อทําลาย ความ ยึดถือ และไม่ยึดถือ

 เริ่มแรกก็ในทรัพย์ และในตัวในตนของเรา ก็คือความหวง ที่มีกันทุกคน คือหวงทรัพย์ ทุกคนต้องมี

              เมื่อปล่อยทรัพย์ จิตก็ปล่อยความหวง เพราะสละเป็น

        ทิ้งความหวง และโบความร้อน ออกไปจากกายจากใจ

      เพราะเริ่ม ได้รู้จักอุเบกขา ด้วยความวางเฉยเป็น เริ่มไม่เสียดาย

             เหตุเพราะได้รู้จักกับความเย็น ตอนที่ได้ ทําบุญทาน ที่ เป็นวิธีสละ

       แบ่ง สละ (ปล่อย...............ปล่อยแล้วดี......อย่างนี้ สุขเป็นแบบนี้.)

      ผู้ทําทาน เริ่มได้ความเย็น ในธาตุนํ้า และอาการใจร้อน ดิ้นรน เริ่มหายไป

       ( การยอมรับความจริงได้บ้าง เริ่มต้นที่นี่).......เราขอวงเล็บไว้เลย

             เพราะเกิดตรงนี้จริง

      ผู้ที่จะทํา ภาวนา ควรเริ่มมาตามขั้นตอน ทาน ศิลก่อน ศิลรักษา ทําให้เรารู้จัก ตั้งมั่น และรักษา ทําให้มีอารมณ์ สุขขุมลุ่มลึก ในความสุขและความเย็น ที่เป็นบุญเพิ่มขึ้น เรียกว่า การไต่ระดับบุญ หรือ การสร้างความดี หรือสร้างบุญแบบไต่ระดับ

            ผู้ที่จะมาภาวนาหวังเอาหมดทุกข์ ในที่นี้ก็คือ มรรคผลนิพพาน จําเป็นต้องมีตรงนี้ทุกคน
เพราะต้องเริ่มสั่งสมมาจากความร่มเย็น ตามขั้นตอน ที่ พระพุทธองค์ ได้แสดงไว้

อาการดิ้นรน ขี้โกรธ ไม่รับฟังคน มีโทสะ เอาแต่ใจ ความหวงเพราะยึดถือเสียดาย จะได้เบา.................ยอมรับฟัง  ก็คือเหตุ มาจาก ทานศิล ที่เราได้สละ จึงได้รู้จักความเย็น
        สําหรับ ผู้ที่ยังมีอารมณ์ร้อน และ ดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่รับฟังคน

            จงพิจราณา การฝึกกรรมฐาน ต้องมี กัลยาณมิตร ก็คือ ครูผู้บอกกรรมฐาน

        ถ้าท่านไม่รู้จักการยอมรับความจริง...หรือรับฟัง ท่านไม่เอียงหูฟัง

                     แล้วท่านจะรู้ถึงการหมดทุกข์  มีแต่สุขได้อย่างได้

             ถ้าจะเรียน ต้องอียงหูฟังครู ครูจะได้บอก และนําไปใช้

            เพราะถ้ารู้อย่างเราท่าน ต่อให้ยกพระไตรปิฏก ไปทั้งตู้ ทุกของท่านก็ยังต้องเกิด

                เพราะไม่รู้จะเริ่มนับ 1..2..3........ตรงไหน

        กรรมฐาน มีไว้ฝึกคน ไม่ใช่ให้ควายไถนามาฝึก...........ฝึกคนให้มีปัญญา

                     ใครเป็นผู้ฝึกให้เรา ก็คงไม่ต้องบอก

            ก็ต้องมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นําทางเราไป

               คนที่จะหวังผล......นิพพาน.......ต้องมีกัลยาณมิตร ที่เป็นพระอาจารย์กรรมฐาน

       ยกตัวอย่าง เช่น พระสารีบุตรผู้เป็นเลิศด้านปัญญา ท่านก็มีพระอาจารย์ราหุล เป็นพระอาจารย์

           ไม่มีใครหรอกที่ฝึกเอง และรู้อะไรเองได้ นอกเสียจาก พระพุทธเจ้า เท่านั้น


             เพราะความคิดของมนุษย์ ที่ว่าใช่ ก็เหมือนควายเทียมแอก
                        ถ้าหลงเชื่อตัวเองเดี๋ยวจะเสียเวลา ต้องมาเกิด  คิดว่าฉลาดแต่กลับโง่

            เข้าให้ถึงกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

           ถ้าสนใจกรรมฐานนี้ ก็ขอเชิญท่านไปขึ้นกรรมฐาน ได้ที่ คณะ5 วัดราชสิทธาราม

          ครูอาจารจะได้ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ท่าน

                                   ขอให้ทุกท่านโชคดี

                                            ศิษย์ธัมมะวังโส-อาโลโก
   




           
  :c017:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2013, 06:19:11 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากฝึกธรรมแต่จิตยังดิ้นรน..ทําอย่างไรจะหาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 06, 2013, 02:32:05 pm »
0
thk56  พี่ ที่มาโพสต์ แต่ช่วยเรียบเรียงให้อ่าน ง่าย กว่านี้หน่อยได้หรือไม่คะ โดยเฉพาะอักษร เวลาอ่านด้วย tablet ไม่ค่อยเห็น เอาแบบขนาด 14 น่าจะพอเหมาะ นะคะ

  thk56
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ