« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 18, 2017, 11:10:45 pm »
0
ผมขออนุญาตเสริมตามความเห็นความเข้าใจส่วนตัวของผมสักนิดนะครับ
บุญบารมีเกิดตั้งแต่สละให้แล้ว แต่ถ้าหลังให้ไปติดใจข้องแวะว่าท่านจะฉันไม่ฉันของตน อันนี้บุญก็หายแล้ว
จริงๆแล้วสาเหตุหลักอีกประการที่พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาทรงชี้นำพาพระสงฆ์สาวกหรือสมมติสงฆ์ท่านเดินบิณฑบาตร หรือรับกิจนิมนต์ ก็เพื่อโปรดญาติโยมให้ได้ทำบุญทำทานสะสมเหตุกุศลบารมีกัน แต่ชาวพุทธโดยทั่วไปจะไม่เข้าใจจุดนี้ หรือบางที่สมมติสาวกผู้ที่อาศัยผ้าเหลืองหากินก็ทำเพื่อลาภสักการะจนทำให้เสื่อม ชาวพุทธสมมติสาวกโดยทั่วไปที่ยังไม่ได้ศึกษาเรียนรู้พระธรรมของพระศาสดาจึงไม่รู้เหตุผลของการบิญฑบาตร และเห็นคุณในการทำบุญตักบาตรในข้อนี้
- ทานจะเป็นบุญได้ก้อต้องรู้จักสละให้ ให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อประโยชน์สุขสวัสดีเกิดมีแก่ผู้รับจากสิ่งที่เราให้นั้น เมื่อให้แล้วก็ถือว่าเราขาดจากความเป็นเจ้าของในสิ่งนั้นแล้วโดยสิ้นเชิง ผู้รับเขาจะเอาไปทำยังไงมันก้อเรื่องของเขา เพราะสิ่งนั้นเราให้เขาแล้ว ผู้รับเป็นเจ้าของในสิ่งนั้นแล้วไม่ใช่เราอีกต่อไป จิตจึงจะเป็นทานได้จาคะ
- แต่หากให้แล้วมาคิดเสียใจเสียดายภายหลัง หรือให้ด้วยหวังลาภสักการะก็ไม่ได้ทานที่สำเร็จ เขาเรียกสักแต่ว่าให้เฉยๆแต่ไม่สำเร็จในทานที่บริบูรณ์ จาคะก็ไม่เกิด บุญก็ไม่ได้ใจเพราะขุ่นข้องไปกับสิ่งที่ตนให้และการให้นั้นของตน ด้วยเหตุอย่างนี้ๆเป็นต้นพระอริยะสงฆ์ท่านจึงสอนว่า...
“ละโลภได้ทาน ละเบียดเบียนได้ศีล ละหลงได้ปัญญา”
กระทู้นี้มีประโยชน์มากครับ บ่งบอกให้คฤหัสทั้งหลายฝึกทำใจให้เป็นทาน ทำไว้ในใจให้เป็น ถึงความสละโดยแท้จริง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 18, 2017, 11:18:50 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ