ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เฉลยข้อสงสัย ไม่ได้เป็นชาวพุทธ จะบรรลุนิพพาน ได้หรือไม่.?  (อ่าน 1441 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เฉลยข้อสงสัย ไม่ได้เป็นชาวพุทธ จะบรรลุนิพพาน ได้หรือไม่.?

ถ้าหากเราไม่ได้เป็นชาวพุทธ เราจะบรรลุนิพพานได้ไหม เรื่องนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี มีคำตอบ ค่ะ

ตอบ : ก่อนอื่นขออธิบายสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก่อน คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นแต่เดิมเป็นเพียง “สัจธรรม” คือ ความจริงที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ พระองค์เพียงแต่ทรงค้นพบความจริงนั้นแล้วทรงนำออกมา “แสดง” [สังเกตให้ดี ทรงใช้คำว่า “แสดง” สำหรับสัจธรรมส่วนพระวินัยหรือกฎระเบียบของสงฆ์ทรงใช้คำว่า “บัญญัติ” คือ ทรงวางระเบียบขึ้นมา สองคำนี้เป็นการบอกฐานะของ “ธรรม” (สัจธรรม) และวินัย (สิ่งสมมุติ) ได้เป็นอย่างดี]

สัจธรรมตามธรรมชาติ คือ ความทุกข์ก็ดี นิพพานก็ดี เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ลองสังเกตง่ายๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติหรือไม่ก็ตาม คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายก็มีอยู่แล้ว นี่คือสัจธรรม ทุกข์มีอยู่ นิพพานก็มีอยู่เหมือนกัน แต่คนยังไม่มีปัญญาพอที่จะมองเห็นนิพพานเท่านั้นเอง อุปมาง่ายๆ ก่อนนิวตันมาเกิด กฎแห่งแรงโน้มถ่วงก็มีอยู่แล้ว นิวตันแค่มาค้นพบเท่านั้นกฎแห่งแรงโน้มถ่วงก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน นิวตันตายกฎนี้ก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปด้วย

@@@@@

ต่อมาหลังพุทธกาลหลายร้อยปีจึงมีคนเรียกสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “พุทธศาสนา” คำว่า “พุทธศาสนา” จึงเป็นสมมุติบัญญัติอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวสัจธรรม แต่สัจธรรมในนามของ พุทธ ศาสนาก็ยังมีอยู่และเป็นจริงอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น คุณจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาในพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นมาก่อนแล้ว คุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไรก็ตามเถิดสัจธรรมจะไม่เปลี่ยนคุณภาพไปตามชื่อที่คนเรียก เหมือนคุณเรียกแอ๊ปเปิ้ลว่ากล้วย แต่แอ๊ปเปิ้ลก็ยังมีรสชาติตามธรรมดาของมันอยู่นั่นเองสัจธรรมจะไม่เปลี่ยนคุณภาพไปตามสิ่งที่คนเข้าใจ เหมือนน้ำร้อน คุณจะเชื่อว่าร้อนหรือไม่เชื่อ มันก็ร้อนของมันอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม

นี่คือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีลักษณะต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ไม่ใช่เป็นบัญญัติเฉพาะกาล แต่คือ ความจริงสากล และในเมื่อทรงสอนความจริงสากล ดังนั้น คนทั้งโลกก็มีสิทธิ์ในมรรคผลนิพพานที่ทรงสอนได้ทั้งนั้น


@@@@@

จะขอเล่าเรื่องจริงให้ฟังเรื่องหนึ่ง

ในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “ปุกกุสาติ” ชายหนุ่มคนนี้ได้ยินชื่อเสียงของพระพุทธองค์แล้วเกิดความเลื่อมใสเป็นกำลังจึงตัดสินใจทิ้งบ้านช่อง แล้วออกเดินทางท่องไปในโลกว้างในฐานะอนาคาริก (ผู้ไม่ครองเรือน) เขาเดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่มีคนเล่าลือว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จดำเนินผ่านมา จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เขาจึงขอเข้าพักที่เรือนพักของนายช่างหม้อคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้นเมื่อเข้าไปถึงในห้องพัก เขาก็พบว่ามีสมณะรูปหนึ่งพำนักอยู่ก่อนแล้วเขาจึงเข้าไปกราบท่านและขอสนทนาธรรมด้วย

คืนนั้นทั้งคืนชายหนุ่มนั่งสนทนาธรรมกับสมณะหนุ่มนั้นอย่างออกรส จนกระทั่งพอรุ่งสางจึงได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วรู้ว่าผู้ที่ตนสนทนาด้วยทั้งคืนคือพระพุทธเจ้า เขาจึงกราบขออภัยที่เรียกขานพระองค์ด้วยสามัญนามด้วยความไม่รู้ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงติดใจพอเขาขอบวช พระองค์ทรงบอกว่า จะต้องมีบาตร มีจีวรก่อน ชายหนุ่มจึงขอตัวออกมาหาบาตรและจีวร แต่โชคร้าย ระหว่างทางเขาถูกวัวบ้าขวิดตายเสียก่อน ภิกษุทั้งหลายทราบข่าวนี้ด้วยความเป็นห่วง แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะชายหนุ่มผู้นั้นได้บรรลุพระนิพพานขั้นที่ 3 (เป็นพระอนาคามี) แล้ว และจะไม่กลับมาเกิดอีกไม่ว่าในภพไหนๆ


@@@@@

ในเวลาต่อมามีนักประพันธ์เอกคนหนึ่งชื่อ Karl Gjellerup ได้นำเอาเค้าโครงจากเหตุการณ์นี้มาแต่งเป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือ กามนิต-วาสิฏฐี ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่รู้จักแพร่หลายในโลกตะวันตก

จากเรื่องจริงนี้จึงเป็นอันยืนยันได้ว่าสัจธรรมที่เป็นสากลนั้นเป็นสากลอยู่วันยังค่ำ แม้จะไม่รู้จักชื่อหรือเรียกชื่อสัจธรรมนั้นไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ก็ได้รับผลเหมือนกันอย่างแน่นอนเหมือนดังเช่นปุกกุสาติที่ไม่เคยรู้เลยว่ากำลังสนทนาอยู่กับพระพุทธเจ้าแต่ตลอดการสนทนานั้น เขาได้รับรสแห่งธรรมอยู่อย่างเต็มเปี่ยมพอมารู้ตัวอีกทีก็บรรลุธรรมไปเรียบร้อยแล้ว


@@@@@

คนที่กินแอ๊ปเปิ้ลโดยไม่รู้ว่ามันมีชื่อว่าอย่างไร แต่ถ้ากินแล้วได้รับรสอร่อยและอิ่มท้อง แค่นั้นก็นับว่าสำเร็จผลของการกินอาหารแล้ว เรื่องนี้ฉันใด ในการปฏิบัติธรรมตามแนวพุทธก็ฉันนั้น ถ้าปฏิบัติถูกวิธีแล้ว ไม่ต้องรู้บาลีก็ได้ ไม่ต้องปฏิญาณว่าเป็นชาวพุทธและไม่ต้องบวชก็ได้ ทุกคนมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลเหมือนกัน



ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30280.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sinsae

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 277
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ ครับ

 แต่สำหรับเรื่อง ของปุกกุสาติ น่าจะเข้าใจผิดในข้อมูลนะครับ เพราะว่า

ท่านปุกกุสาติ ไม่ได้เป็นชายหนุ่ม แต่เป็นเจ้าผูครองนครตักกสิลา เป็นสหายของพระเจ้าพิมพิสาร เหตุที่ปุกกุสาติเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็เพราะว่า พระเจ้าพิมพิสาร ได้ส่งบรรณาการเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าด้วยเรื่องอานาปานสติ ไปให้เป็นของบรรณาการ ท่านปุกกุสาติ เมื่ออ่านข้อความจึงรู้ว่า พระพุทธเจ้าบังเกิดแล้ว สหายจึงส่งข้อความสำคัญมาจำเดิมแต่นั้น ท่านก็ปฏิบัติตาม อานาปานสติ กล่าวว่าได้คุณธรรม ถึงขั้น พระโสดาบัน ท่านจึงละการปกครอง แล้วลาลูกหลาน ออกจากเมือง นุ่งห่มผ้าขาวเยี่ยงภิกษุ เดินเท้าเปล่า เพื่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อจะของบรรพชา

แต่เพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้ามาก่อน เมื่อเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ที่มีกิริยาน่าเลื่อมใสจึงได้สนทนา จนบรรลุคุณธรรม เป็นพระอนาคามี ก่อนที่จะเสียชีวิต เพราะวัวขวิดตาย
 :49:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 ans1 ans1 ans1

เรื่องปุกกุสาติอยู่ใน "ธาตุวิภังคสูตร" พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

[๖๗๔] ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตอุทิศพระผู้มีพระภาคด้วยศรัทธา ปุกกุสาติกุลบุตรนั้นเข้าไปพักอยู่ในโรงของนายช่างหม้อนั้นก่อนแล้ว
     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาท่านปุกกุสาติยังที่พัก แล้วตรัสกะท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า
     ดูกรภิกษุ ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด ท่านปุกกุสาติตอบว่า
     ดูกรท่านผู้มีอายุ โรงช่างหม้อกว้างขวาง นิมนต์ท่านผู้มีอายุพักตามสบายเถิด ฯ


ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=8748&Z=9019


     ask1 ans1 ask1 ans1

    เป็นที่น่าสังเกต ความในอรรถกถากล่าวว่า
   "ได้ยินว่า พระเกศาและพระมัสสุเกิดเป็นเช่นกับบรรพชาของพระโพธิสัตว์นั้นแล.
    ลำดับนั้น ทรงส่งมหาดเล็กประจำพระองค์ให้นำผ้ากาสาวพัสตร์สองผืน และบาตรดินจากในตลาด
    ทรงอุทิศต่อพระศาสดาว่า พระอรหันต์เหล่าใดในโลก เราบวชอุทิศพระอรหันต์เหล่านั้น ดังนี้
    แล้วทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงสะพายบาตร
    ทรงถือธารพระกร ทรงจงกรมไปมาสอง-สามครั้งในพื้นใหญ่
    ด้วยพระราชดำริว่า บรรพชาของเรางามหรือไม่ ดังนี้"
.......

@@@@@@

จากเนื้อความข้างต้นแสดงว่า ท่านปุกกุสาติ มีบาตรจีวรแล้ว แต่เหตุใดพระพุทธองค์ยังให้ท่านปุกกุสาติ ไปหาบาตรจีวรอีก เรื่องนี้หากอ่านข้อความในพระสูตร จะเห็นคำว่า "ยังไม่ครบ" ดังนี้
   ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ
   พ. ดูกรภิกษุ ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ ฯ
   ปุ. ยังไม่ครบ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
   พ. ดูกรภิกษุ ตถาคตทั้งหลาย จะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบ อุปสมบทไม่ได้เลย ฯ


@@@@@@

ในสมัยนั้นผมไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าได้กำหนดวินัยเกี่ยวกับบริขารขึ้นมารึยัง.? ขอเชิญผู้รู้ช่วยเฉลยด้วยครับ


 st11 st12
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า