ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบ วิธีการทำอะไรแล้ว ได้ผลทันตา ทันใจ ด้วยกรรม  (อ่าน 6132 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pussadee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 149
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เวลาไปทำบุญ จะได้ฟังการทำบุญ ให้ผลชาติต่อ ๆ ไป แต่เราอยากทำบุญแล้วให้ได้ผล ทันตา ทันใจ วิธีการนี้มีหรือไม่คะ เช่นทำบุญ ไป 20 บาท ได้ผลกลับมา สัก 21 บาท อย่างนี้เป็นต้น

  พระพุทธศาสนา บอกวิธีการทำบุญได้ผลทันตา ทันใจ ไว้อย่างไร คะ
  :c017:
บันทึกการเข้า

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทำบุญ ทำทาน รับศีล กับพระอรหันต์ ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เป็นต้นไปได้ผลทันตาครับ ทันใจครับ

 :s_hi:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



3.5.1 ทานที่ให้ผลทันตาเห็น

นอกจากอานิสงส์ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาแล้วนั้น การให้ทานทุกครั้ง จะเกิดเป็นบุญขึ้นในใจ ซึ่งพอจะทราบได้ จากความรู้สึกว่าใจสบาย ใจผ่องใส ใจเป็นสุข เป็นต้น ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้คือ อาการของบุญ

อาการของบุญอุปมาเหมือนกับกระแสไฟฟ้า ที่เราไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่จะรู้ได้ด้วยอาการของมัน เช่น เมื่อเราเปิดสวิตช์ให้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในพัดลม ทำให้ใบพัดหมุนได้ ให้เข้าไปในเตารีด ทำให้มีความร้อนได้ ให้เข้าไปในตู้เย็น ทำให้เกิดความเย็นได้ ใบพัดหมุนก็ดี ความร้อนก็ดี หรือความเย็นก็ดี นั่นคืออาการของไฟฟ้า บุญก็เช่นกัน ถึงแม้ไม่เห็นด้วยตา แต่ก็สามารถรับรู้อาการของบุญ นั้นได้ (ยกเว้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมแล้ว จึงสามารถเห็นกระแสบุญได้)

ทุกครั้งที่ทำความดี มีการให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา จะเกิดกระแสบุญ ซึ่งเป็นคุณเครื่องชำระใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ ให้ใสสว่าง แล้วรวมกันเข้าเป็นดวงบุญ ดวงบุญนี้มีอานุภาพที่จะดึงดูดสมบัติ ทั้ง 3 คือรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา

ยามใดเรามีบุญมาก และบุญส่งผล สมบัติต่างๆ ก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเรา แต่ยามใดมีบุญน้อย หรือหมดบุญ กระแสบุญก็อ่อนกำลังลงหรือหมดไป สมบัติที่มีอยู่ก็ค่อยๆ ร่อยหรอลง หรือพลัดพรากจากเราไป เพราะไม่มีกระแสบุญที่จะดึงดูดสมบัติมาได้ดังเดิม

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราทำความชั่ว หรือมีความโลภ มีความตระหนี่ในใจ ก็จะเกิดกระแส กิเลสขึ้นมาผลักสมบัติ 3 ออกไป ทำให้คุณภาพชีวิตของเราเสียไป เพราะฉะนั้น คนที่ทำทานไว้ดีจึงเกิดเป็นคน มั่งคั่งร่ำรวย เพราะทานกุศลทำให้เกิดบุญ บุญก็ดึงดูดสมบัติต่างๆ ให้บังเกิดขึ้น

บุญมี 2 ระยะ คือบุญเก่า (บุญในอดีต) และบุญใหม่ (บุญในปัจจุบัน)
    บุญเก่า คือ บุญที่ทำมาในชาติก่อนๆ จนถึงวันคลอด
    บุญใหม่ คือ บุญที่ทำมาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบัน





ถ้าบุญเก่าทำมาดี จะส่งผลให้เกิดสมบัติในชาติปัจจุบัน เช่น เกิดมาร่ำรวยด้วยทรัพย์ (ทรัพย์ สมบัติดี เพราะบุญเก่าคือทำทานมาดี) มีรูปร่างงดงาม (รูปสมบัติดี เพราะบุญเก่าคือรักษาศีลมาดี) และมี ความเฉลียวฉลาด (คุณสมบัติดี เพราะบุญเก่าคือเจริญภาวนามาดี) และแม้จะมีบางคนที่ปัจจุบันไม่ได้ทำบุญ อีกทั้งยังตระหนี่ถี่เหนียว แต่ว่ากลับร่ำรวยขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะว่าบุญในอดีตที่ตนเองทำไว้ยังตามส่งผลให้ อยู่นั่นเอง

ส่วนคนบางคนแม้จะทำบุญทำทานในชาตินี้ตั้งมากมายก็ไม่รวยสักที จนถึงกับคิดไปว่า ทำดีไม่ได้ดีŽ หรือ ทำบุญ บุญไม่ส่งผลŽ ก็มีเหมือนกัน ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าในอดีตทำทานมาน้อยเกินไป บุญจึงไม่พอจะดึงดูดสมบัติให้เกิดมากๆ ได้ตามต้องการ แต่ถึงอย่างไร บุญที่ทำไว้ก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่รอเวลาที่จะส่งผลให้ในชาติต่อๆ ไปเท่านั่นเอง

    แต่ก็มีบางคนที่เกิดมาโชคดี ที่สามารถทำบุญใหม่ในชาตินี้ แล้วได้ผลบุญทันตาเห็น
    ซึ่งเป็นเพราะได้สร้างบุญในเขตบุญอันอุดม ที่เรียกว่า สัมปทาคุณ (ความถึงพร้อมด้วยคุณพิเศษ)
    ซึ่งถ้าใครก็ตาม ได้สร้างบุญที่ประกอบด้วยสัมปทาคุณทั้ง 4 ประการนี้
    ก็จะทำให้ทานที่บริจาคแล้วมีผลยอดเยี่ยม และให้ผลได้ในภพปัจจุบันทันทีทันใด


สัมปทาคุณ 4 ประการ ประกอบด้วย
    1. วัตถุสัมปทา คือ ความถึงพร้อมแห่งวัตถุ ในที่นี้หมายถึงผู้รับ คือปฏิคาหก ต้องเป็นทักขิไณยบุคคล ผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม ยิ่งมีคุณธรรมสูงมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ทานของผู้บริจาคมีผลมากขึ้นเท่านั้น
    2. ปัจจยสัมปทา คือ ความถึงพร้อมแห่งปัจจัย ในที่นี้หมายถึง สิ่งของที่จะนำมาทำบุญ ต้องได้มา อย่างบริสุทธิ์โดยชอบธรรม
    3. เจตนาสัมปทา คือ ความถึงพร้อมแห่งเจตนา ในที่นี้หมายถึงมีเจตนาดี เจตนาเพื่อชำระกิเลส บูชาคุณ เพื่อสงเคราะห์ หรืออนุเคราะห์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้หวังลาภ ยศ หรือชื่อเสียง มีเจตนาดีทั้ง 3 กาล คือก่อนให้ก็ดีใจ กำลังให้ก็เลื่อมใส ครั้นให้แล้วก็เบิกบานใจ อย่างนี้เรียกว่าถึงพร้อมด้วยเจตนา
    4. คุณาติเรกสัมปทา คือ ความถึงพร้อมแห่งคุณพิเศษของปฏิคาหก คือผู้รับเป็นทักขิไณยบุคคล ที่มีคุณธรรมพิเศษ ซึ่งระบุไว้ว่า ผู้รับจะต้องเป็นผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ซึ่งผู้ที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ก็คือพระอรหันต์ หรืออย่างต่ำต้องเป็นพระอนาคามีบุคคล


บุคคลใดที่ได้ทำทานโดยถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษทั้ง 4 ประการนี้จะได้ผลบุญทันตาเห็น ดังมีกรณีของ “ นายปุณณะ”Ž เป็นตัวอย่าง





เรื่อง นายปุณณะ

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระศาสดาของเราประทับอยู่ที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ครั้งนั้นมีคนยากจนชื่อ ”ปุณณะŽ” อยู่ในเมืองนั้นพร้อมกับภรรยาและลูกสาว เขาเป็นลูกจ้างของสุมนเศรษฐี อยู่มาวันหนึ่งมีการ เล่นมหรสพในเมือง เศรษฐีก็ถามว่า

“ ปุณณะ เธอจะไปเล่นมหรสพ หรือว่าจะทำงานŽ”

นายปุณณะก็ตอบว่า

“ การเล่นมหรสพเป็นงานที่ต้องเสียเงินมาก เป็นเรื่องของคนที่มีทรัพย์เขาทำกัน ผมเป็นคนยากจน เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ข้าวจะกินพรุ่งนี้ก็ยังไม่มี ผมจะไปรื่นเริงได้อย่างไรกัน ผมขอไปไถนาตามปกติดีกว่าŽ”

เศรษฐีจึงมอบวัวให้เขาไปไถนา เมื่อได้วัวแล้วเขาก็ไปหาภรรยา แล้วบอกว่า

“ วันนี้ชาวเมืองเขาไปเล่นมหรสพกัน แต่เราเป็นคนจน ทำอย่างเขาไม่ได้ ดังนั้นฉันจะไปไถนา วันนี้ขอให้เธอช่วยต้มผักให้มากขึ้นอีกสองเท่าไปให้ฉันด้วยนะŽ ” พอสั่งภรรยาแล้วก็รีบออกไปไถนาทันที





วันนั้นเองพระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ตรวจดูว่า “ เราควรจะไปสงเคราะห์ ใครหนอ บุญนี้จะเป็นของใครหนอŽ” ได้เห็นนายปุณณะเข้าไปในญาณของท่าน จึงใคร่ครวญพิจารณาว่า เขาจะมีศรัทธาหรือเปล่า เขาสามารถที่จะถวายอาหารได้หรือไม่ ครั้นทราบว่า เขามีศรัทธา และสามารถที่จะถวายอาหารได้ และถ้าได้ถวายอาหารแล้ว จะได้สมบัติอันยิ่งใหญ่

ดังนั้นแล้วจึงครองจีวร ถือบาตรไปยังที่นายปุณณะไถนาอยู่ พอนายปุณณะเห็นพระเถระเข้าก็ดีใจ เข้ามากราบไหว้ และคิดว่าท่านต้องการไม้สีฟันในยามนี้ จึงทำไม้สีฟันถวาย พระเถระก็เอาบาตรและ ผ้ากรองน้ำมาให้เขา นายปุณณะพอได้รับก็ทราบว่าพระเถระคงต้องการน้ำดื่ม จึงรับเอาบาตรและ ผ้ากรองน้ำไปกรองน้ำมาถวาย

พระเถระคิดอยู่ว่า นายปุณณะนี้เป็นคนรับใช้ของเขา ถ้าท่านจะไปสู่เรือนของเขา ภรรยาของ นายปุณณะก็จะไม่เห็นท่าน ท่านจึงจะอยู่ที่นั่นจนกว่าภรรยาของเขาจะนำอาหารมาให้ พระเถระรออยู่ ครู่หนึ่ง ทราบด้วยญาณว่าภรรยาของนายปุณณะกำลังมาถึงแล้ว จึงออกเดินมุ่งหน้าไปยังพระนคร


ภรรยาของนายปุณณะ เมื่อพบพระสารีบุตรในระหว่างทางคิดว่า

“ ตัวเราบางคราวพอมีไทยธรรม ก็ไม่พบพระเถระผู้เป็นเนื้อนาบุญ บางคราวพบพระเถระแต่ก็ไม่มีไทยธรรม วันนี้เราพบพระเถระด้วย ไทยธรรมก็มีด้วย ขอให้พระเถระโปรดสงเคราะห์เราด้วยเถิดŽ”

ครั้นแล้วนางวางภาชนะใส่อาหารลง ไหว้พระเถระ พลางกล่าวว่า

“ ขอท่านผู้เจริญจงโปรดอย่าคิดว่าอาหารนี้เลวหรือประณีตเลย ขอจงโปรดรับอาหารนี้ เพื่อ สงเคราะห์แก่คนยากจนเช่นดิฉันด้วยเถิดŽ”

พระเถระก็น้อมบาตรเข้าไป เมื่อนางเกลี่ยอาหารใส่ในบาตรครึ่งหนึ่งแล้ว พระเถระก็เอามือปิดบาตร นางจึงกล่าวต่อไปว่า

“ อาหารนี้เป็นแค่ส่วนเดียว ดิฉันไม่อาจจะทำเป็นสองส่วนได้ ขอท่านอย่าสงเคราะห์เพียงแค่ใน โลกนี้เลย ช่วยกรุณาสงเคราะห์ดิฉันในโลกหน้าด้วยเถิด ดิฉันขอถวายทั้งหมดŽ แล้วใส่อาหารทั้งหมดลงไปใน บาตรของพระเถระ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้เข้าถึงธรรมะที่พระเถระได้เข้าถึงแล้วด้วยเถิดŽ”

พระเถระก็ให้พร

“ ขอความปรารถนาที่เธอตั้งไว้ดีแล้วจงสำเร็จเถิดŽ” แล้วก็หาที่ฉันภัตตาหารในบริเวณนั้น ส่วนนางต้องรีบกลับไปบ้านเพื่อหุงข้าวให้แก่สามีอีกครั้งหนึ่ง





ฝ่ายนายปุณณะไถนาไปได้มากแล้ว เกิดความหิวจนทนไม่ไหว จึงปล่อยวัวไว้ แล้วตัวเองก็เข้าไป นั่งพักใต้ร่มไม้ รอภรรยานำอาหารมาให้อยู่เป็นเวลานาน กว่าภรรยาของเขาจะถืออาหารมาให้ก็สายมาก นางจึงเกิดความกลัวว่า สามีจะหิวมากแล้วพาลโกรธนางขึ้น หรืออาจจะมีโทสะจนกระทั่งทำร้ายนางได้ สิ่งที่ตนเองทำบุญไว้ก็จะไม่เกิดประโยชน์ คิดอย่างนั้นแล้วจึงรีบตะโกนมาแต่ไกลทันทีว่า

“ ข้าแต่สามี ท่านจงทำจิตให้ผ่องใสสักวันหนึ่งเถิด อย่าได้ทำสิ่งที่ฉันทำไว้ดีแล้วให้เสียประโยชน์ไปเลย ฉันได้นำอาหารมาแต่เช้าตรู่ พอดีมาเจอกับพระสารีบุตรพระธรรมเสนาบดี จึงถวายส่วนของท่านแด่พระเถระไปแล้ว และได้ไปหุงมาให้ท่านใหม่จึงมาสาย ขอท่านจงเลื่อมใสในบุญนี้เถิดŽ”


ฝ่ายนายปุณณะก็ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ พอได้รับการยืนยันอย่างเดิมก็ดีใจ พร้อมกับ กล่าวว่า

“ เธอทำดีแล้วที่ได้ถวายภัตตาหารแด่พระสารีบุตรเถรเจ้า แม้ตอนเช้านี้เอง ฉันก็ได้ถวายน้ำบ้วนปาก และไม้ชำระฟันแด่ท่านเช่นกันŽ”


เขาทั้งสองมีใจเลื่อมใส และเพลิดเพลินในบุญของกันและกัน นายปุณณะพอกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ด้วยความอ่อนเพลีย จึงเอาศีรษะหนุนตักภรรยาแล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมามองไปที่ท้องนา เห็นนาที่ตนไถไว้กลายเป็นสีทองคำ จึงถามภรรยาด้วยความไม่แน่ใจว่า

“ ช่วยดูทีเถอะว่า ที่ฉันเห็นตาลายไปหรือเปล่า ไปดูซิว่ารอยไถที่ไถไว้มันเป็นทองคำหรือเปล่าŽ”

ภรรยาของเขามองเห็นนาที่ไถแล้วเป็นทองคำเหมือนกัน จึงเดินไปดูพร้อมกับหยิบก้อนทองนั้นฟาด กับที่งอนไถ เกิดเสียงดังกังวาน ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ตนมองเห็นนั่นเป็นทองคำจริงๆ จึงอุทานด้วยความเบิกบานใจว่า

“ น่าอัศจรรย์จริง สิ่งที่เราถวายแด่พระธรรมเสนาบดีนั้น ให้ผลทันตาเห็นทีเดียวŽ”





เขาไม่อาจจะปกปิดทรัพย์ที่มากมายขนาดนั้นได้ จึงคิดว่าควรที่จะกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ ดีกว่า แล้วได้นำเอาทองคำจำนวนหนึ่งใส่ถาดไปเฝ้าพระราชา กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระราชาส่งราชบุรุษไปขนทองคำที่ท้องนาของเขามา

ฝ่ายราชบุรุษพอไปขนทองเป็นจำนวนมากมาไว้ที่พระลานหลวง พลางกล่าวว่า ทองคำนี้เป็นของพระราชาŽ พอเทออกมา ทองคำก็กลายเป็นก้อนดินไป พระราชาทอดพระเนตรเห็น ดังนั้นรู้สึกประหลาดใจมาก จึงถามว่า ”พวกเธอกล่าวว่าอย่างไรหรือŽ”


พวกราชบุรุษกราบทูลว่า

“ พวกข้าพระองค์กล่าวว่า ได้ขนสมบัติของพระราชามาŽ ”

พระราชาตรัสว่า

“ เธอกล่าวอย่างนั้นไม่ถูก เธอต้องคิดแล้วกล่าวเสียใหม่ว่า นี่เป็นสมบัติของนายปุณณะŽ”

ราชบุรุษทำตามที่พระราชารับสั่ง และแล้วสมบัตินั้นก็กลายเป็นทองคำในทันที พระราชารับสั่ง ให้เหล่าอำมาตย์ประชุมกัน แต่งตั้งและมอบตำแหน่งเศรษฐีให้แก่นายปุณณะและตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ”พหุธนเศรษฐีŽ ” แปลว่า เศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก

จะเห็นได้ว่า นายปุณณะได้ทำบุญในเขตที่ครบทั้งสัมปทา 4 คือ มีผู้รับ ได้แก่พระสารีบุตร เป็น พระอรหันต์ เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ปัจจัยที่ถวายก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ แม้จะเป็นอาหารของ ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นของบริสุทธิ์ เจตนาของเขาดีทั้ง 3 กาล คือก่อนให้ก็ดีใจ กำลังให้ก็เลื่อมใส ให้แล้วก็เบิกบานยินดี และพระสารีบุตรเป็นคุณาติเรกสัมปทา คือเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ฉะนั้น ผลบุญนี้จึงมากมายมหาศาล ส่งผลให้ทันตาเห็นฉะนี้




อ้างอิง หนังสือวิถีชาวพุทธ
http://book.dou.us/doku.php?id=sb101:3
ขอบคุณภาพจาก http://www.ktc.co.th/,http://news.nipa.co.th/,http://www.bloggang.com/,http://www.utdclub.com/,http://1.bp.blogspot.com/,http://lampatao.files.wordpress.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ ครับ กว่าจะอ่านจบ ก็ ชั่วโมงกว่า ๆ นะครับ

 :c017: :25:
บันทึกการเข้า