เมื่อ "ไก่ป่า" เห็นธรรมหนองป่าพงเมื่อปี ๒๔๙๗ ยังเป็นดงดิบหนาทึบ ชาวบ้านเรียกว่าดงหนองป่าพง อยู่ห่างจากบ้านก่ออันเป็นบ้านเกิดของพระอาจารย์ชา สุภัทโทประมาณ ๒-๓ กิโลเมตร วันที่ ๘ มีนาคม ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง เวลาบ่าย คณะของพระอาจารย์เดินทางไปถึง เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อคณะธุดงค์ออกสำรวจ ก็ทราบว่าเป็นสถานที่รกทึบแทบหาที่วางบริขารไม่ได้ รกทึบเพราะว่าเป็นป่าดงดิบ
เมื่อพระอาจารย์ชา สุภัทโท ตัดสินใจตั้งสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นและลงมือหักร้างถางพงในเช้าวันต่อมา นั่นหมายถึงบาทก้าวแรกของวัดหนองป่าพง
เวลาผ่านมาจากปี ๒๔๙๗ จนถึงปี ๒๕๑๙ เป็นเวลา ๒๒ ปี กระนั้นภาพของหนองป่าพงอันปรากฏผ่านการบรรยายโดยพระอาจารย์ชา สุภัทโท แก่ที่ประชุมสงฆ์หลังสวดปาฏิโมกข์ในระหว่างพรรษา ๒๕๑๙ ก็ยังเป็นภาพอันสัมพันธ์กับไก่ป่าอย่างจำหลักหนักแน่น เป็นภาพอันสะท้อนถึงการเรียนรู้จากไก่ป่า เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระรูปหนึ่ง กับไก่ป่าตัวหนึ่ง ดังได้สดับผ่านธรรมบรรยาย "สองหน้าของสัจธรรม" เช่นนี้
@@@@@@
เรารู้กันทุกคนว่าไก่ป่านั้นเป็นอย่างไร สัตว์ในโลกนี้ที่จะกลัวมนุษย์ยิ่งไปกว่าไก่ป่านั้นไม่มีแล้ว เมื่อมาอยู่ในป่านี้ครั้งแรก ก็เคยสอนไก่ป่า เคยเฝ้าดูมัน แล้วก็ได้ความรู้จากไก่ป่าหลายอย่าง
ครั้งแรก มันมาเพียงตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่า มันจะเข้ามาใกล้ ก็ไม่มองมัน มันจะทำอะไร ก็ไม่มองมัน ไม่ทำกิริยาอันใดกระทบกระทั่งมันเลย ต่อไปก็ลองหยุดมองดูมัน พอสายตาเราไปถูกมันเข้า มันวิ่งหนีเลย แต่พอเราไม่มอง มันก็คุ้ยเขี่ยอาหารกินตามเรื่องของมัน แต่พอมองเมื่อไร ก็วิ่งหนีเมื่อนั้น
นานเข้าสักหน่อย มันคงเห็นความสงบของเรา จิตใจของมันก็เลยว่าง แต่พอหว่านข้าวให้เท่านั้น ไก่มันก็หนีเลย ก็ช่างมัน ก็หว่านทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตรงนั้นอีก แต่ยังไม่กล้ากินข้าวที่หว่านไว้ให้ มันไม่รู้จัก นึกว่าเราจะไปฆ่าไปแกงมัน เราก็ไม่ว่าอะไร กินก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง ไม่สนใจกับมัน
ไม่ช้ามันก็ไปคุ้ยเขี่ยหากินตรงนั้น มันคงเริ่มมีความรู้สึกของมันแล้ว วันต่อมามันก็มาตรงนั้นอีก มันก็ได้กินข้าวอีก พอข้าวหมดก็หว่านไว้ให้อีก มันก็วิ่งหนีอีก แต่เมื่อทำซ้ำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ตอนหลังมันก็เพียงแต่เดินหนีไปไม่ไกล แล้วก็กลับมากินข้าวที่หว่านไว้นั้น นี่ก็ได้เรื่องแล้ว
@@@@@@
ตอนแรกไก่มันเห็นข้าวสารเป็นข้าศึกเพราะมันไม่รู้จัก เพราะมันดูไม่ชัด มันจึงวิ่งหนีเรื่อยไป ต่อมา มันเชื่องเข้า จึงกลับมาดูตามความเป็นจริง ก็เห็นว่า นี่ข้าวสาร นี่ไม่ใช่ข้าศึกไม่มีอันตราย มันก็มากิน จนตลอดทุกวันนี้ นี่เรียกว่าเราก็ได้ความรู้จากมัน
เราออกมาอยู่ในป่า ก็นึกว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ในบ้านเป็นข้าศึกต่อเราจริงอยู่ เมื่อเรายังไม่รู้ มันก็เป็นข้าศึกจริงๆ แต่ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ก็เหมือนไก่รู้จักข้าวสารว่าเป็นข้าวสาร ไม่ใช่ข้าศึกข้าศึกก็หายไป
เรากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกันฉันนั้น มันไม่ใช่ข้าศึกของเราหรอก แต่เพราะเราคิดผิด เห็นผิด พิจารณาผิด จึงว่ามันเป็นข้าศึก ถ้าพิจารณาถูกแล้วก็ไม่ใช่ข้าศึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ให้ความรู้ ให้วิชา ให้ความฉลาดแก่เราต่างหาก
แต่ถ้าไม่รู้ก็คิดว่าเป็นข้าศึก เหมือนกับไก่ที่เห็นข้าวสารเป็นข้าศึกมัน ถ้าเห็นข้าวสารเป็นข้าวสารแล้วข้าศึกมันก็หายไป พอเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าไก่มันเกิดวิปัสสนาแล้ว มันจึงเชื่อง ไม่กลัว ไม่ตื่นเต้นบทความจาก : หนังสือ ธรรมวิจยะ โดย พระอาจารย์ชา สุภัทโท
ที่มา :
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322123954&grpid=&catid=&subcatid=ขอบคุณที่มา :
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=25519.0กระดานสนทนาวัดบางพระ โพสต์โดยคุณทรงกลด ,วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554, เวลา 15:35:13 น.
ขอบคุณภาพจาก : เฟซบุ้ก มรดกธรรมพระโพธิญาณเถร หลวงปู่ชา สุภทฺโท The Teachings of Ajahn Chah 阿姜查 的教法
https://www.facebook.com/ajahnchah.memorial/posts/1619577961557302/@ajahnchah.memorial