พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก(บ้านปง) ต.อินธขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ขอนำบทความจาก "หนังสือ ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ"
ของพระอาจารย์เปลี่ยน มาแสดงดังนี้ครับ
คำถาม การกรวดน้ำ จำเป็นหรือไม่ว่าต้องกรวดน้ำหลังทำบุญ
และจำเป็นไหมต้องออกเสียงเอ่ยชื่อคนนั้นออกมา
ถ้านึกในใจจะได้หรือไม่ และถ้าเขาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
มีชื่อในภพใหม่เขาจะได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศไปให้หรือไม่
คำตอบ การกรวดน้ำ สมมุติว่าเราทำบุญ
หลักของความจริงนั้นท่านให้ทำบุญก่อน
เราต้องมีบุญ จึงจะสามารถที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให ้
แก่ผู้ที่ล่วงลับดับไป หรือคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เวลาพระให้พรเป็นเวลาที่จำเป็น ถ้าพระให้พรไปแล้ว จึงจะไปกรวดน้ำอุทิศอยู่ที่บ้าน
ระยะนั้นจะไม่ค่อยจะได้รับผล
เพราะพระพุทธเจ้ามีกฎเกณฑ์บังคับว่า
เวลาทำบุญเสร็จ พระให้พร ก็ลงมือกรวดน้ำอุทิศให้เลย
ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปให้เปตาญาติทั้งหลาย
เวลาเขามารับก็จะได้รับพอดี
ถ้าเราไม่กรวดเวลานั้นวิญญาณเขาก็หนีไปแล้ว
เมื่อเราไปกรวดเวลาใหม่เขาก็จะไม่ได้รับเลยทีนี้ถ้ากรวดน้ำไปให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่
เราแผ่เมตตาไปให้เขาได้รับเหมือนกัน
เขาจะมีความสุขเอิบอิ่มใจ เขาจะได้รับเพียงเท่านั้น
จะระลึกถึงเรา ผู้ที่อุทิศส่วนกุศลไปให้
เหมือนกับการแผ่เมตตาหรือส่งความดีไปให้เขา
หากคนเราตายไปแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ซึ่งมีหลายๆ อย่าง ทั้งมีขาและไม่มีขา มีขามากมีขาน้อย
พวกนี้ส่วนมากจะรับได้ยาก
เพราะที่เราทำบุญอุทิศไปให้นั้นมันไม่เหมาะสมกับฐานะของสัตว์ ทีนี้ถ้าเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เทวดา พรหม
หรือพระอรหันต์อย่างนี้ อันนั้นท่านไม่รับเพราะว่าท่านรวยกว่าเราแล้ว
ท่านกินบุญทิพย์ของตนเอง
เหตุฉะนั้น คนที่ถวายทานแล้วอุทิศไปให้เทวดา
ให้อินทร์ ให้พรหม ให้พระอรหันต์ทั้งหลาย
มันไม่ถูกหลักของพระศาสนา
แต่คนก็คิดอยากอุทิศให้เขา เขามีเงินอยู่ตั้งแสนๆ ล้าน
แต่เราจะเอาเงินไปให้เขา 10 บาท
พวกนั้นเขารวยอยู่แล้ว เขาอยู่ในบุญทิพย์อิ่มอยู่แล้ว
ในการอุทิศส่วนกุศลนั้น ต้องทำในเวลาพระให้พร
ส่วนว่าเราจะแผ่เมตตาเฉยๆ
ให้เพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น อันนี้ทำได้ทุกเวลา
เมื่อเราทำบุญแล้ว หรือสวดมนต์เสร็จแล้ว
สามารถอุทิศความดีไปให้ได้ ส่วนที่เป็นเปตาญาติทั้งหลายจะมารับอนุโมทนา
ต้องมารับหลังทำบุญเสร็จ
พระให้พรจึงจะเหมาะสมกับกาลสมัย
ที่เขาจะมาค่อยรับส่วนบุญจากเรา
คำถาม เวลากรวดน้ำแล้ว คนที่เป็นคนกรวด
กับคนที่อุทิศส่วนกุศลไปให้จะได้บุญเท่ากันหรือไม่
แล้วถ้าเกิดอุทิศส่วนกุศลไปให้หลายคน บุญจะแบ่งกันหรือเปล่าคำตอบ ก็เหมือนกับเราปล่อยลมไปนั้นแหละ
มันก็จะพัดเย็นกันไปทั่วเลยถ้าเรามีพอ
แต่ถ้าเรามีบุญน้อย มันก็ไปได้น้อยๆ
มันแบ่งหลายคนก็เย็นน้อยๆ ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเรามีบุญมากก็สามารถจะให้ได้ทั่วโลกเลย
บุญนั้น เรานึกขึ้นมาว่าให้ทั่วไปแก่เพื่อนมนุษย์
มันก็ได้เท่ากันหมดทั่วไป ถ้าเราเจาะจงเอาเฉพาะคนนั้น คนอื่นไม่ให้
ก็จะได้รับแต่คนนั้น เหมือนเราแบ่งอาหารให้กิน
คำถาม การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเองส่วนหนึ่ง
แล้วเราจะได้บุญที่ทำหรือไม่
คำตอบ เมื่อเราทำบุญแล้วเวลาพระให้พร
เราก็กรวดน้ำให้แต่คนอื่น เราจะได้บุญไหม
เพราะไม่ได้กรวดน้ำให้ตนเอง
เราจะไปกรวดน้ำให้ตนเองทำไม
เพราะตนเองเป็นคนทำอยู่แล้ว มันสุขใจอยู่แล้ว
มีความสุขแล้วจึงแบ่งให้คนอื่นเหมือนเรามีสตางค์นี้แหละ เรามีแล้วจึงแบ่งให้คนอื่นได้
ไม่มีหรอกที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่จะแบ่งให้เขาหมด
หรือจะควักสตางค์ให้เขาหมด จนตนเองไม่มีสักสตางค์
มันต้องมีเงินเหลืออยู่ แต่ให้แล้วมันมีความสุขนะ
บัดนี้ตนเองมีความสุข นั่นแหละเขาเรียกว่าบุญ
อุทิศให้คนอื่นอยู่ แต่ใจของเรามีความสุข
ถ้าเราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ มีอาหารการกินหรือขนม
แล้วแบ่งให้เพื่อนกินกันทุกคน
เมื่อเพื่อนกินอิ่มกันทุกคน เราจะมีความสุขไหมความสุขใจก็คือ บุญ พวกฝรั่งเขาไม่รู้เรื่องตรงนี้แหละ
เนื่องจากไม่มีใครสอนให้เขาให้รู้จักทำบุญ
เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็ต้องจ่ายใครจ่ายมัน ไม่มีการเลี้ยงกัน
ถึงแม้จะเป็นพี่กันน้องกันก็ตาม
ไม่เหมือนคนไทยที่ออกเงินเลี้ยงแทนกันได้นั่นแหละ
เมื่อเราแบ่งปันให้แก่คนอื่น ตนเองก็มีความสุขอยู่แล้ว
ทำไมจึงว่า ไม่เมตตาเจ้าของเล่า
ตนเองมีความสุข นั่นแหละคือ ตัวบุญแท้ๆ
บุญคือ ความสุขใจ มันก็ได้บุญอยู่ดี
การที่เราจะเมตตาตน ก็คือ สร้างความดีให้เกิดขึ้นแก่ตน
เขาเรียกว่า เมตตาตนถ้าเราไม่มีแล้วเราจะเอาอะไรไปให้เขา
เราไหว้พระสวดมนต์ภาวนาก็เป็นบุญ
มีวัตถุก็เป็นบุญ จึงจะให้เขาได้
เราไม่มีอะไร เราจะเอาอะไรไปให้เขา
เราต้องมีความดีซิจึงเอาไปให้เขาได้ เขาจึงมีความสุข
เหมือนเพื่อนไม่ดี เราใช้ปากเราสอนว่า อย่าไปทำนะอันนี้มันไม่ดี
พอเพื่อนหยุดทำเท่านั้น ตนเองก็มีความสุขแล้ว
เนื่องจากเราเป็นคนสอนเขา เขาจึงหยุดทำความชั่ว
เราไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เรามีความสุขใจ
เพื่อนกำลังจะดื่มเหล้า เราไปเตือนว่าอย่าดื่มนะเดี๋ยวมันจะเมา
พอเขาหยุดเท่านั้นเราก็ดีใจแล้ว
เพราะว่าเพื่อนของเราไม่ทำความชั่วไม่ผิดศีล
ถาม วันปล่อยผีมีจริงหรือไม่ตอบ ตามหลักพระพุทธศาสนานี้ คนชอบทำสลากภัตรในวันเดือนสิบเพ็ญ ก็เปรียบเทียบว่าวันนั้น สมัยพระโมคคัลลาน์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านไปเมืองนรก เมื่อไปเมืองนรก แล้วไฟนรกดับด้วยอิทธิฤทธิ์ของท่าน ด้วยบุญฤทธิ์ แล้วเปรตทั้งหลายหรือ สัตว์นรกทั้งหลายก็ขอฝากคำมาให้ไปบอกญาติคนนั้น บอกญาติคนนี้ ว่าตายแล้วมาตกนรกไม่ได้กินอะไรเลย แล้วจะไปรับอนุโมทนา เพราะไฟนรกดับเขาจะมาได้
วันนั้นเรียกว่า วันปล่อยผี เขามารับอนุโมทนาในวันเดือนสิบเพ็ญ ทางเมืองเหนือเรียกว่า ก๋วยฉลาก ไม่เลือกวันเลย เอาวันนั้นวันนี้ต่าง ๆ กัน พ้นจากวันนั้นไปแล้ว เขาก็เอากลับคืนไปใส่คุกไว้อย่างเก่า แต่วันนั้นเขาปล่อยสัตว์นรกเพราะไฟนรกดับ ปล่อยวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายให้ไปรับส่วนบุญที่ญาติอุทิศให้ ส่วนพระมาลัยนั้นท่านก็ไปนรกเหมือนกัน แต่เป็นพระสาวกรุ่นหลัง สัตว์นรกก็สั่งท่านมาเหมือนกัน เหตุฉะนั้นจึงถือว่าจะทำบุญวันนั้นหมดเลย อย่างทางภาคอีกสานจะทำบุญในวันเดียวกันหมดทุกวัด แต่ทางเมืองเหนือนี้เขาเอาแล้วแต่จะสะดวกวันไหน เปลี่ยนวัดกันไปเรื่อย ๆ
ซึ่งถ้าตามหลักแล้วเมื่อถูกจำคุณอยู่ เขาก็มาเอาวิญญาณคืนไป จำคุกเหมือนเก่าแล้ว เขาปล่อยได้แค่วันเดียว ก็คงมีช่วงโอกาสเหมือนคนเมืองเราที่อยู่ในคุก คนอยู่ในคุกเมืองเราที่เขาเอาออกมาทำงาน ใกล้ที่จะปล่อยออกจากคุกแล้ว แต่โทษอาญานั้นไม่ได้ออกมาแน่ แต่อันนี้เป็นนักโทษประเภทที่อีกสักเดือนสองเดือนจะพ้นจากโทษแล้ว จะได้ออกจากคุกแล้ว เขาก็เอาคนพวกนี้ออกมา พวกผีพวกเปรตก็คงจะเป็นพวกเช่นนี้ที่ได้ออกมารับส่วนบุญ เขาเรียกเปรตที่รับทาน
บัดนี้พวกเราคงสงสัยว่าทำไมไฟนรกจึงดับได้ ที่ดับได้ก็เพราะอิทธิฤทธิ์ของพระโมคคัลลาน์ จึงมีคาถาเป่าเวลาโดนไฟลวกไฟไหม้โดยไม่ต้องใส่ยา เมื่อโดนไฟไห้มแล้วมีอาการเจ็บ ๆ ร้อนที่ผิวหนัง เมื่อเป่าคาถานี้แล้วมันจะเย็นทันที ถ้าพูดหรือท่องคาถาให้มันติดให้มันขลังแล้ว ซึ่งเขาก็ใช้คาถาของพระโมคคัลลาน์นั่นเอง ส่วนคาถาเหยียบไฟนั้นสามารถที่จะเดินลุยไปบนถ่านๆไฟแดง ๆ ได้เลย ไฟจะดับไปทันที เหยียบที่ไหนดับที่นั่น
ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008060.htm